ตอนที่ 53-2 เฮ่อเหลี่ยนมีชีวิตอยู่มิสู้ตาย

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้พนักงานไปต้มข้าวต้มมาให้ทุกคน แล้วก็ป้อนให้พวกเขา อีกทั้งยังกำชับให้พนักงานป้อนยาให้พวกเขาตามเวลา และเปลี่ยนยาที่บาดแผล

 

 

พนักงานจดจำทุกอย่าง

 

 

ท้องฟ้ามืดสนิทลงแล้ว ทุกคนจึงแยกย้ายออกจากร้านยาเต๋อเหริน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไปส่งเมิ่งเชี่ยนโยวกลับจวน แล้วก็พาองครักษ์เงากลับจวนอ๋อง

 

 

เมื่อวานพี่หลี่ไปแจ้งข่าวที่ร้านบะหมี่มันฝรั่ง เมิ่งอี้ได้ยินแล้วก็ตกใจแทบแย่ หลังจากที่ส่งองครักษ์ไปแจ้งข่าวที่จวนอ๋องฉี ก็รอคอยฟังข่าวอยู่ที่จวนอย่างกระสับกระส่าย จนกระทั่งถึงเวลาปิดร้านก็ยังไม่ได้ข่าวคราว ในใจของเมิ่งอี้ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น แล้วก็พาทุกคนกลับจวนด้วยความร้อนใจ แต่ก็พบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยังไม่กลับจวน คาดเดาว่าหวงฝู่อี้เซวียนคงจะยังตามหาคนไม่เจอ ก็เป็นห่วงจนไม่ได้นอนทั้งคืน รอจนกระทั่งฟ้าสาง ทหารอารักขามาแจ้งข่าวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวปลอดภัยแล้ว จิตใจที่กระสับกระส่ายมาทั้งคืนจึงค่อยสงบลงได้ แล้วก็ทำตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวบอก ให้ทุกคนพักผ่อนที่จวนหนึ่งวัน ตอนนี้พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาแล้ว ก็รีบวิ่งเข้าไปหานาง แล้วมองซ้ายมองขวา ข้างบนข้างล่าง ข้างหน้าข้างหลัง ตรวจสอบนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน เมื่อเห็นนางไม่เป็นอะไร จึงสบายใจได้จริงๆ กล่าวว่า “ข้าตกใจแทบแย่ เจ้าเล่ามาสิว่าพวกเจ้าไปทำอะไรถึงได้โดนทหารจับเอา?”

 

 

คนเยอะ เมิ่งเชี่ยนโยวลำบากใจที่จะอธิบายให้เขาฟัง กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องเล็กๆ พี่รองไม่ต้องเป็นห่วง”

 

 

“ถึงขึ้นถูกจับเข้าไปขังในคุกแล้วยังบอกว่าเรื่องเล็กอีก ต้องสูญเสียชีวิตก่อนใช่ไหมถึงเป็นเรื่องใหญ่?”

 

 

เมิ่งอี้ไม่เคยพูดเช่นนี้กับนางมาก่อน อาจจะเป็นเพราะว่าตกใจจริงๆ เมิ่งเชี่ยนโยวลูบจมูกไม่กล้าพูดอะไร

 

 

เมิ่งอี้เองก็รู้ตัวว่าตัวเองพูดแรงเกินไป จึงพูดเสียงอ่อนลงว่า “เจ้าคงตกใจไม่น้อย ข้าจะไปบอกให้คนในห้องครัวต้มน้ำร้อนไว้ให้เจ้า อาบน้ำกินข้าวแล้วก็ไปนอนให้สบาย มีเรื่องอะไรไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า แล้วเดินไปที่เรือนของตนเอง องครักษ์เงาหญิงทั้งสองคนเดินอยู่ข้างหลังนางไม่ห่าง

 

 

เมิ่งอี้จะไปห้องครัว เดินไปไม่กี่ก้าวค่อยนึกถึงกัวเฟยและคนอื่น จึงรีบหันกลับไปถามว่า “พวกเขาเหล่านั้นล่ะ ทำไมไม่กลับมาพร้อมกับเจ้า? ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า แล้วหันกลับไปตอบอย่างคลุมเครือว่า “พวกเขาได้รับบาดเจ็บกัน ข้าจึงจัดแจงให้พวกเขาดูอาการอยุ่ที่ร้านยาเต๋อเหริน วันหน้าก็จะกลับแล้ว”

 

 

เมิ่งอี้คิดว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บจากการปกป้องเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้ถามอะไรมาก แล้วก็หมุนตัวเดินไปที่ห้องครัว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็ยว่าเขาไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงอีกก็ลอบถอนหายใจโล่งอก เดินกลับห้องของตัวเองไป

 

 

องครักษ์เงาหญิงเฝ้าซ้ายขวาอยู่ที่หน้าประตู

 

 

เมิ่งเชี่ยนรู้สึกไม่ชินกับการที่ต้องถูกคนเฝ้าดูตลอดเวลาเช่นนี้ ก็เลยเรียกพวกนางเข้าไปหา สอบถามพวกนางว่า “พวกเจ้ามีชื่อไหม ต่อไปข้าจะเรียกพวกเจ้าว่าอย่างไร?”

