กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 925

อะ…อะไรนะ?

พวกเขาไม่ได้หูฟาดไปหรอกนะ

ผู้นำตระกูลเหวินจะเป็นเพื่อนกับปีศาจร้ายได้อย่างไรกัน?

และยังเป็นเพื่อนเก่ามาหลายปีเสียด้วย?

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กวาดมองกู้ชูหน่วนและจอมมารอย่างเย็นชา

เขาไม่กลัวว่ากู้ชูหน่วนและจอมมารจะหนีไป

เพียงแต่กลัวเหวินเส่าอี๋เท่านั้น

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ผู้นำตระกูลเหวิน อาจเป็นเพราะเมื่อวานท่านดิ่มมากไปเลยจำผิดคนกระมัง คนผู้นี้เป็นปีศาจร้ายที่มีดวงตาที่ต่างกันเชียวนะ ไม่ว่าใครก็สามารถฆ่ามันได้”

เขากำลังตักเตือนอยู่

หากเข้าไปเกี่ยวข้องกับปีศาจร้าย ก็จะเป็นศัตรูของใต้หล้าไปโดยปริยาย

ทว่าเหวินเส่าอี๋ดูเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้นำตระกูลไป๋หลี่พูด

หรือไม่เขาอาจจะไม่สนใจมันเลยด้วยซ้ำ จึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า

“เหวินฉู่ไม่เคยดื่มสุรา”

“แสดงว่าผู้นำตระกูลเหวินตัดสินใจช่วยพวกเขาอย่างนั้นหรือ?”

“ทุกท่านไว้หน้าข้าหน่อยมอบคนสองคนนี้ให้กับข้าจะได้หรือไม่?”

คนอื่นเกรงกลัวในฝีมือของเหวินเส่าอี๋

แต่ท่านผู้เฒ่าหนิงกลับไม่เกรงกลัว เขาจึงพูดอย่างกริ้วโกรธว่า “แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ บรรพบุรุษบอกไว้ หากมีคนมีดวงตาที่ต่างกัน จะต้องฆ่าสถานเดียว แม่หนูคนนั้นพวกข้าไม่ถือสาอะไร แต่เขา…เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”

“ผู้นำตระกูลเหวิน ท่านเป็นถึงหนึ่งในสี่ผู้นำตระกูลใหญ่ บรรพบุรุษของท่านก็คงจะมีคำสั่งไว้เช่นกันนะ หรือว่าท่านจะทรยศต่อคำสั่งของบรรพบุรุษ”

ไม่รอให้เหวินเส่าอี๋พูด ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ก็ชิงพูดก่อน “ผู้นำตระกูลเหวิน สิ่งที่ท่านพูดไปเมื่อครู่ พวกข้าจะทำเหมือนหูทวนลม ครั้งนี้พวกข้าไม่ต้องให้ตระกูลเหวินเข้ามาช่วยเหลือ แต่หวังว่าตระกูลเหวินของท่านจะไม่เข้ามาขัดขวาง เพราะว่า…เขาเป็นปีศาจร้าย”

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่มองไปยังผู้นำตระกูลซั่งกวน รอให้เขาปริปากพูด

เพียงแค่มีสามตระกูลในสี่ตระกูลอยู่ฝ่ายเดียวกัน แม้ว่าตระกูลเหวินจะเก่งกาจเพียงใดก็คงไม่กล้าทำอะไรมากนัก

แต่ผู้นำตระกูลซั่งกวนกลับหลบสายตาเขา

ไม่ช่วยเหลือใครกลายเป็นหนึ่งในผู้ชม ทำเอาผู้นำตระกูลไป๋หลี่กริ้วมาก

กู้ชูหน่วนมองบนไปครั้งหนึ่ง

“ปีศาจร้ายปีศาจร้าย ข้าว่าพวกเจ้านั่นแหละที่เป็นปีศาจร้าย เขาไม่เคยฆ่าคนบริสุทธิ์เลยแม้คนเดียว ยิ่งไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายอะไรทั้งนั้นด้วย แต่ตระกูลไป๋หลี่ของพวกเจ้า เรื่องชั่วร้ายก็ทำเสียหมด ฆ่าคนก็ฆ่าไปน้อยนักหรือ?”

