บทที่ 462 สักขีพยาน

บัลลังก์พญาหงส์

ตอนที่หลี่เย่รู้ข่าวเรื่องถาวจวินหลันติดเชื้อโรคระบาดก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว หลี่เย่ตอนนั้นกำลังฝึกพู่กันอยู่ เวลาโมโหหงุดหงิดก็มีเพียงแค่ฝึกพู่กันที่ทำให้เขาสงบใจได้บ้าง

 

 

 

 

ตอนที่หลิวเอินเคาะประตู หลี่เย่ยังขมวดคิ้ว มีท่าทีไม่ค่อยพอใจนัก ถ้าไม่ใช่เพราะคิดว่าหลิวเอินมาตอนนี้ย่อมต้องมีเรื่องเร่งด่วน เขาก็คงจะฝึกบทนี้ให้เสร็จก่อนแล้วค่อยว่ากัน

 

 

 

 

พอได้ยินเรื่องที่หลิวเอินรายงาน เขาก็ไม่สนใจตัวหนังสืออีกต่อไป ทิ้งพู่กันไว้บนโต๊ะ แล้วพูดด้วยความโมโหเป็นอย่างยิ่ง “ว่าอะไรนะ?!”

 

 

 

 

นี่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร? ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครรายงานมาก่อน! และถาวจวินหลันเองก็ไม่พูด ปิดบังเรื่องนี้มาโดยตลอด!

 

 

 

 

หลิวเอินไม่กล้าพูดอะไรอีก ก่อนที่เขาจะมารายงานเรื่องนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าจะมีผลอย่างไร พูดตามจริงถือว่าเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย

 

 

 

 

หลังจากหลี่เย่โมโหอยู่ครู่หนึ่งถึงได้ใจเย็นลง เขารู้ดีแก่ใจว่าที่ปิดบังเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นความคิดของถาวจวินหลันอย่างแน่นอน และมีเพียงถาวจวินหลันเท่านั้นที่กล้าปิดบังเขา

 

 

 

 

เหตุผลที่ปิดบังเขา ก็เพราะกลัวว่าเขารู้เรื่องนี้แล้วจะทำเรื่องไม่เป็นเรื่อง

 

 

 

 

หลี่เย่กำมือแน่นอย่างควบคุมไม่ได้ ยังคิดน้อยใจว่า นางไม่เชื่อใจเขามากขนาดนี้ แล้วนางยังพูดอยู่บ่อยๆ ว่าเขาไม่ยอมให้นางช่วยแบ่งเบา แล้วนางเล่า? นางเองก็เป็นเหมือนกันมิใช่หรือ?

 

 

 

 

หลิวเอินเห็นหลี่เย่มีท่าทางแปลกไป ก็รีบพูดว่า “แต่ยังดีที่ตอนนี้เริ่มมีความหวังบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ ไม่แน่ว่าผ่านไปอีกสักสองวัน อาจจะคิดเทียบยาได้แล้ว ถึงเวลานั้นชายารองย่อมต้องไม่มีอันตรายอย่างแน่นอน”

 

 

 

 

หลี่เย่ได้ยินก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย และเริ่มเบาใจมากขึ้น “จริงหรือ? มีความคืบหน้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

 

 

 

หลิวเอินยิ้ม “เมื่อไปแล้ว ชายารองก็มีส่วนช่วยเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ หมอหลวงที่ถูกกักไว้ในจวนของพวกเราสังเกตเห็นว่าอาการของชายารองถาวดีเป็นพิเศษ จึงสอบถามของที่ชายารองใช้ ในนั้นอาจมีบางอย่างที่สามารถควบคุมโรคระบาดได้ หากคิดค้นตามวิธีนี้ จะต้องผสมยารักษาโรคระบาดได้แน่พ่ะย่ะค่ะ กรมหมอหลวงทราบเรื่องนี้ต่างพากันดีใจถ้วนหน้า”

 

 

 

 

ปฏิกิริยาของกรมหมอหลวงก็เป็นเค้าลางว่าวิธีนี้เกิดผลจริง

 

 

 

 

“ให้พวกเขาคิดค้นให้ดี ให้เร็วที่สุด” หลี่เย่พูดข้อแม้ของตนเองสั้นๆ ง่ายๆ แล้วก็ถามอีกว่า “อาการของชายารองเป็นอย่างไรบ้าง? นางทรมานหรือไม่?”

