บทที่ 577 ไม่มีเงินจะไปสู้รบ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 577 ไม่มีเงินจะไปสู้รบ
ในตอนนี้เมื่อฉีเฟยอวิ๋นพูดเรื่องนี้ขึ้นมา อู๋กั่วจึงไม่ควรพลาดโอกาสนี้ นางมองดูอาอวี่อย่างละเอียดถี่ถ้วน เขาก็ไม่เลวเลย

นางหน้าแดงและกล่าวว่า:“หลังจากนี้ข้าจะเรียกนางว่าพระชายา เจ้าจะรีบร้อนไปทำไมกัน?”

อาอวี่หายใจติดขัด นี่ไม่ใช่เรื่องเร่งรีบของเขา

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกขบขัน ดูเหมือนว่าหญิงสาวของหอทิงเฟิงจะหาบ้านสามีได้ไม่ง่ายเลย แต่สามารถพาออกไปข้างนอกได้ จวนอ๋องเย่ของพวกเขาจึงน่าจะลองดู จวนอ๋องเย่นั้นขาดสะใภ้และการสู่ขออู๋กั่วคงไม่ใช่เรื่องยาก

“อาอวี่เป็นผู้อารักขาของจวนอ๋องเย่ สถานะของเขาในจวนนั้นสูงกว่าผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ และโดยปกติแล้วเขาจะอารักขาข้าและท่านอ๋อง ดังนั้นเขาจึงพูดจาเย่อหยิ่ง หวังว่าแม่นางอู๋กั่วจะไม่ถือโทษโกรธเคือง”

ฉีเฟยอวิ๋นยังคงหยั่งเชิงต่อ ใบหน้าของอู๋กั่วแดงมากขึ้นเรื่อย ๆ และเงยหน้าขึ้นมองอาอวี่

อาอวี่เป็นผู้ที่มีความสามารถ แววตาเป็นประกาย และฝีมือไม่ธรรมดา……

อู๋กั่วรู้สึกพอใจและคิดว่าจะลองไตร่ตรองดูสักคืน และลองถามอาอวี่ดูว่าเขาคิดอยากจะแต่งงานและมีลูกกับนางหรือไม่

หญิงสาวในยุทธภพนั้นป่านเรื่องราวมามากมาย ไม่เหมือนหญิงสาวจากครอบครัวขุนนาง นางมักจะเรียบง่าย จิตใจเบิกบาน และถือว่าอาอวี่เป็นคนของนาง

อาอวี่หน้าแดงก่ำและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“พระชายา……”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว”

อาอวี่เองก็ไม่อยากอยู่ต่อ จึงหันหลังเดินจากไป

หลังจากที่อาอวี่จากไปแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ยิ้มให้อู๋กั่วและแนะนำว่า:“นี่เป็นท่านอ๋องของบ้านข้า”

อู๋กั่วมองไปที่หนานกงเย่อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คำนับ:“คารวะท่านอ๋อง”

“……”

หนานกงเย่ส่งเสียงอืม:“ไม่ต้องมากพิธี”

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า:“พวกเราไม่รบกวนแล้ว หากต้องการอะไรก็บอกมาได้เลย เรือนจวินจื่อเป็นที่อยู่ของซื่อจื่อทั้งห้า ด้านหน้าเป็นห้องของท่านพ่อข้าและเสี่ยวกั๋วจิ้ว ด้านนั้นเป็นที่พักของผู้ป่วย และห้องข้างในเป็นห้องของท่านราชครูจวิน นอกเหนือจากห้องที่ข้าบอกนั้นไม่สะดวก ส่วนที่อื่น ๆ ให้เจ้าใช้ได้ตามสบาย”

“ได้” เพื่อให้มีผลลัพธ์ที่ดีกับอาอวี่ อู๋กั่วจึงตั้งอกตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่ตอบตกลงแล้ว อู๋กั่วก็กล่าวว่า:“อันที่จริงอาการป่วยของเจ้าหอดีขึ้นแล้ว ได้ยินหมอเทวดาบอกว่าหลังจากที่กินยาของพระชายาแล้วก็เป็นเช่นนี้ เขากำลังทำการรักษาให้เจ้าหออยู่ รอให้เจ้าหออาการดีขึ้นแล้วจะไปพบท่านอ๋องและพระชายา”

“ได้ พวกเราเข้าใจแล้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นหันหลังและดินตามหนานกงเย่ออกไป ทั้งสองไม่ได้เดินไปไกลมากนัก และไปที่บ้านห้องของฮูหยินรอง หลังจากที่เขาไปแล้วก็พบแม่ทัพฉี เสี่ยวกั๋วจิ้ว และราชครูจวิน

