ภาคที่ 26 ศาสตร์ลับประจำวัง ตอนที่ 26 พบจอมกระบี่เป็นครั้งแรก

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 26 พบจอมกระบี่เป็นครั้งแรก โดย Ink Stone_Fantasy

วันนี้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่าง ‘วังทวีสูญ’ คึกคักเป็นที่สุด ปกติแล้วยากที่จะได้เห็น ‘ประมุขวัง’ และเหล่า ‘ผู้อาวุโสตำหนักใน’ เพราะมักจะติดภารกิจอยู่ข้างนอกหรือไม่ก็ปลีกวิเวก น้อยนักที่จะปรากฏตัว แต่วันนี้พวกเขากลับปรากฏตัวกันทั้งหมด แม้กระทั่งประมุขวังสองท่านที่มีสถานะสูงส่งเป็นที่สุดอย่าง ‘บรรพชนเทียนอวี๋’ และ ‘จอมกระบี่’ ก็ออกจากการปลีกวิเวกมาก่อนแล้ว

การประลองจัดอันดับของศิษย์เทพแท้

เป็นการประลองภายในที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทั้งวังทวีสูญ เป็นกิจกรรมที่ใหญ่ที่สุดงานหนึ่งก็ว่าได้!

“ศิษย์อาภรณ์ทองตงป๋อเสวี่ยอิง เชิญมาที่ ‘ลานโลกสันติ’ โดยด่วน” ป้ายคำสั่งส่งสารได้รับสารที่ส่งมา

ภายในตำหนักหมื่นรูป ตงป๋อเสวี่ยอิงสะดุ้งเล็กน้อยแล้วนำตำราในมือวางกลับเข้าไปในชั้นหนังสือ

“ในที่สุดก็มาถึงวันนี้แล้ว”

ตำราที่มีความสำคัญกับเขา เขาก็ได้อ่านไปก่อนแล้ว ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขากำลังอ่านตำราเล่มอื่นๆ แม้กระทั่งตำราบางเล่มที่อธิบายถึงระบบอื่นๆ อย่าง ‘ทิพย์’ และ ‘ศาสตร์โบราณ’ นี่ก็สามารถทำให้เขาเปิดโลกทัศน์ได้กว้างไกล ในอนาคตหากต้องเผชิญหน้ากับศัตรูคนอื่นๆ ก็จะได้มีการเตรียมตัวที่เพียงพอ

“สิบสามกระบี่ผลาญโลกาก็ยังยากเย็นโดยแท้” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำเสียงต่ำ “ยังคิดจะบำเพ็ญในขั้นผู้ปกครองให้สำเร็จกระบี่ที่สอง ตอนนี้ดูแล้วก็ยังมีความขาดแคลนอยู่บ้าง!”

ตอนแรกที่ได้วิชาสิบสามกระบี่ผลาญโลกา กระบี่ที่หนึ่งก็ทำให้เขาสีหน้าเปลี่ยนแปรแล้ว เดิมทีเขาย่อมไม่กล้าวาดฝันว่าจะบำเพ็ญในขั้นผู้ปกครองให้สำเร็จกระบี่ที่สอง

แต่ว่าหลังจากการพลิกอ่านตำราจำนวนนับไม่ถ้วน โลกทัศน์ยกระดับขึ้นอย่างมหาศาลแล้ว ทั้งยังเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญกว่าสามร้อยล้านปีภายใน ‘ตำหนักกาลเวลา’ จนกระทั่งเขาสามารถผนวกรวม ‘กระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกา’ และความเร้นลับวิถีระลอกคลื่นเข้าด้วยกันได้สำเร็จ ทั้งยังได้รู้ว่าเหตุใดจึงได้สรรสร้างวิชากระบี่ที่หนึ่งผลาญโลกาขึ้นมาเช่นนี้

หลังจากระดับขั้นสูงขึ้นแล้ว กระบี่ที่สองผลาญโลกาก็มิได้สูงส่งจนเอื้อมไม่ถึงอีกต่อไป เขาเองก็เกิดความคาดหวังขึ้นมา! ยี่สิบแปดล้านปีนี้ ในขณะที่เขาพลิกดูตำราอยู่ในตำหนักหมื่นรูป ก็ใคร่ครวญวิชากระบี่ที่สองผลาญโลกามาโดยตลอด แล้วเข้าไปหยั่งรู้บำเพ็ญใน ‘ตำหนักกาลเวลา’ เป็นระยะๆ

