ตอนที่ 488 กลับประเทศฉบับซือเฉิน / ตอนที่ 489 สั่นเทาอยู่เล็กน้อย

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 488 กลับประเทศฉบับซือเฉิน

 

 

           วันนั้นที่กลับประเทศไป ไม่รู้ว่าข่าวลือมาจากไหน รู้ว่าซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินจบการฮันนีมูนกลับมาแล้ว

 

 

           ณ สนามบิน มีคนกลุ่มหนึ่งเป็นนักข่าวและเหล่าแฟนคลับสาวๆ ของพวกเขาทั้งสองคนที่มากันอีกมากมาย

 

 

           รายล้อมสนามบินจนการทัศนาจรติดขัด

 

 

           เมื่อเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนลงจากเครื่องบินมา พอเห็นภาพตรงหน้าก็ตะลึงงันไปขณะหนึ่ง

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง

 

 

           เจียงมู่เฉินตอบกลับเขาด้วยสีหน้างุนงง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น คงจะไม่ใช่ว่าอยากจะต่อต้านพวกเราสองคน เลยตั้งใจมาดักพวกเราหรอกใช่ไหม”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูกลุ่มคนที่แน่นขนัดไปหมด เขาจูงมือเจียงมู่เฉินเดินออกไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง

 

 

           ที่ที่พวกเขาโดนปิดทางเป็นทางออกเดียวเท่านั้นของพวกเขาพอดี ทั้งสองคนเพิ่งจะเดินออกมา ก็ถูกกลุ่มคนรายล้อมอยู่ข้างใน

 

 

           กลุ่มนักข่าวถือกล้องถ่ายวิดีโอพุ่งตรงเข้ามา “ได้ยินว่าคุณสองคนจดทะเบียนสมรสกันแล้วใช่ไหมครับ”

 

 

           “สำหรับเรื่องนี้ พวกคุณมีอะไรอยากจะพูดไหมครับ”

 

 

           เจียงมู่เฉินเห็นกลุ่มกล้องถ่ายวิดีโอพวกนั้น เขาก็ปวดหัวแล้ว

 

 

           ‘ถึงแม้ว่าปกติเขาจะเปิดเผยไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ชอบโอ้อวดขนาดนี้นะ’

 

 

           แต่ว่าคนเขาบุกมาถึงต่อหน้าของเขาแล้ว คุณชายน้อยเจียงไม่ได้มีนิสัยวิ่งหนีด้วยสิ

 

 

           เขายกมือซือเหยี่ยนขึ้นมา แหวนของทั้งสองคนเผยออกมาให้เห็นต่อหน้ากล้อง เจียงมู่เฉินมองพวกเขาอย่างเปิดเผย “นี่ควรจะชัดมากแล้วสินะ”

 

 

           เขาชี้ที่ตัวเอง “แต่งงานแล้ว”

 

 

           แล้วชี้ไปที่ซือเหยี่ยน “แต่งงานแล้วเหมือนกัน”

 

 

           หลังจากนั้นก็ยิ้มหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ย “พวกคุณว่าไงล่ะ”

 

 

           คนกลุ่มนั้นเบนสายตามามองซือเหยี่ยนทันทีหลังจากนั้น ก็เห็นเพียงซือเหยี่ยนเอียงหน้ามองใบหน้าอันห้าวหาญของเจียงมู่เฉิน

 

 

           “ที่เฉินเฉินพูดก็คือสิ่งที่ผมต้องการจะพูด”

 

 

           ……

 

 

           “ฉันว่าพวกคุณอย่าทรมานคนโสดอยู่เรื่อยจะได้ไหม ตั้งแต่เปิดตัวจนขอแต่งงาน ยันตอนนี้แต่งงานแล้ว ฉันจะโดนพวกคุณสองคนทรมานปางตายอยู่แล้ว”

 

 

           จี้ฉิงขับรถไปด้วย อยากจะร้องไห้ไปด้วยจริงๆ

 

 

           วันๆ อยู่กับสองคนนี้ โดนทรมานใจจนสงสัยในชีวิตตัวเองแล้วจริงๆ

 

 