 

 

องครักษ์เงาคนหนึ่งตอบว่า “พวกเรามีแค่รหัสเจ้าค่ะ ไม่มีชื่อ ถ้านายท่านรู้สึกไม่สะดวกก็ตั้งชื่อให้เราได้เจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดกับองครักษ์เงาที่ตอบกลับว่า “ต่อไปจะเรียกเจ้าว่าชิงหลวน” จากนั้นก็กล่าวกับอีกคนว่า “ส่วนเจ้าก็ชื่อจู๋หลี”

 

 

ทั้งสองคนกล่าวด้วยความเคารพพร้อมกัน “ขอบพระคุณนายท่านที่ตั้งชื่อให้เจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับสองคนนั้นอีกว่า “ข้าไม่ชินที่มีคนติดตามข้าตลอดเวลา ถ้าพวกเจ้าไม่มีอะไรทำก็ไปเดินดูที่จวนได้ ทำความคุ้นเคยกับคนในจวนหน่อย”

 

 

ชิงหลวนกับจู๋หลีมองหน้ากันแวบหนึ่ง แล้วชิงหลวนก็ตอบกลับว่า “หน้าที่ของบ่าวก็คือคุ้มครองความปลอดภัยของนายท่านตลอดเวลา ไม่อาจห่างจากนายท่านได้ตามใจ ถ้าหากนายท่านรู้สึกว่าบ่าวทั้งสองรกหูรกตา พวกเราก็จะหาที่เร้นกายได้เจ้าค่ะ”

 

 

นั่นก็ไม่ใช่ว่าเฝ้ามองดูตัวเองตลอดเวลาเหมือนเดิมหรือ เมิ่งเชี่ยนโยวสั่นศีรษะ “ในจวนต่างก็เป็นคนกันเอง ไม่มีอะไรอันตราย พวกเจ้าไม่ต้องเฝ้าติดตามข้าตลอด ไปเดินเล่นกันได้ตามสบาย แล้วก็ถือโอกาสทำความรู้จักคนในจวนด้วย”

 

 

ทั้งสองคนยังยืนยันคำเดิม

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าพวกนางทั้งสองถูกฝึกฝนเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ถ้าจะให้พวกนางเปลี่ยนก็คงเปลี่ยนไม่ได้ในทันทีทันใด จึงจงใจสั่งเสียงแข็งว่า “นี่เป็นคำสั่ง เจ้าสองคนต้องรู้จักทุกคนที่อยู่ในจวนภายในระยะเวลาสามวันนี้เท่านั้น”

 

 

ทั้งสองคนรีบตอบรับคำสั่งอย่างนอบน้อมทันที “เจ้าค่ะนายท่าน บ่าวจะไปประเดี๋ยวนี้” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจึงถอนหายใจยาว

 

 

ไม่ทันไรสาวใช้ก็เอาน้ำร้อนเข้ามาส่ง เมิ่งเชี่ยนโยวอาบน้ำเสร็จแล้วก็ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สบายตัว หลังจากที่กินข้าวกับทุกคนเสร็จก็กลับไปนอนที่ห้องของตัวเอง

 

 

วันต่อมาก็เป็นดั่งที่หวงฝู่อี้เซวียนคาดไว้ไม่มีผิด เฮ่อเหลี่ยนไม่ได้ออกมา

 

 

แล้วก็ผ่านมาอีกหนึ่งวัน วันนี้หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวรวมถึงเหวินซื่อที่แต่งหน้าแต่งตัวเหมือนตอนนั้นพากัยรออยู่ที่จุดเดิม ผ่านไปไม่นานนักก็เห็นเกี้ยวของเฮ่อเหลี่ยนออกมาจากจวนเสนาบดี

 

 

ครั้งนี้เฮ่อเหลี่ยนเตรียมตัวอย่างดี มีองครักษ์ประจำจวนมากถึงสามสิบคนที่รายล้อมอยู่ทั้งสองข้างของเกี้ยว ตะโกนตลอดทางเดินมาทางนี้

 

 

พวกคนแบกเกี้ยวพอเงยหน้าขึ้นเห็นหวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ข้างหน้าก็ตกใจจนขาอ่อน เกี้ยวโยกเยกไปมาหลายครั้ง

 

 

เฮ่อเหลี่ยนเกือบจะตกลงมา พูดอย่างโมโหว่า “เจ้าพวกสุนัข แค่แบกเกี้ยวยังแบกไม่นิ่ง ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ?”