“แม่หนู ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากอยู่แล้วสินะ”

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่อยากจะฆ่านางเสียตรงนั้น

ร่างกายของเหวินเส่าอี๋เกิดสายฟ้าขึ้นสายหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาเคลื่อนไหวอย่างไรถึงได้ปรากฏตรงหน้ากู้ชูหน่วนแล้ว

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้นำตระกูลเหวิน ท่านคงไม่ได้จะบอกข้าว่านางก็เป็นเพื่อนเก่าของท่านมาหลายปีเช่นกันหรอกกระมัง?”

เหวินเส่าอี๋หันศีรษะไปมองกู้ชูหน่วน แม้เขาจะยิ้มอย่างอบอุ่น ทว่าสิ่งที่เขาพูดออกมากลับเย็นชาจนทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว

“เพื่อนเก่างั้นหรือ? ถือว่าใช่สินะ”

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว และท้าวคางของตัวเองอย่างคุ้นเคย

ชายผู้นี้รู้จักนางงั้นหรือ?

แล้วรู้จักท่านอาจารย์จินผู้เป็นท่านอาจารย์แปลงโฉมของนางหรือว่ารู้จักตัวนางเองล่ะ?

เหตุใดในความทรงจำของนางจึงไม่มีคนคนนี้อยู่?

ดูเหมือนตระกูลมู่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาด้วยสินะ?

กู้ชูหน่วนถามจอมมาร “เจ้ารู้จักเขาหรือไม่?”

จอมมารส่ายศีรษะ

นอกจากพี่หญิงแล้ว เขาไม่รู้จักใครทั้งนั้น

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กล่าวตักเตือนขึ้นอีกครั้ง “ผู้นำตระกูลเหวิน ท่านอยากจะเป็นศัตรูกับทั้งใต้หล้างั้นหรือ?”

เหวินเส่าอี๋หัวเราะไม่พูดอะไรใดๆ

มือทั้งสองของเขาไขว้หลัง สีหน้าสงบ

แม้จะไม่พูดอะไรใดๆ แต่ท่าทีของเขาได้บอกชัดเจนแล้ว

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่จึงทำได้เพียงมองไปยังผู้อาวุโสสวี่แห่งตระกูลเหวิน

“ท่านผู้เฒ่าสวี่ พวกท่านล่ะ?”

“ตระกูลเหวินมีผู้นำตระกูลเป็นผู้ตัดสิน ผู้นำตระกูลว่าอย่างไรก็อย่างนั้น”

ตระกูลเหวินเป็นตระกูลเก่าแก่ลับๆ ตระกูลหนึ่ง ผู้นำตระกูลคนก่อนๆ เป็นใครบ้างย่อมไม่มีใครรู้ได้ และไม่เข้าใจ

ทว่าผู้อาวุโสสวี่กลับรู้เรื่องทุกคนในใต้หล้า

เรื่องราวเล็กใหญ่ในตระกูลเหวิน ล้วนมีเขาเป็นผู้จัดการดูแล

บารมีของเขาอยู่ที่รัฐปิง และมีชื่อเสียงทั่วทั้งรัฐปิงด้วยเช่นกัน

เพียงแค่ชื่อเสียงบารมีของเขา แม้จะเป็นจักรพรรดินีก็ต้องเกรงกลัวเสียหน่อยอยู่ สามารถไม่แม้แต่จะมองเหวินฉู่ไว้ในสายตาเลยด้วยซ้ำ

ทว่าบัดนี้…

เขาทั้งเชื่อฟังคำสั่งของเหวินฉู่

และยัง…

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ทุกคนในตระกูลเหวินต่างก็ยอมจำนนต่อเหวินฉู่