กระทั่งจุดความดีความชอบตอนนี้ก็เหลืออยู่น้อยนิดเพียงห้าร้อยจุดเท่านั้น น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถไขว่คว้ามาได้เช่นเดิม

“สวบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงออกมาจากตำหนักหมื่นรูปแล้วแปรร่างเป็นลำแสงบินตรงไปยังลานโลกสันติ

……

ฟิ้วๆๆ…

ณ มิติที่เป็นที่ตั้งของวังทวีสูญ ลำแสงสายแล้วสายเล่าเคลื่อนผ่านกลางฟากฟ้า บรรดาศิษย์เทพแท้ที่มาจากทุกหนแห่งต่างก็มุ่งหน้าไปยังลานโลกสันติ

“ถึงแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปยังที่ไกลๆ

ลานโลกสันติก็คือสถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อการประลองแข่งขัน

เห็นเพียงว่าลานโลกสันติอันกว้างใหญ่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของค่ายสังหารแผ่กระจายไปทั่ว ลานโลกสันติมีเสาหินอยู่กว่าพันต้น! มีตัวอักษรเรียงอยู่แถวหนึ่ง  ในบรรดาเสาเหล่านั้น เสาหินที่อยู่ด้านหน้าสุดมีศิษย์อาภรณ์ทองและศิษย์อาภรณ์ม่วงร่อนลงมาที่ด้านบนอยู่ก่อนแล้ว

“สวบ” ตงป๋อเสวี่ยอิงก็โฉบลงไป ร่อนลงบนเสาหินต้นที่สิบเอ็ดอย่างรวดเร็ว

ศิษย์ทุกคนต่างก็สัมพันธ์กับเสาหินต้นหนึ่ง โดยหลักแล้วจะอ้างอิงจากการจัดลำดับในการประลองของศิษย์เทพแท้เมื่อคราวก่อน! แน่นอนว่าถ้าหากกลายเป็นเทพอากาศ ศิษย์ในลำดับหลังๆ ก็จะขยับขึ้นมาแทนที่ ศิษย์อาภรณ์ทองที่โผล่ขึ้นมาอย่างปุบปับดังเช่นตงป๋อเสวี่ยอิง ลำดับของเขาก็ถูกจัดอยู่ในลำดับที่สิบเอ็ด ศิษย์คนอื่นๆ ที่อยู่หลังจากนั้นก็ถอยหลังไปหนึ่งลำดับ

สวบ สวบ…

ในขณะนี้บริเวณรอบๆ ก็ยังมีศิษย์ร่อนลงมาอยู่

ทางด้านซ้ายมือของตงป๋อเสวี่ยอิงมีเสาหินเรียงรายอยู่สิบต้นสำหรับสิบลำดับแรก ตอนนี้มีศิษย์อาภรณ์ทองหกคนที่มาถึงแล้ว สำหรับทางด้านขวา… แน่นอนว่าล้วนแล้วแต่เป็นศิษย์อาภรณ์ม่วง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เข้าใจ ในบรรดาผู้ที่ถูกจัดอยู่ในลำดับที่สิบกว่าเหล่านั้น  มีบางคนที่ต่างก็เคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาก่อน พลังยุทธ์ก็มิได้กระจอกเลย!

“ศิษย์น้องตงป๋อเสวี่ยอิงหรือ”

“ได้ยินชื่่อของศิษย์น้องตงป๋อเสวี่ยอิงมานานแล้ว แต่นี่ก็เพิ่งเคยได้พบเป็นครั้งแรก”

มีศิษย์อาภรณ์ทองเอ่ยปาก บรรดาศิษย์อาภรณ์ทองเหล่านี้บ้างก็เป็นมิตร บ้างก็เย่อหยิ่ง บ้างก็นั่งหลับตาขัดสมาธิบนเสาหินไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็อมยิ้มเอ่ยตอบ “ข้ามาที่วังทวีสูญเป็นครั้งแรก จึงอยู่แต่ในตำหนักหมื่นรูปแทบจะตลอดเวลา  ยินดีที่ได้พบศิษย์พี่ทุกท่าน”

