บทที่ 482 กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นถึงตัว

Mars เจ้าสงครามครองโลก

บทที่ 482 กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นถึงตัว
“ที่……ที่รัก?”

หงเสี่ยวเหมยตะลึงกับการตบหน้าของไฉจวิ้น และกุมหน้าของเธอแล้วมองไปที่ไฉจวิ้นอย่างงุนงง

“ไม่ ไม่ใช่ฉัน คุณตบผิดคนแล้ว”

พัฟ!

แต่ไฉจวิ้นกลับไม่อยากจะอธิบายเพิ่มเติมใดๆ และตบเข้าที่ใบหน้าของหงเสี่ยวเหมยอีกครั้ง ทำให้ฟันของหลงเสี่ยวเหมยหลุดออกสองสามซี่และตัวเธอล้มลงกับพื้น

ไฉจวิ้นเตะเข้าที่หน้าของหงเสี่ยวเหมยด้วยขาซ้ำๆ และดุด่าว่า “ทำไมจิตใจมึงถึงได้โหดร้ายขนาดนี้! มึงยังถือเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า! ใครแม่งเป็นที่รักของมึง? ฉันสนิทกับมึงมากนักหรือ? มึงก็เป็นได้แค่ของเล่นของกูเท่านั้น! คิดว่าตัวเองเป็นอะไร! ยังกล้าที่จะมาชี้นิ้วต่อหน้ากูอีกด้วย!”

“หยุดทุบตีเถอะ คุณชายไฉ ฉันผิดไปแล้ว หยุดเถอะ”

หงเสี่ยวเหมยกลิ้งไปมาบนพื้นและร้องขอความเมตตา แต่ไฉจวิ้นกลับลงมืออย่างหนัก!

แม่งเอ๊ย คนที่ฉันยังไม่กล้าที่จะยั่วยุ มึงกลับยั่วยุไปแล้วงั้นเหรอ!

มึงแม่งไม่รู้หรอกว่ากูเกือบต้องตายอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าปีศาจร้ายตัวนี้ถึงสองครั้ง?

มึงแม่งไม่รู้หรอกว่าตอนที่กูไปตระกูลเย่ในครั้งที่แล้ว กูได้พญาบู๊ไปสองคน และถูกเขาทุบตีจนขาหักทั้งคู่?

คนที่กูยังไม่กล้าที่จะยั่วโมโห มึงกล้าไปยั่วโมโหงั้นเหรอ!!

ไฉจวิ้นโกรธมากจนแทบระเบิด ในครั้งนั้นที่อยู่ตระกูลโจวเขาเกือบจะโดนทุบตีจนตาย แม้แต่ประตูบ้านของตระกูลโจวก็ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าไป ก็ได้หนีกลับบ้านไปแล้ว

ในครั้งที่อยู่ตระกูลเย่ก็เหมือนกัน เขาได้นำพญาบู๊ไปสองคน ซึ่งแข็งแกร่งกว่าซุนหลงถึงสองระดับเลยทีเดียว! แต่ยังไม่ได้แตะต้องแม้แต่เงาของเย่เซิ่งเทียนเลย ขาของเขาก็หักไปทั้งคู่แล้ว!

ถ้าไม่ใช่เย่เซิ่งเทียนเมตตาและไม่ฆ่าเขา ตอนนี้เขาคงตายไปนานแล้ว

“คนที่มึงควรขอโทษไม่ใช่กู แต่คือท่านเย่ และคุณนายซี!”

ไฉจวิ้นเตะหงเสี่ยวเหมยอย่างแรงอีกครั้ง

หงเสี่ยวเหมยถูกเตะจนใบหน้าบวมช้ำไปหมด ถ้าไม่ใช่ไฉจวิ้นผู้ซึ่งกินเหล้าเที่ยวเล่นจนหมดกำลัง ด้วยท่าทางเมื่อกี้นี้ เธออาจถูกทุบตีจนตายได้!

หงเสี่ยวเหมยตกใจจนช็อกไปเลย!

คุณชายผู้สง่างามของตระกูลไฉ ถึงกับเรียกเย่เซิ่งเทียนว่าท่านงั้นเหรอ?