           เธอครุ่นคิดอย่างจริงจัง ตัวเองจิตใจงามเกินไปหรือเปล่า ตอนนั้นที่เจียงมู่เฉินบอกเลิกกัน เธอควรจะเล่นละครเป็นนางเอกเจ้าน้ำตาสักหน่อย

 

 

           ขอความเห็นใจด้วยท่าทีอ่อนแอ จากนั้นก็ป้ายสีสาดโคลนให้เจียงมู่เฉินเจ้าหมอนี่นิดหน่อย

 

 

           เห็นเขายังทำหน้าชื่นตาบานแบบนี้

 

 

           จี้ฉิงถอนหายใจ อยู่กับพวกเขาสองคนแบบนี้มานานแล้ว เธอก็อยากจะมีความรักกับใครสักคนเหมือนกัน

 

 

           มาเติมเต็มหัวใจที่บอบช้ำของตัวเองให้หายดี

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองเธอแวบหนึ่ง “เธอก็มาทรมานใจฉันได้นะ มีความสามารถก็ไปหาคนมาทรมานใจฉันสิ”

 

 

           จี้ฉิงกุมพวงมาลัยไว้ อยากจะหักมันออกมาทุบใส่หน้าเจียงมู่เฉิน

 

 

           ตัวเองหนีออกไปฮันนีมูน แล้วกลับทิ้งให้เธอทำงานหนักที่บริษัททั้งวัน เธอเงยหน้ามองเจียงมู่เฉินจากกระจกหลัง รู้สึกว่าตัวเองโดนเจียงมู่เฉินเจ้าหมอนี่ขุดหลุมฝังให้แล้วใช่ไหม

 

 

           ……

 

 

           เธอพาคนมาส่งยังคอนโดมิเนียมที่พวกเขาสองคนพักอยู่ จี้ฉิงไม่อยากจะพูดคุยกับพวกเขาต่อ เธอขับรถออกไปทันที

 

 

           ณ ลานจอดรถ เหลือเพียงแค่เจียงมู่เฉินและซือเหยี่ยนกันสองคน

 

 

           เจียงมู่เฉินกวาดสายตามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง “ไปกันเถอะ พี่ชาย พานายกลับบ้านแล้ว”

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเขาด้วยความขบขัน มองเขาอย่างเอาจริงเอาจัง “งั้นก็รบกวนเฉินเฉินแล้ว”

 

 

           ใบหน้าเรียวเล็กของเจียงมู่เฉินขึ้นสีแดงระเรื่อ ชักจะรู้สึกเขินอายนิดหน่อยแล้ว

 

 

           เขาปกปิดซ่อนความรู้สึกในหัวใจไม่ไหว จูงมือซือเหยี่ยน เดินกลับบ้านไปด้วยกัน

 

 

           ……

 

 

           หลังจากกินอาหารกันเสร็จ เจียงมู่เฉินยืนอยู่ที่ระเบียง ซือเหยี่ยนเดินเข้ามาจากห้องรับแขก

 

 

           ในมือเขาคีบบุหรี่มวนหนึ่งอยู่ ซือเหยี่ยนเดินเข้าไปหยิบบุหรี่ในมือเขาขึ้นมา แล้วสูบเข้าไปเต็มๆ คำ

 

 

           ซือเหยี่ยนเอาบุหรี่มวนนั้นวางลงในที่เขี่ยบุหรี่

 

 

           ทันทีหลังจากนั้นเขาก็โน้มเข้าใกล้เข้าไปประกบจูบริมฝีปากเจียงมู่เฉินที่ยังคุกรุ่นไปด้วยกลิ่นบุหรี่จางๆ

 

 

           กลิ่นบุหรี่อบอวลอยู่ในลมหายใจของคนสองคน จู่ๆ เจียงมู่เฉินก็ยิ้มหัวเราะขึ้นมา เอียงหน้าไปกัดคอซือเหยี่ยนคำหนึ่ง

 

 

           ซือเหยี่ยนหรี่ตาลง ยกมือขึ้นลูบรอยฟันที่เขาทิ้งไว้

 

 