 

 

“คะ คุณชาย” น้ำเสียงของคนแบกเกี้ยวสั่นระริก “พวก พวกเขา พวกเขามาอีกแล้ว”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนตกตะลึง เปิดม่านเกี้ยวออกทันควัน พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่ยืนอยู่ด้านหน้ากำลังมองมาที่เขาด้วยรอยยิ้มก็หวาดผวา ตกใจร้องเสียงดังว่า “เร็ว รีบมาอารักขาข้า!”

 

 

องครักษ์ประจำจวนยิ่งเข้าใกล้เกี้ยวมากขึ้น มองพวกเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างระแวดระวัง

 

 

พวกคนแบกเกี้ยวเมื่อแบกเกี้ยวมาถึงจุดเดิมก็ยืนนิ่งไม่ยอมขยับ

 

 

ทั้งสองฝ่ายต่างก็คุมเชิงกันอยู่

 

 

คนที่เดินผ่านไปผ่านมารู้สึกว่าบรรยากาศไม่ปกติ เกรงว่าจะโดนลูกหลงไปด้วย ตกใจจนต้องหนีไปหลบอยู่ที่ไกลๆ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ชูคอขึ้นมองมาทางนี้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทักทายเฮ่อเหลี่ยนด้วยรอยยิ้มละไม “คุณชายใหญ่เฮ่อ ไม่เจอกันสองวัน ไม่ทราบว่าบาดแผลของเจ้าดีขึ้นหรือยัง?”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนพอนึกถึงความเจ็บปวดที่อยู่มิสู้ตายเมื่อสองวันก่อนก็รู้สึกเคียดแค้นยิ่งนัก ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวขึ้นว่า “เจ้าคนระยำ เจ้าอย่ากำแหงไป วันนี้คิดว่าพวกเจ้าจะมา ข้าก็พาคนมาด้วยโดยเฉพาะ วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าได้ลิ้มรสชาติที่อยู่มิสู้ตายเช่นกัน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า กล่าวว่า “คุณชายใหญ่เฮ่อพูดจาฉาดฉานเช่นนี้ ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บคงจะหายดีแล้ว เดิมทีข้าคิดว่าจะบอกให้พวกเขาให้ยั้งมือไว้บ้าง เห็นทีตอนนี้ไม่ต้องแล้ว”

 

 

พูดจบก็ถามทหารอารักขาข้างหลังด้วยเสียงอันดังว่า “ทราบแล้วใช่ไหมว่าอีกประเดี๋ยวต้องทำอย่างไร?”

 

 

ทหารอารักขาตอบโดยพร้อมเพรียงกันว่า “ทราบแล้วขอรับ”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นก็อย่ามัวรีรอเลย รีบลงมือเถอะ คุณชายเฮ่อยังต้องไปลงชื่ออีก พวกเจ้าอย่างทำให้เขาเสียเวลาล่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวอย่างสบายอารมณ์

 

 

ถูกนางดูหมิ่นดูแคลนเช่นนี้ เฮ่อเหลี่ยนโมโหจนแทบกระอักเลือด ร้องบอกองครักษ์ประจำจวนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “พวกเจ้าลงมือเลย ใครที่จับเจ้าเด็กระยำคนนั้นได้จะมีรางวัลให้หนุ่งพันตำลึง”

 

 

องครักษ์ประจำจวนตอบรับ แล้วก็เดินเข้าอย่างพร้อมเพรียง พลันรอบๆ เกี้ยวก็ว่างเปล่า

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนส่งสายตาให้กับทหารอารักขาที่อยู่ข้างกาย

 

 

ทหารอารักขาเข้าใจความนัย กระโดดลอยเค้าไปไม่กี่ครั้งก็ถึงข้างหน้าของเฮ่อเหลี่ยน ไม่รอให้เขาร้องออกมาด้วยความตระหนก ก็หิ้วเขาลงมาทันที

 

 