 

 

 

 

หลิวเอินย่อมไม่กล้าพูดราดน้ำมันลงบนกองเพลิง เพียงแค่บอกว่า “อาการของชายารองดีกว่าคนอื่นมากพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินมาว่าไม่ได้ทรมานมากนัก อีกทั้งด้วยวิธีของหมอหลวงสวี อารมณ์ของชายารองจึงสงบนิ่งมากพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

 

 

หลี่เย่ได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก ตอนแรกจะหลุดพูดออกมาว่า “ข้าจะไปดูเสียหน่อย” ตามสัญชาตญาณ แต่เมื่อคิดได้ก็ต้องกลืนคำพูดลงไป แล้วต้องหงุดหงิดอีกครั้ง ในเมื่อวันนั้นไปมาแล้ว ก็ไม่ควรมองจากที่ห่างไกลอย่างนั้นเพียงครู่เดียวเท่านั้น ท้ายสุดในเมื่อไปแล้วก็ควรต้องเข้าใกล้เสียหน่อย และควรอยู่นานอีกหน่อย

 

 

 

 

ไม่มีใครรู้ความหงุดหงิดของหลี่เย่ เขาโบกมือให้หลิวเอินถอยออกไป คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ให้คนเอาเหล้ามากาหนึ่ง”

 

 

 

 

ดื่มเหล้าให้ลืมความเศร้า กลับเศร้ามากกว่าเดิม แต่ตอนนี้เขาไม่คิดถึงเรื่องนั้นอีกแล้ว ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหลายวันนี้ดื่มเหล้ากาหนึ่งทุกวัน พอตกกลางคืนเขาก็จะนอนไม่หลับ อีกทั้งเขาก็ควบคุมความบุ่มบ่ามที่อยากจะไปหาถาวจวินหลันไม่ได้

 

 

 

 

รพอหลิวเอินจากไปแล้ว เขาถึงกล้าแสดงท่าทีหวาดกลัว พูดพึมพำว่า “นางจะปลอดภัยใช่หรือไม่?” หยุดไปครู่หนึ่งก็ตอบคำถามของตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว “จะต้องปลอดภัยแน่นอน นางจะต้องไม่เป็นอะไร!”

 

 

 

 

เขาไม่มีทางยอมให้นางเป็นอะไร!

 

 

 

 

วันรุ่งขึ้นหลี่เย่เรียกให้คนไปส่งฎีการ้องเรียนจวนเหิงกั๋วกง พูดตามจริง จวนเหิงกั๋วกงทำให้เขาผิดหวัง เพราะเหิงกั๋วกงพยายามแค่ในตอนแรก แต่พอหลังๆ มาก็ไม่มีข่าวดีอะไรส่งมาอีก ทำให้เขาคาดหวังอย่างเปล่าๆ ปรี้ๆ

 

 

 

 

แต่เดิมเขายังคิดจะรออีกสองสามวัน แต่เรื่องที่ถาวจวินหลันติดเชื้อโรคระบาดทำให้เขาโมโหมาก อีกทั้งหมอหลวงสวีก็มีวิธีแล้ว ดูท่าว่าจวนเหิงกั๋วกงคงเป็นตัวไร้ประโยชน์แล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

 

 

 

 

เขาจะทำให้จวนเหิงกั๋วกงไม่มีที่ยืน และจะต้องทำให้ฮ่องเต้รังเกียจจวนเหิงกั๋วกง คิดดูแล้วจวนเหิงกั๋วกงเกิดเรื่องขึ้น ฮองเฮาก็จะต้องขายหน้าเป็นแน่ แม้กระทั่งฮ่องเต้และไทเฮาก็อาจจะพาลโกรธฮองเฮาไปด้วย คิดว่าเรื่องนี้ฮองเฮามีส่วนช่วย จวนเหิงกั๋วกงถึงได้เหิมเกริมไม่เกรงกลัวใครทั้งสิ้นเช่นนี้ ต่อให้ไม่มีฝีมือของฮองเฮา แต่ใครใช้ให้ฮองเฮาออกมาจากจวนเหิงกั๋วกงเล่า?