           เขาเงยหน้าขึ้นประสานมือเจียงมู่เฉินไว้ในทันใด

 

 

           ในยามราตรีอันเงียบสงัด หัวใจทั้งสองดวงที่ฝ่าฟันอุปสรรคกันมาในที่สุดก็ได้อยู่เคียงคู่กันเสียที

 

 

            

 

 

       ตอนที่ 489 สั่นเทาอยู่เล็กน้อย

 

 

           หลังจากที่ไป๋จิ่งย้ายมาอยู่ข้างห้องมั่วไป๋ ในใจก็ค่อนข้างจะกระวนกระวายอยู่ในที เขาอดจะคิดไม่ได้ว่าหลังจากที่มั่วไป๋เจอหน้าเขาแล้วจะมีท่าทีตอบสนองแบบไหน

 

 

           จะโกรธหรือว่าจะเมินเฉยโดยไม่สนใจอะไร

 

 

           เขารอมาหนึ่งวัน ก็ไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวใดใดจากห้องข้างๆ ทั้งสิ้น

 

 

           รอจนมาถึงตอนค่ำ กว่าเขาจะเตรียมใจตัวเองให้พร้อมได้ไม่ใช่ง่ายๆ ไป๋จิ่งรู้สึกว่าตัวเองควรจะเป็นฝ่ายเริ่มบ้าง เป็นฝ่ายไปหามั่วไป๋ที่ห้องเอง

 

 

           หลายปีที่ผ่านมานี้ เขาเป็นฝ่ายถูกตามตื้อมาตลอด ตั้งแต่ตอนนั้นที่หลินฝานเริ่มมาพัวพันกับเขา คนที่พยายามมาตลอดไม่ใช่เขาทั้งนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งหลับตาลง ปลุกความกล้าให้เต็มที่ แล้วเดินไปถึงหน้าประตูห้องมั่วไป๋

 

 

           เขายกมือขึ้น แต่กลับงกๆ เงิ่นๆ ไม่กล้าลงมือสักที

 

 

           ผ่านไปนานสองนาน ในที่สุดเขาก็เคาะประตูห้องมั่วไป๋ สีหน้าท่าทางเขาดูตื่นตระหนก ตัวแข็งทื่อ รอมั่วไป๋มาเปิดประตู

 

 

           แต่รออยู่หลายนาที ประตูห้องมั่วไป๋ก็ไม่ได้ถูกเปิดออกเสียที

 

 

           ไป๋จิ่งงุนงง รีบเคาะประตูอีกหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดประตูเลย

 

 

           ‘ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้สิ มั่วไป๋พักอยู่ที่นี่ชัดๆ จะไม่อยู่ที่นี่ได้ยังไง’

 

 

           ไป๋จิ่งครุ่นคิดแล้วหยิบมือถือขึ้นมาโทรหามั่วไป๋

 

 

           ตั้งแต่มั่วไป๋จากไปไม่อยู่ข้างกายเขา มั่วไป๋ก็ไม่ได้รับสายเขามาตลอด

 

 

           ไป๋จิ่งหอบใจที่อยากลองดูสักตั้ง กดโทรออกหามั่วไป๋

 

 

           เขาตะลึงงัน…

 

 

           เดิมคิดว่ามั่วไป๋แค่ไม่อยากจะรับสายเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเบอร์มือถือของเขาจะกลายเป็นเบอร์ว่างไปแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งหวาดหวั่นใจอยู่ไม่น้อย ไม่เจอมั่วไป๋ที่คอนโดมิเนียม เบอร์มือถือก็เป็นเบอร์ที่ไม่มีคนใช้

 

 

           เวลานี้เองเขาถึงได้เข้าใจ ว่าต่อให้ตัวเองจะตามเขากลับมาอย่างด้านได้อายอดแค่ไหน แต่ถ้ามั่วไป๋ไม่ยินยอม เขาก็ไม่มีทางจะติดต่อมั่วไป๋ได้อยู่แล้ว

 

 

           ที่ผ่านมาเป็นมั่วไป๋เองที่เป็นฝ่ายปรากฏตัว ขอเพียงแต่เขาอยากเจอมั่วไป๋ มั่วไป๋ก็จะออกมาปรากฏตัวอยู่เคียงข้างตัวเองได้เสมอ