“เขาก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงหรอกหรือ”

“เฮอะ มาอยู่ในอันดับก่อนหน้านี้ของข้า”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องใส่ใจเลย เขาคือผู้ที่ผ่านการทดสอบภายในจักรวาลกลายเป็นศิษย์อาภรณ์ทอง ก็ย่อมต้องเป็นคนที่สิบเอ็ดอยู่แล้ว แต่พลังยุทธ์กลับแตกต่างจากศิษย์อาภรณ์ทองที่มาจากการแข่งขันภายในวังทวีสูญของพวกเรามากมายนัก”

“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ศิษย์น้องชายหญิงจำนวนมากเคยท้าประลองกับเขามาก่อนแต่เขาก็ไม่รับคำท้าเลย ยังพูดว่าถึงเวลาประลองจัดอันดับแล้วค่อยรับคำท้า”

“หึๆ…”

“อีกไม่นานเขาก็ต้องเปิดเผยพลังยุทธ์แล้ว”

เหล่าศิษย์อาภรณ์ม่วงจำนวนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างแต่ละคนถ่ายเสียงสนทนาพูดคุยกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะถูกจัดอยู่ในลำดับที่สูงที่สุด แม้กระทั่งเคยเป็นศิษย์อาภรณ์ทองมาก่อน ก็มิได้เห็นตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่ในสายตาเลย แต่วาจาเหล่านี้ พวกเขาก็เพียงแค่ถ่ายเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันเท่านั้น

เพียงไม่นาน บนเสาหินกว่าพันต้น บรรดาศิษย์ที่ถูกจัดอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรกต่างก็ร่อนลงมาทีละคนๆ สำหรับบรรดาศิษย์ที่ถูกจัดอยู่ในลำดับหลังๆ น่ะหรือ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะตรงมายังลานโลกสันติ พวกเขาจำเป็นจะต้องไปผ่านการทดสอบคัดกรองคุณสมบัติก่อน ศิษย์อาภรณ์ม่วงจำนวนมากมายล้วนไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเข้าร่วมการประลองของศิษย์เทพแท้

ไม่ผ่านแม้กระทั่งการคัดกรองคุณสมบัติ แล้วจะไปเข้าร่วมการประลองจัดอันดับอันใดกันเล่า

“ศิษย์อาภรณ์ทองสองคนที่แข็งแกร่งที่สุด” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองศิษย์อาภรณ์ทองสองคนที่จัดอยู่ในลำดับแรกและลำดับที่สองที่อยู่ทางซ้ายมือปราดหนึ่ง “อ้างอิงจากข้อมูล พวกเขาสองคนกับศิษย์อาภรณ์ทองที่อยู่ลำดับหลังๆ มีความได้เปรียบที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจนมากเลยทีเดียว”

ลำดับของศิษย์อาภรณ์ทอง

ลำดับแรก อวี่เจี้ยนเค่อ

ลำดับสอง มารเฒ่าเข็มทอง

โดยทั่วไปแล้ว ด้วยระดับความร้ายกาจของศิษย์อาภรณ์ทอง พลังยุทธ์ของลำดับใกล้เคียงกันก็มักจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย สามารถถูกจัดอยู่ในลำดับที่หนึ่งที่สองได้ เผชิญหน้ากับลำดับที่สามและลำดับหลังจากนั้นกลับมีข้อได้เปรียบโดยสิ้นเชิง

“มารเฒ่าเข็มทองหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองปราดหนึ่ง นั่นก็คือชายผอมบางคิ้วสีเขียวที่มีนอเดี่ยวสีดำอันหนึ่ง นัยน์ตาทั้งสองก็มีประกายสีเขียว มีกลิ่นอายดุร้ายที่ชวนให้คนใจสั่น อ้างอิงจากบันทึกข้อมูล มารเฒ่าเข็มทองผู้นี้ เดิมทีเรียกตนเองว่า ‘บรรพชนเข็มทอง’ แต่หลังจากที่เข้าสู่วังทวีสูญแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะป่าวประกาศไปทั่ว แต่ก็ยังถูกเปลี่ยนคำเรียกหาเป็น ‘มารเฒ่าเข็มทอง’