เหวินฉู่คนนี้เก่งกาจจริงๆ

ไม่เพียงแต่บรรลุถึงระดับหกขั้นสูงสุดในอายุน้อยเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้ทุกคนน้อยใหญ่ในตระกูลเหวินต่างก็เชื่อฟังและนับถือได้

ในอดีต ซั่งกวนอวิ๋นหลางเปรียบเป็นเทพในรัฐปิงแล้ว

มาบัดนี้เมื่อเทียบกับเหวินฉู่และหญิงสาวไม่ธรรมดาตรงหน้านี้แล้วก็เสมือนกับหิงห้อยกับพระจันทร์ แตกต่างกันราวกับฟ้ากับเหว

“แสดงว่า ตระกูลเหวินจะเป็นปรปักษ์กับใต้หล้าแล้วงั้นรึ?”

“ตระกูลเหวินจะไม่เป็นปรปักษ์ต่อใต้หล้า ทว่าคนสองคนนี้ข้าต้องนำตัวไปให้จงได้”

“เช่นนี้ยังไม่ถือว่าเป็นปรปักษ์ต่อใต้หล้าอีกหรือ?”

หากมิใช่ว่ากลัวเหวินเส่าอี๋ที่เป็นระดับหกขั้นสูงสุดล่ะก็ ผู้คนต่างก็พร้อมจะทำลายตระกูลเหวินและปีศาจร้ายไปพร้อมๆ กันแล้ว

ดวงตาคมกริบของเหวินเส่าอี๋จ้องมองที่กู้ชูหน่วนอย่างแน่วแน่

และหัวเราะแห้งไปครั้งหนึ่ง “เพราะว่า…หากพวกเขาจะต้องตาย ก็ต้องตายด้วยน้ำมือของข้าเอง”

“…”

ผู้คนต่างงงงัน

เขาจะช่วยพวกเขา?

หรือว่าจะฆ่าพวกเขากันแน่?

เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกว่าบนเรือนร่างของเหวินเส่าอี๋มีกลิ่นอายสังหารลอยออกมาล่ะ?

แต่เมื่อครู่เขาเป็นคนบอกว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนเก่าของเขามิใช่หรือ?

เมื่อสัมผัสถึงดวงตาอันเย็นยะเยือกของเหวินเส่าอี๋ได้ กู้ชูหน่วนจึงรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวและรู็สึกว่าชายคนนี้อันตรายมาก

หากตกอยู่ในมือของนิกายใหญ่ๆ มิน่านางอาจจะมีทางหนีรอดไปได้

แต่หากตกอยู่ในมือของเขา เกรงว่านางตายไปก็คงเป็นเรื่องปิติยินดีนัก

ผู้เฒ่าหนิงกล่าว “ผู้นำตระกูลเหวินอยากจะฆ่าพวกมันด้วยตนเองงั้นหรือ?”

“แน่นอน”

“ฆ่าเสียบัดนี้เลยก็มีค่าเท่ากันมิใช่หรือ?”

“รอให้ข้าอยากฆ่าเมื่อใดค่อยฆ่า”

คำพูดนี้ทำเอาผู้คนต่างมองหน้ากันอีกครั้ง

ผู้เฒ่าหนิงกล่าวเสียงขรึม “ผู้นำตระกูลเหวิน อย่าบอกนะว่าท่านไม่อยากฆ่าปีศาจร้ายคนนั้น ถึงได้หาข้ออ้างน่ะ?”

เหวินเส่าอี๋ถอนสายตา ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่กลิ่นอายสังหารถึงได้หายไปจากร่างกายเขา กลายเป็นทวยเทพที่อบอุ่นเช่นเคย

“ข้ายังต้องหาข้ออ้างอีกงั้นหรือ?”