องครักษ์ประจำจวนเห็นแค่เงาที่พาดผ่านสายตาไป จนตอนที่เห็นอะไรชัดเฮ่อเหลี่ยนก็อยู่ในมือของเขาเสียแล้ว อารามตกใจคิดจะหันกลับไปช่วยเฮ่อเหลี่ยน จู่ๆ ก็มีคนหลายคนกระโดดออกมาขวางหน้าพวกเขาไว้ องครักษ์ประจำจวนเงื้อดาบขึ้น แล้วทั้งสองฝ่ายก็ต่อสู้กัน

 

 

เฮ่อเหลี่ยนคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะจับตัวเขาลงมาดื้อๆ เช่นนี้ ก็ตกใจจนขลาดเขลาไปแล้ว จนกระทั่งทหารอารักขาโยนเขาไว้ข้างหน้าหวงฝู่อี้เซวียนจึงได้สติกลับมา

 

 

กำลังคิดจะวิ่งหนี หวงฝู่อี้เซวียนก็ตะเบ็งเสียงขึ้นว่า “ลงมือได้!”

 

 

ทันใดนั้นทั้งมือทั้งเท้าก็ระดมมาอยู่บนร่างของเขา

 

 

เฮ่อเหลี่ยนร้องโอดโอยไม่หยุด ทหารประจำจวนหมายจะเข้ามาช่วยเหลือ แต่กลับพัวพันการต่อสู้อยู่ ต่างก็ไม่มีใครหลุดพ้นออกมาได้

 

 

เสียงร้องโอดครวญของเฮ่อเหลี่ยนค่อยๆ เบาลง หวงฝู่อี้เซวียนจึงสั่งให้คนหยุด แล้วก็นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าเขา กล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “คุณชายใหญ่เฮ่อ ไว้เราเจอกันใหม่พรุ่งนี้”

 

 

พูดจบก็ลุกขึ้นกล่าวกับทุกคนว่า “พวกเรากลับ!”

 

 

ทหารอารักขาขานรับ แล้วก็กระโดดถอยกลับไป รวดเร็วจนเหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็รู้สึกว่าตัวเองตาฝาดไป เหมือนไม่เคยมีคนต่อสู้กับตัวเองมาก่อน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนโยวและเหวินซื่อต่างก็เดินกลับไปอย่างสง่าผ่าเผย

 

 

เหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็รีบวิ่งกรูเข้ามาหาเฮ่อเหลี่ยน พยุงเขาขึ้นมากันอย่างวุ่นวาย

 

 

เฮ่อเหลี่ยนเจ็บปวดจนแทบไม่มีแรงพูด

 

 

เหล่าองครักษ์ประจำจวนต่างก็บกเขาขึ้นเกี้ยวกันอย่างตะลีตะลาน บอกให้คนแบกเกี้ยวรีบพากลับจวน พาเขาไปรักษา

 

 

เฮ่อเหลี่ยนโบกไม้โบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง “ไปลงชื่อก่อน ประเดี๋ยวค่อกลับจวน”

 

 

คนแบกเกี้ยวแบกเกี้ยวไปข้างหน้าอย่างโคลงเคลง เฮ่อเหลี่ยนเจ็บปวดจนไม่มีเรี่ยวแรงต่อว่าพวกเขา

 

 

คนที่มามุงดูต่างก็ประหลาดใจ เวลาเดียวกัน สถานที่เดียวกัน ราวกับว่าทั้งสองฝ่ายได้นัดกันมาตีกันอยู่ที่นี่ ไม่สิ จะพูดให้ถูกก็คือมีคนหนึ่งที่ถูกทุบตี มิหนำซ้ำคนคนนี้ยังแต่งกายไม่ธรรมดา เรื่องน่าสนุกเช่นนี้แค่เพียงถามข่าวรอฟังก็รู้แล้วว่าที่แท้คนที่ถูกทุบตีก็คือคุณชายใหญ่ของจวนเสนาบดี ส่วนผู้ที่ทุบตีคนก็คือซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี

 

 

ไม่ทันไรชาวบ้านในเมืองหลวงต่างก็แตกตื่นกันยกใหญ่ ไม่ถึงชั่วยามก็โจษจันไปทั่วเมืองหลวง ขนาดคนเล่าเรื่องในโรงน้ำชายังแต่งออกมาเป็นเรื่องเป็นราว เล่าจนน้ำลายแตกฟอง

 

 

ตระกูลของขุนนางไป๋ก็ได้ยินข่าวลือเช่นเดียวกัน นึกสงสัยว่าคุณชายใหญ่แห่งจวนเสนาบดีไปล่วงเกินซื่อจื่ออย่างไรกันแน่ จนทำให้เขาต้องทุบตีคนกลางถนนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้