บรรพชน…

บุคคลผู้มีระดับสูงส่งที่สุดของระบบการบำเพ็ญหนึ่งๆ โดยทั่วไป สามารถถูกเรียกได้ว่าเป็น ‘บรรพชน’ มีความหมายที่เป็นที่เคารพยกย่อง ดังนั้นภายในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หากพลังยุทธ์อ่อนแอก็ย่อมมิบังอาจเรียกว่าบรรพชน ในตอนแรก ‘จอมมาร’ คงสมญาของตนเองเอาไว้ได้ หนึ่งก็เพราะในตอนแรกเขาก็เป็นขั้นรวมเป็นเอกภาพระดับสุดยอด และขั้นรวมเป็นเอกภาพคนอื่นๆ ในวังทวีสูญล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา บรรดาขั้นอลวนที่มีสถานะสูงส่งพอก็มิได้ลงมือ ดังนั้นจึงยังคงรักษาสมญาเอาไว้ได้

แต่ผู้ปกครองเทพแท้ตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ยังกล้าเรียกว่าบรรพชนได้หรือ

เหล่าผู้อาวุโสตำหนักนอกและผู้อาวุโสตำหนักในจึงได้มอบบทเรียนอันหนักหน่วงให้! เรียกตนเป็นบรรพชนในสถานที่อันไกลโพ้นก็แล้วไปเถิด แต่มาเรียกว่าเป็นบรรพชนอยู่กลางสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นช่างเป็นการหาเรื่องทุกข์ยากใส่ตัวโดยแท้

“อวี่เจี้ยนเค่อหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองอวี่เจี้ยนเค่อผู้นั้นปราดหนึ่ง

อวี่เจี้ยนเค่อคือบุรุษผู้หนึ่งที่ดื่มสุราจนสภาพร่อแร่ นั่งขัดสมาธิยิ้มร่าอยู่ที่นั่น ด้านหลังของเขามีกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังมุ่งความสนใจไปยังพวกเขาสองคน ศิษย์อาภรณ์ทองและศิษย์อาภรณ์ม่วงคนอื่นๆ ต่างก็อดที่จะมุ่งความสนใจไปยังพวกเขาสองคนมิได้ ถึงอย่างไรผู้ที่สามารถอาศัยเพียงแค่ความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของขั้นผู้ปกครองสำแดงพลังการต่อสู้อันน่าเกรงกลัวเช่นนั้นได้ พวกเขาต่างก็รู้สึกชื่นชม

“สวบๆๆ…” ทันใดนั้นก็มีศิษย์อาภรณ์ม่วงกลุ่มใหญ่บินทะยานมาจากที่ไกลๆ

“ออกมาแล้ว”

“รู้ผลการคัดกรองคุณสมบัติแล้ว ผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติในคราวนี้มีหกร้อยยี่สิบสามคน รวมกับพวกเราอีกหนึ่งร้อยคน การประลองจัดอันดับศิษย์เทพแท้ในคราวนี้มีด้วยกันทั้งสิ้นเจ็ดร้อยยี่สิบสามคน”

“พวกเขาไม่คู่ควรแก่การพูดถึงหรอก คู่ต่อสู้ของพวกเราถูกกำหนดให้เป็นผู้ที่จัดอยู่ในยี่สิบลำดับแรกอยู่แล้ว”

“นี่ก็พูดยาก ในบรรดาศิษย์เทพแท้กลุ่มนี้ก็มีพวกหน้าใหม่ที่เข้ามายังวังทวีสูญด้วย ไม่แน่ว่าอาจมีพวกหน้าใหม่ที่ร้ายกาจเป็นที่สุดอยู่ก็เป็นได้”

……

ทันใดนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างรับสัมผัสได้

ในฉับพลันนั้นเห็นเพียงว่าท้องฟ้าด้านบนมีเงาร่างฝูงหนึ่งบินมา สองคนที่นำหน้าอยู่นั้น คนหนึ่งคือชายชราหลังค่อม ส่วนอีกคนหนึ่งคือบุรุษผมขาว พวกเขาสองคนบินอยู่ด้านหน้าสุด ยิ้มแย้มพูดคุยซึ่งกันและกันอย่างผ่อนคลาย ถึงแม้ว่าจะผ่อนลมหายใจโดยไม่รู้ตัว แต่ลำพังแค่ความแตกต่างอันใหญ่หลวงของระดับขั้นชีวิต ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกได้ถึงความสั่นสะท้านของจิตวิญญาณของตน

สูงส่งเหนือผู้ใด!