มีโต๊ะสี่เหลี่ยมตั้งอยู่บนพื้น และพวกเขาก็กำลังนั่งดื่มชาอยู่รอบ ๆ

เมื่อฉีเฟยอวิ๋นเข้าไปแล้วก็ทักทายทุกคน และช่วยนำเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกบนบ่าของหนานกงเย่มาวางไว้ข้าง ๆ จากนั้นหงเถาและลี่ว์หลิ่วก็รีบเข้ามาปรนนิบัติ

หลังจากที่หนานกงเย่เข้ามาแล้ว เขาก็นั่งลง ราชครูจวินกล่าวว่า:“เจ้าหอทิงเฟิงนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ได้ยินมาว่าเขาฆ่าคนและปล้นทรัพย์สิน เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง เจ้าคิดอย่างไรถึงได้พาเขามา?”

หนานกงเย่คิดไม่ถึงว่าราชครูจวินจะรู้จักคนอย่างเฟิงอู๋ชิงด้วย

“เฟิงอู๋ชิงลอบสังหารอวิ๋นอวิ๋นเพราะเงิน ในตอนนี้เขาป่วยหนักและมีเพียงอวิ๋นอวิ๋นเท่านั้นที่สามารถรักษาเขาได้ ไม่ต้องกังวลมากนัก เรื่องที่ข้าต้องการหารือในตอนนี้คือเรื่องการปราบปรามกองทัพชายแดนของแคว้นอู๋โยว

ทุกคนมองหน้ากัน แล้วราชครูจวินก็กล่าวว่า:“ในเมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว และสงครามกำลังจะเริ่มขึ้น และมิอาจพ่ายแพ้ได้ แต่หากต้องการจะชนะก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

นี่ไม่ใช่ครั้งก่อนที่แคว้นอู๋โยวไม่ได้มีการเตรียมการ ในเวลานี้ควรจะรีบเร่งไปยังชายแดน หากชักช้าจะไม่ทันการ”

“ดังนั้นข้าจึงจัดกำลังทหารให้ล่วงหน้าออกไปแล้ว ท่านอ๋องหย่งจวิ้นและแม่ทัพหวาก็มาด้วย เป็นเพราะว่ากองทัพของทั้งสองกำลังจะมาถึงแล้ว”

“……” ราชครูจวินเลิกคิ้ว:“พระองค์ทรงกล้าประกาศพระราชโองการปลอม หากกระหม่อมไปกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท เกรงว่าท่านอ๋องเย่คงยากที่จะหลบหนี!”

หนานกงเย่เลิกคิ้วขึ้น:“ภัยอันใหญ่หลวงอยู่ตรงหน้า ท่านราชครูจวินยังมีความคิดที่จะไปกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท ข้าก็จะไม่ถือสา”

“……” ราชครูจวินเลิกคิ้ว:“แม้ว่าในตอนนี้จะต้องการกำลังพล แต่สิ่งที่ท่านอ๋องเย่ทรงทำนั้นขัดกับแนวทางของฝ่าบาท หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ท่านอ๋องเย่ก็จะมีความผิด”

“เช่นนั้นก็รบกวนท่านราชครูจวินให้ไปกราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทแล้ว”

……

ทุกคนมองหน้ากัน และฉีเฟยอวิ๋นก็กล่าวว่า:“หากท่านราชครูจวินจะไปกราบทูลต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทก็ดี ในยามสงบฝ่าบาทก็มิได้เพิกเฉย”

“ในเมื่อทุกคนเห็นพ้องต้องกัน และท่านอ๋องก็ทรงทำผิดกฎหมายบ้านเมือง เช่นนั้นพรุ่งนี้เช้าข้าก็จะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”

“ขอบคุณท่านราชครูจวิน” ฉีเฟยอวิ๋นรีบกล่าวขอบคุณ และในเวลานี้หนานกงเย่ก็กลับเข้าเรื่อง

“ข้าไม่ต้องการให้ทุกท่านถามถึงเรื่องการรบกับแคว้นอู๋โยว ข้ากำลังจะไปที่ชายแดนด้วยตนเอง เพียงแต่เมืองหลวงคงต้องมอบให้เป็นหน้าที่ของทุกท่าน”

“เหตุใดพระองค์ถึงยังต้องไปที่ชายแดนอีก แม่ทัพหวาและท่านอ๋องหย่งจวิ้นไปที่นั่นแล้ว พวกเขาสู้รบในสนามรบมาหลายปี ยังเทียบกับพระองค์ไม่ได้อีกหรือ?