 

 

           ไป๋จิ่งพิงซบประตู หลับตาลง

 

 

           ในเมื่อตอนนี้เขาไม่อยู่ที่บ้าน เช่นนั้นเขาก็จะรออยู่ที่นี่ก็ได้

 

 

           ไม่ว่าจะนานเท่าไหร่ เขาก็ยินดีที่จะรอ

 

 

           ไป๋จิ่งพิงซบอยู่ตรงนั้น เงาร่างสูงใหญ่ไม่ขยับไปไหน ต่อให้แม้แต่ขาก็เริ่มจะชาเล็กน้อย เพราะยืนเป็นเวลานาน

 

 

           ไป๋จิ่งก็ยังคงอยู่ในท่าเดิมเมื่อครู่ ยังคงไม่ขยับไปไหน

 

 

           เวลาผ่านไปวินาทีต่อนาที ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงอย่างช้าๆ เพียงไม่นานเวลาก็เคลื่อนผ่านไปถึงช่วงค่ำแล้ว

 

 

           ลิฟต์ชั้นนี้ไม่ได้ถูกเปิดใช้เลย แม้แต่คนที่ขึ้นมาผิดชั้นสักคนยังไม่มี

 

 

           ไป๋จิ่งสิ้นหวังในใจ แต่กลับยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นตลอด

 

 

           ราวกับว่าเฝ้าอยู่ตรงนี้แล้ว เฝ้าจนนาทีสุดท้ายก็จะได้เจอมั่วไป๋อย่างไรอย่างนั้น

 

 

           เขายกมือขึ้นมากุมขมับ หลับตาลงด้วยความเหนื่อยล้า

 

 

           ……

 

 

           “ไป๋จิ่ง…ฉันทำอาหารมา นายอยากจะกินสักหน่อยไหม” หลินฝานยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องรับแขก มองไป๋จิ่งอย่างตื่นตระหนกอยู่ในที

 

 

           เขาเบิกตากว้าง แววตารอคอยอยู่ไม่น้อย ราวกับหวังว่าไป๋จิ่งจะยอมตกลงได้

 

 

           ไป๋จิ่งเดินเข้าประตูด้วยความเหนื่อยล้า มองก็ไม่ได้มอง แต่ปฏิเสธไปเสียดื้อๆ

 

 

           “ไม่กิน”

 

 

           เขาพูดจบก็เดินมุ่งหน้าเข้าห้องนอนไปในทันที

 

 

           หลินฝานมองตามแผ่นหลังของไป๋จิ่งที่เดินจากไป มือที่ถือตะเกียบอยู่แข็งทื่อ แทบจะถือไว้ไม่อยู่ตะเกียบเกือบจะร่วงหล่นลงมา

 

 

           เขากำตะเกียบในมือแน่น ผ่านไปนานสองนานถึงได้ขยับขาด้วยความลังเล

 

 

           หลินฝานหันกลับมามองอาหารที่มีกลิ่นหอมโชยอยู่บนโต๊ะ ความเจ็บปวดปรากฏในดวงตา

 

 

           เขานั่งลงต่อหน้าโต๊ะอาหารโดดเดี่ยวดายอยู่คนเดียว ในมือกอดชามกระเบื้องชามหนึ่งไว้ หลินฝานถือตะเกียบคีบข้าวขาวเข้าปากด้วยความยากลำบาก นัยน์ตามืดหม่น

 

 

           อาหารครบเครื่องสีสวยกลิ่นหอมแต่เดิมนั้น เมื่ออยู่ในปากหลินฝาน กลับรับรสอะไรออกมาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

 

 

           ความรู้สึกเดียวที่เขารับรู้ได้คือรสขมฝาดจางๆ

 

 

           แสงไฟสลัวตกกระทบบนตัวหลินฝาน รู้สึกได้แค่เพียงว่าเด็กหนุ่มผอมโซคนนี้ เหมือนนิ้วมือเขาที่ใช้คีบกินข้าวกำลังสั่นเทาอยู่เล็กน้อย