“หวางซี ฉันผิดไปแล้ว ฉันผิดไปแล้ว โปรดยกโทษให้ฉันด้วย ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ฉันมันเสียสติไปเอง ฉันไม่ใช่คน ฉันเป็นสัตว์ โปรดยกโทษให้ฉันด้วย ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ฉันจะถูกทุบตีจนตายได้”

หงเสี่ยวเหมยคุกเข่าไปทางหวางซี และโค้งคำนับขอความเมตตา

“ใครให้แกคุกเข่า? แกมีสิทธิ์ที่จะคุกเข่าให้ท่านเย่และคุณนายซีหรือไม่? ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”

ไฉจวิ้นเตะหงเสี่ยวเหมยล้มลงกับพื้น จากนั้นตัวเองก็คุกเข่าลงต่อหน้าเย่เซิ่งเทียนด้วยเสียงอันดัง และพูดด้วยความสยองขวัญว่า “ท่านเย่ เรื่องในครั้งนี้เป็นความเข้าใจผิดจริงๆ ฉันไม่รู้มาก่อนเลย ถ้าฉันรู้ว่าผู้หญิงเลวคนนี้เป็นคนแบบนี้ ไม่ว่ายังไงฉันก็ต้องจัดการเธอให้ดีๆ แม้ว่าฉันจะมาจากตงต่าว แต่ฉันก็เป็นลูกหลานของพระเจ้าหวงและพระเจ้าเหยียน เป็นคนประเทศต้าเซี่ยที่แท้จริง! สิ่งที่ฉันเกลียดที่สุดก็คือคนที่ทรยศ!”

“คุณ คุณชายไฉ คุณรีบลุกขึ้นมาเร็วเถอะ”

หวางซีรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย เธอไม่เคยคาดคิดเลยว่า คุณชายของตระกูลไฉตระกูลอันดับแรกของตงต่าว จะคุกเข่าลงต่อหน้าตัวเอง

ไฉจวิ้นรีบพูดว่า “คุณนายซี ฉันมีความผิด มีความผิดก็จะต้องถูกลงโทษ นี่คือคติประจำครอบครัวของตระกูลไฉของเรา! คุณไม่ต้องกังวล ฉันจะทำให้คุณพอใจอย่างแน่นอน ท่านเย่เป็นผู้มีพระคุณต่อฉัน ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเขา ฉันคงตายไปหลายครั้งแล้ว”

นั่นแหละ

ครั้งแรกที่เขาถูกราชาปรับอุดรที่อยู่ข้างกายเย่เซิ่งเทียนทุบตีที่หน้าประตูบ้านของตระกูลโจวและหนีกลับไปที่ตงต่าว ภายในสองสามวันเขาก็ได้ยินว่าตระกูลโจวถูกปลิดชีพทั้งตระกูลแล้ว

ครั้งที่สองที่เขาเพิ่งเดินเข้าไปในประตูบ้านของตระกูลเย่เขาก็ถูกเย่เซิ่งเทียนทุบตีจนขาหักแล้วตกใจกลัวจนหนีกลับไปที่ตงต่าว จากนั้นเขาก็ได้ยินว่าตระกูลเย่เกิดเรื่องขึ้น และมีผู้คนจำนวนมากเสียชีวิต

ไฉจวิ้นเองก็รู้สึกว่าการที่ตัวเองถูกทุบตีนั้นมันคุ้มค่ามาก ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของเขา จะต้องถูกทุบตีจนตายอย่างแน่นอน

“เซิ่งเทียน คุณรีบพูดอะไรสักหน่อยเถอะ”

หวางซีจ้องมองไปที่เย่เซิ่งเทียน

เย่เซิ่งเทียนถึงเอ่ยปากกล่าวว่า “ลุกขึ้นมาเถอะ คราวนี้ฉันก็จะปล่อยเจ้าไป”

“ขอบคุณท่านเย่ ขอบคุณคุณนายซี”

ไฉจวิ้นรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว โบกมือ และหนึ่งในสองคนพญาบู๊ที่ติดตามไฉจวิ้นไปที่บ้านตระกูลเย่ในวันนั้นรีบเร่งที่จะเดินเข้าไปข้างหน้า ไม่กล้าที่จะมองดูเย่เซิ่งเทียนเลย

ในวันนั้นเย่เซิ่งเทียนได้ทิ้งเงาความกลัวไว้ในใจของเขาแล้ว

ไฉจวิ้นชี้ไปที่หงเสี่ยวเหมยและพูดว่า “พาตัวเธอไป ในเมื่อเธอชอบประเทศอเมมากขนาดนั้น และชอบที่จะเป็นผู้เหนือกว่า งั้นก็ทิ้งเธอไปในเขตพื้นที่คนผิวสีดำที่วุ่นวายที่สุดในประเทศอเม และปล่อยให้เธอไปเพลิดเพลินกับเสรีภาพและสันติภาพของประเทศอเมและการดำรงอยู่อย่างผู้เหนือกว่า”