 

 

 

 

นี่เรียกว่า ได้ดีคนหนึ่งก็พลอยได้ดีกันทั้งหมด เสียหายก็พาลเสียหายไปทั้งหมด

 

 

 

 

แน่นอนว่าหากใช้เรื่องนี้ล้มล้างจวนเหิงกั๋วกงก็มีความเป็นไปได้ แต่ทำนบพันลี้ทลายลงมา เนื่องจากรังมดที่เจาะอยู่ภายใน มีความอดทนและมุมานะบากบั่นย่อมประสบผลสำเร็จ หลี่เย่กลับจำสุภาษิตนี้ได้ขึ้นใจ

 

 

 

 

แม้แต่ชื่อเสียงขององค์รัชทายาท ก็จะต้องเสียหายเพราะเรื่องนี้

 

 

 

 

ส่วนเขาก็ถือว่ายิงธนูนัดเดียวได้นกหลายตัว แต่ความโกรธในใจกลับไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย ทว่ายังคนหนักใจ ตราบใดที่ถาวจวินหลันยังไม่ดีขึ้น เขาก็คงยังไม่สบายใจไปตลอดใช่หรือไม่? แต่ไม่รู้ว่าหลังจากถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้แล้วจะสบายใจหรือไม่?

 

 

 

 

เมื่อคิดดูแล้ว หลี่เย่ก็ตัดสินใจเขียนจดหมายถึงถาวจวินหลัน บอกเรื่องนี้กับนางด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้เขามีเรื่องอะไรก็จะพยายามพูดออกมาจากปากเอง น้อยครั้งที่จะใช้พู่กันเขียนจดหมาย อย่างไรจดหมายก็ไม่เป็นความลับ หากถูกคนเห็นก็เป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นเพื่อป้องกันจึงพยายามไม่เขียนดีที่สุด

 

 

 

 

แต่วันนี้เขากลับทนไม่ได้อีกต่อไป และไม่สนใจอะไรมากขนาดนั้น

 

 

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันได้รับจดหมายของหลี่เย่ ก็ทั้งแปลกใจและเป็นกังวล ไม่สนใจที่จะแกะดูก่อน กลับพิจารณาดูครั่งที่ผนึกปากจดหมายอยู่อย่างละเอียดก่อน เห็นว่าไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมก็รู้สึกสบายใจเปราะหนึ่ง

 

 

 

 

พอได้อ่านจดหมายแล้ว ถาวจวินหลันก็ยิ่งรู้สึกสับสน นางคิดไม่ถึงว่าหลี่เย่จะทำเรื่องเช่นนี้ด้วย อย่างแรกเพราะว่าเหิมเกริมมากเกินไป อย่างที่สองการกระทำลักลอบเช่นนี้ ทำให้คนสังเกตเห็นง่ายมากเกินไป

 

 

 

 

การกดดันจวนเหิงกั๋วกงถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากเรื่องราวบนปลายจนไม่อาจควบคุมได้แล้วจะทำอย่างไร? จวนเหิงกั๋วกงยังไม่ได้ปิดจวนในทันที หนึ่งในนั้นย่อมต้องมีความเป็นไปได้ที่ไร้จำกัด หากเรื่องนี้พัฒนาไปในทางที่ไม่ดี แม้ว่าจะเป็นหลี่เย่เองก็กอบกู้สถานการณ์เลวร้ายอันตรายให้คืนสู่สภาพปกติไม่ได้

 

 

 

 

ถึงเวลานั้น หลี่เย่ก็จะกลายเป็นคนบาป

 

 

 

 

นางไม่ได้รู้สึกว่าที่หลี่เย่ทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมเพราะว่าเป็นคนยุติธรรม แต่เป็นเพราะว่าคำนึงถึงประชาชนถึงได้รู้สึกไม่สบายใจ นางแค่เป็นห่วงหลี่เย่เท่านั้น กลัวว่าจะปิดเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้ กลัวคนจะรู้ว่าหลี่เย่เป็นคนทำเรื่องนี้

 

 

 

 

ถึงเวลานั้นหลี่เย่จะทำเช่นไร? ไม่ต้องพูดถึงสิ่งที่สั่งสมมาอย่างยากลำบากต้องพังทลาย ต่อจากนี้ไปก็จะไม่มีที่ให้ยืนแล้วเช่นกัน และย่อมต้องได้รับคำก่นด่าไปหลายร้อยชาติ คนเป็นหมื่นต้องว่ากล่าว

 

 

 

 

ถาวจวินหลันแค่คิดถึงภาพตอนนั้นก็รู้สึกสั่นสะท้าน

 

 

 

 