แม้ว่าจะเหินทะยานอยู่กลางอากาศอันสับสนอลหม่าน เผชิญหน้ากับจักรวาลอันใหญ่โตมโหฬารแห่งแล้วแห่งเล่า ความรู้สึกกดดันที่จักรวาลส่งผลต่อเขาก็มิอาจเปรียบเทียบได้กับความกดดันที่ ‘ชายชราหลังค่อม’ และ ‘บุรุษผมขาว’ ทำให้เขารู้สึกเลย

ก็ถูกแล้ว บุคคลที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองท่าน…ล้วนแล้วแต่สามารถทำลายจักรวาลได้เพียงแค่พลิกฝ่ามือ หรือหากต้องการแล้วล่ะก็ พวกเขาก็เป็นสิ่งมีชีวิตขั้นสุดยอดที่มีพลังกระทั่งสามารถผลาญทำลาย ‘โลกทิพย์’ ได้เลยทีเดียว! อีกทั้งในตอนนี้ มหาโลกทิพย์ทั้งห้า แม้กระทั่งกลางอากาศอันสับสนอลหม่าน ระบบความเร้นลับของกฎเกณฑ์ก็มีบุคคลที่ไปถึงขั้นสุดยอดอยู่เพียงสองคนเท่านั้น… ซึ่งก็คือบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่!

ด้านหลังของพวกเขาสองคนก็คือสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนหลายท่าน ท่ามกลางขั้นอลวนเก้าคน จอมมารก็มิได้โดดเด่นเลยแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกันแล้ววันเวลาที่ใช้ในการบำเพ็ญก็ยังถือว่าสั้น ท่ามกลางประมุขวังของวังทวีสูญ พลังยุทธ์ของเขาก็จัดอยู่ในระดับปานกลางเท่านั้น

“อ้างอิงจากข่าวสาร ขั้นอลวนของวังทวีสูญมีทั้งหมดสิบสองคน ดูแล้วมีสามคนที่ไม่อยู่” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยเบาๆ ถึงแม้ว่าการประลองของศิษย์เทพแท้จะนับได้ว่าเป็นกิจกรรมใหญ่งานหนึ่ง แต่ก็มิใช่ว่าขั้นอลวนทุกคนจะต้องมาเข้าร่วมอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่า ‘จอมกระบี่’ จะปลีกวิเวกอยู่บ่อยๆ มีเวลาก็ไม่แน่ว่าจะมาเข้าร่วม แต่แน่นอนว่าคราวนี้จอมกระบี่ก็มาเข้าร่วมแล้ว

ถัดไปด้านหลัง…

ก็คือผู้อาวุโสตำหนักในหลายท่าน

“โครม…” กลางท้องฟ้าเบื้องบน เมฆหมอกรวมตัวกันกลายเป็นบัลลังก์หลายตัว

บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งสูงสุด

ขั้นอลวนเก้าคน และผู้อาวุโสตำหนักในสามสิบเอ็ดคนนั่งลงตามลำดับ ทั้งหมดต่างก็มองลงมายังเบื้องล่าง

“จอมกระบี่ เจ้าเด็กผู้นั้นก็คือตงป๋อเสวี่ยอิง” จอมมารถ่ายเสียงพูด ถึงแม้ว่าจะต่อสู้ที่บ้านเกิดมาเป็นเวลายาวนาน ตอนนี้ก็ลอบกำหนดให้จอมกระบี่เป็นเป้าหมายอย่างลับๆ แต่ในใจของจอมมารก็เข้าใจว่าความแตกต่างซึ่งกันและกันนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด

บุรุษผมขาว ‘จอมกระบี่’ มองลงมายังเบื้องล่าง สายตาไปจับอยู่บนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิงที่จัดอยู่ในลำดับที่สิบเอ็ดอย่างรวดเร็วยิ่ง

………………………………..