 

 

คนรับใช้ในจวนอ๋องฉีก็ได้ยินข่าวเช่นเดียวกัน พอกลับมาก็เล่าให้พระชายาฉีฟัง

 

 

พระชายาฉีได้ยินแล้วก็หัวเราะลั่น พูดจาอย่างตรงไปตรงมาว่าเด็กสองคนนี้ช่างทำให้นางมีหน้ามีตาเสียเหลือเกิน

 

 

ส่วนพระชายารองกลับปาข้าวของในจวนที่สามารถเอามาปาได้จนแตกกระจายหมด

 

 

หวงฝู่อวี้ได้ยินแล้วก็ไม่เชื่อ ถึงกับวิ่งไปถามหวงฝู่อี้เซวียนถึงที่เรือน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

หวงฝู่อวี้ได้ยินแล้วก็เบิ่งตากว้างอย่างตกใจ นานครึ่งค่อนวันถึงจะเค้นเสียงพูดออกมาได้ “พี่ใหญ่ ท่านอย่าให้คนลงมือหนักเกินไปนัก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นท่านลุงของข้า”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเม้มริมฝีปาก แล้วก็ส่งเสียง “อืม” ออกมาเบาๆ

 

 

คนรับใช้ของจวนราชเลขาก็กลับไปคุยกันถึงเรื่องนี้ หลินหันเยียนตกใจจนแทบแย่ ร้องตะโกนว่าชีวิตนี้ของตนถึงแม้ต้องตายก็ไม่แต่งกับหวงฝู่อี้เซวียนที่เหมือนปีศาจคนนี้ ทว่ากลับรู้สึกว่าถูกคนตบหน้าอย่างแรง ส่วนหลินจ้งที่คิดหาโอกาสไปสั่งสอนหวงฝู่อี้เซวียนสักครั้ง เมื่อได้ยินแล้วก็ละทิ้งความคิดนั้นไป ตัดสินใจว่าต่อไปจะอยู่ห่างๆ จากหวงฝู่อี้เซวียนให้ไกล จะไม่ไปล่วงเกินให้เขาโกรธเด็ดขาด

 

 

เสนาบดีเฮ่อจางเป็นคนสุดท้ายที่ได้ทราบข่าว โมโหจนแทบเต้นแร้งเต้นกา สั่งให้คนไปตามเฮ่อเหลี่ยนที่เจ็บปวดเจียนตายเข้ามาหา แล้วผรุสวาทถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

 

 

เฮ่อเหลี่ยนไม่กล้าปิดบัง บอกทุกเรื่องที่ตัวเองทำลงไปจนหมด

 

 

เฮ่อจางโกรธจนเตะเขาไปหนึ่งที “เจ้าคนเลว ข้าเคยเตือนเจ้าไว้แล้วว่าอย่าไปหาเรื่องพวกเขา รอให้พวกเราหาวิธีให้อวี้เอ๋อร์เป็นซื่อจื่อได้ก่อน เจ้าจะทำอะไรกับพวกเขาก็ได้ แต่เจ้ากลับเห็นคำพูดของข้าเป็นแค่ลมพัดผ่านหู ตอนนี้ถูกคนจับจุดอ่อนได้ ไม่ใช่แค่เจ้า เกรงว่าแม้แต่ข้ายังต้องเดือดร้อนไปด้วย”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนนอนนิ่งอบู่บนพื้นไม่กล้าขยับ

 

 

เฮ่อจางเห็นท่าทางที่น่ารังเกียจไม่ได้ดั่งใจแล้วก็ยิ่งโมโห แทบจะอยากเตะเขาจนตายให้จบๆ ไป แต่ว่าถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตัวเอง จึงพยายามสงบสติอารมณ์แล้วกล่าวว่า “ข้าจะไปช่วยเจ้าแจ้งเรื่องลาให้เจ้า ช่วงนี้เจ้าอย่าเพิ่งออกไปลงชื่อ หลบอยู่ในบ้านไม่ให้เป็นที่สนใจของชาวบ้านสักพัก”

 

 

เฮ่อเหลี่ยนตอบรับ

 

 

นี่ก็คือการตัดสินใจที่หวงฝู่อี้เซวียนและคนอื่นๆ กำลังรอคอยอยู่ แล้วก็ส่งคนไปแจ้งให้เหวินซื่อรู้ บอกให้เขาเตรียมสิ่งของไว้ให้พอ อีกไม่เกินสองสามวันก็จะจัดการให้เฮ่อเหลี่ยนให้มีชีวิตอยู่มิสู้ตาย