คำพูดนี้ช่างโอ้อวดนัก

ทว่าทุกคนในเหตุการณ์ต่างก็ไม่กล้าพูดว่าเขาโอ้อวดเลย

เพราะว่าเขามีให้โอ้อวดจริง

ระดับหกขั้นสูงสุด นั่นเป็นเหมือนเทพเจ้าเลยนะ พวกเขาไม่กล้าบาดหมางหรอก

ไป๋หลี่อวิ๋นเย่ว์เกลียดชังที่กู้ชูหน่วนทำลายตาของเขาไปข้างหนึ่ง และเขาคิดจะแก้แค้น

ดังนั้นจึงต้องการกำจัดสองคนนั้นเสียผ่านความร่วมมือของทุกคน

ไป๋หลี่อวิ๋นเย่ว์กล่าว “ผู้นำตระกูลเหวิน คนสองคนนี้ มีคนหนึ่งฆ่าผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลี่ไปหลายท่าน ส่วนอีกคนก็เป็นปีศาจร้าย แม้ท่านจะปกป้องพวกมัน ข้าก็ยืนยันที่จะกำจัดสวะสองตัวนี้ให้กับใต้หล้าอยู่ดี”

เขาพูดและไม่ไว้หน้าเหวินเส่าอี๋เลย เขาเรียกใช้กระบวนท่านองเลือดแล้วโจมตีไปยังกู้ชูหน่วน

นี่เป็นกระบวนท่าที่ทรงพลังที่สุดภายใต้ความกริ้วโกรธของเขา

และเป็นกระบวนท่าที่ตัดสินความเป็นความตายด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่ากู้ชูหน่วนในตอนนี้ไม่ด้อยไปกว่าเขานัก

แต่กระบวนท่าของเขามีกลิ่นอายสังหารและต้องการตัดสินความเป็นความตายกับนางเช่นนี้ กู้ชูหน่วนเองก็รับมือยากเช่นกัน

“โครม…”

ไม่เห็นว่าเหวินเส่าอี๋เคลื่อนไหวอย่างไรเช่นกัน แต่ร่างกายของไป๋หลี่อวิ๋นเย่ว์ก็กระเด็นออกไปเสียแล้ว และไม่รู้ว่ากระเด็นไปไกลเท่าใด ได้ยินเพียงเสียงดังปังอย่างรุนแรงเท่านั้น

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กริ้วโกรธ

เขาเป็นผู้นำตระกูล ไม่เคยถูกใครหยามเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังถูกหยามต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้อีกด้วย

หากเขายอมศิโรราบต่อตระกูลเหวิน ต่อไปตระกูลไป๋หลี่ของเขาจะเงยหน้าขึ้นได้อย่างไร?

เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็กล่าวขึ้นเสียงดังฟังชัด “ผู้นำตระกูลฝีมือเยี่ยมจริงๆ ให้ข้าเรียนรู้วรยุทธ์ของท่านเสียหน่อยเถิด”

กล่าวจบ ร่างกายของผู้นำตระกูลไป๋หลี่ก็ลอยขึ้น โจมตีเหวินเส่าอี๋ด้วยท่าฝ่าจันทร์

“ชิ้ง…”

คนบางส่วนที่วรยุทธ์ต่ำถูกกระแสลมอันรุนแรงพัดจนปลิวไป

หยางมั่นและคนอื่นๆ พยายามทรงตัวตนเองไว้

หนิงเทียนโย่วที่ตามมาทีหลัง มาถึงก็เห็นตระกูลไป๋หลี่กำลังโจมตีผู้นำตระกูลเหวินเสียแล้ว

เขาพลางทรงตัวเอาไว้พลางกำบังกระแสลม แล้วถามผู้เฒ่าหนิง

“ท่านปู่ เกิดอะไรขึ้นขอรับ? ตระกูลไป๋หลี่เรียกลมอะไรอีกงั้นหรือ?”

“เรียกลมอะไรได้กันเล่า ก็อยากจะรวบผู้นำตระกูลเหวินด้วยกระบวนท่าเดียวน่ะสิ”

ผู้เฒ่าหนิงจับมือหนิงเทียนโย่วไว้ หนิงเทียนโย่วไม่อาจถูกลมพัดปลิวไปหรอก