พระองค์เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ควบคุมดูแลสามสำนักหกกรมของต้าเหลียง หากพระองค์ทรงเสด็จไป เมืองหลวงก็คงจะกระสับกระส่าย แล้วจะทำอย่างไร?”

แม่ทัพฉีเป็นห่วงบุตรเขยมาก หากเขาไม่เอ่ยปากพูดเรื่องนี้ ใครก็คงไม่สามารถพูดได้

หนานกงเย่กล่าวด้วยความเคารพในทันที:“ท่านพ่อตาไม่ต้องกังวล ข้าย่อมมีวิธีจัดการ!”

แม่ทัพฉีพูดไม่ออก เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว?

ฉีเฟยอวิ๋นแอบรู้สึกขบขัน ท่านพ่อของนางจงใจแกล้งโง่เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามละเลยแล้วฉวยโอกาสคว้าชัยชนะครั้งสุดท้าย แต่ท่านพ่อของนางรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับนาง

“อวิ๋นอวิ๋นอยู่ที่จวน”

เมื่อหนานกงเย่พูดเช่นนี้ ฉีเฟยอวิ๋นก็ตกตะลึง:“ท่านอ๋อง ไม่ได้พาหม่อมฉันไปด้วยหรือเพคะ?”

“……ลูกต้องการเจ้า ข้าไปคนเดียวก็พอแล้ว จะพาสตรีไปออกศึกด้วยได้อย่างไร และคงจะเป็นที่ขบขันของผู้คน?”

“……”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่มีอะไรจะพูด แต่หากไม่พานางไปด้วย แล้วเขาไปคนเดียว นางก็ไม่สบายใจ

“เช่นนั้นท่านอ๋องจะพาใครไปเพคะ?”

“จวินโม่ซ่าง!”

“……”

ฉีเฟยอวิ๋นเงียบไม่พูดไม่จา การพาเป็นจวินโม่ซ่างไปด้วยถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ประการแรกคือสามารถเก็บไว้ข้างกายได้ และประการที่สองคือสามารถใช้ประโยชน์ได้

และแน่นอนว่าจวินโม่ซ่างคุ้นเคยกับพื้นที่ของแคว้นอู๋โยวเป็นอย่างดี เพียงแต่จวินโม่ซ่างมีแรงจูงใจในการฆ่า จึงไม่เป็นปัญหามากนัก!

ทุกคนไม่ได้พูดอะไร หนานกงเย่จึงลุกขึ้นยืน:“แต่ข้าไม่ได้จะจากไปในวันสองวันนี้”

ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่ฮูหยินรองและเดินตามหนานกงเย่ออกไป แม่ทัพฉีและเสี่ยวกั๋วจิ้วหวังฮวายอันก็ออกไปด้วยเช่นกัน

หนานกงเย่กลับไปที่ห้องของลูก ๆ และแม่ทัพฉีก็เดินตามเข้ามา

แม่ทัพฉีนั่งลงและถามว่า::“คนอย่างจวินโม่ซ่างนั้นไม่ธรรมดา แม้ว่าเขาจะพูดจาไร้มารยาทในราชสำนัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองค์รัชทายาทของแคว้นอู๋โยว และที่ปรึกษาของเขาคือถังหลง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ใช่คนธรรมดา

นกที่ดีย่อมเลือกไม้เป็นที่อยู่อาศัย!”

หนานกงเย่เงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพฉี:“ท่านพ่อตา บุตรเขยรู้”

ฉีเฟยอวิ๋นอุ้มบุตรชายคนเล็กขึ้นมาและตบเบา ๆ จากนั้นก็กล่าวว่า:“ท่านพ่อ หากท่านไปสู้รบกับแคว้นอู๋โยวครั้งนี้ มีโอกาสที่จะชนะมากน้อยเพียงใดเจ้าคะ?”

“ไม่มีโอกาสที่จะชนะ” แม่ทัพฉีกล่าวอย่างตรงไปตรงมา

ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึงครู่หนึ่งและมองไปที่แม่ทัพฉี แม่ทัพฉีจึงกล่าวว่า:“ตอนนี้ต้าเหลียงไม่สามารถสู้ได้ ไม่ต้องพูดถึงคนแกร่งม้าอึดเลย เพียงแค่กองทัพจงรักภักดีเท่านั้น

ละเว้นภาษีมาเป็นเวลาสามปีก็เพราะราษฎรมีภัยธรรมชาติ จึงไม่สามารถเก็บภาษีได้

ราษฎรยากจน บ้านเมืองย่ำแย่ เงินในท้องพระคลังไม่เพียงพอสำหรับการสู้รบเป็นเวลาสองเดือน แล้วจะรบอย่างไร?”