นางอดคิดไม่ได้ว่าที่ไทเฮาไม่ชอบนางก็คงเป็นเรื่องถูกต้อง แม้จะบอกว่านางไม่ได้ทำอะไร แต่สุดท้ายแล้วนางก็มีผลต่อหลี่เย่มาก คราวนี้หากไม่ใช่เพราะนางเป็นอะไรไป เกรงว่าหลี่เย่คงจะไม่ทำเรื่องแบบนี้ ต่อให้ทำก็คงจะไม่เสี่ยงอันตรายมากถึงเพียงนี้

 

 

 

 

หากนางระมัดระวังตัวมากกว่านี้ก็คงจะดี หากนางดูแลตนเองให้ดีกว่านี้เสียหน่อยก็คงจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ หลี่เย่ก็คงไม่ต้องบุ่มบ่ามทำเรื่องเช่นนี้เพียงเพราะเกิดเรื่องขึ้นกับนาง

 

 

 

 

แต่โทษตนเองไปก็ไม่อาจคลายปมเรื่องนี้ได้ จะรังเกียจตัวเองไปก็ไม่มีประโยชน์ ดังนั้นถาวจวินหลันจึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วโยนเรื่องเหล่านี้ทิ้งไป

 

 

 

 

ประโยคสุดท้ายในจดหมายของหลี่เย่ยังเขียนไว้ว่า ‘เหิงล่มสลายราบคาบ ข้ารอสตรีชมพร้อมกัน’

 

 

 

 

เหิงนี้ ย่อมหมายถึงจวนเหิงกั๋วกง หลี่เย่กำลังให้กำลังใจนางเป็นนัยๆ บอกนางว่า เขารอนางอยู่ข้างนอก

 

 

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าหลี่เย่ทุ่มเทมากขนาดนี้ หากนางตายไปอย่างง่ายดาย ก็ถือว่าทำให้ผิดหวังอย่างมากที่สุด มีเพียงแค่อยู่เป็นเพื่อนเขาตลอด ให้เขามีความสุข ให้ความฝันในการแก้แค้นเป็นจริง แล้วถึงจะเรียกว่าตอบแทนความรู้สึกของเขา

 

 

 

 

ดังนั้นไม่ว่าจะลำบากจะขมขื่นมากอีกเพียงใด นางก็จะต้องยืนหยัดต่อไป พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไป จะต้องอดทนจนกว่าจะคิดค้นวิธีรักษาได้ แล้วก็จะต้องหายดี!

 

 

 

 

จำต้องพูดเลยว่า จดหมายฉบับนี้ของหลี่เย่เหมือนกับน้ำฝนโฉลมจิตใจ ทำให้นางตั้งสติได้ใหม่ และไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

 

 

 

 

ที่จริงแล้ว แม้ว่าหมอหลวงสวีจะมีแผนมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองจะรอจนถึงช่วงเวลานั้นได้

 

 

 

 

โรคระบาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ได้ยินว่าทนมากสุดก็ไม่เกินหนึ่งเดือน อย่างเช่นหลิวซื่อแม้แต่ครึ่งเดือนก็ยังไม่ถึงด้วยซ้ำ อีกทั้งตอนนี้เจียงอวี้เหลียนเป็นมาเพียงสิบกว่าวันก็แทบจะทนไม่ไหวแล้วมิใช่หรืออย่างไร?

 

 

 

 

แม้ว่าอาการของนางจะดีกว่าเล็กน้อย แต่จะดีไปได้ถึงเมื่อไรกัน

 

 

 

 

ในความเป็นจริงแล้ว ไข้ที่ขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้นางรู้สึกสะลึมสะลือ ไม่ได้สติเต็มที่

 

 

 

 

ถาวจวินหลันตั้งใจจะเก็บจดหมายของหลี่เย่เอาไว้ ถ้าตอนที่ทนไม่ไหวก็เอาจดหมายนั้นมาดูสักครั้ง นางจะต้องมีความกล้ามากขึ้นเป็นแน่ใช่หรือไม่?

 

 

 

 

แต่หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นางก็เลือกที่จะเผาจดหมายทิ้ง นางไม่มีทางเลือก เพราะสิ่งที่หลี่เย่เขียนลงมาในจดหมายนี้ไม่อาจให้คนอื่นรู้ได้ นางไม่อาจเสี่ยงอันตราย แม้ว่าจะเชื่อใจบ่าวรับใช้ข้างกายเหล่านี้มากเพียงใด แม้ว่าเรือนเฉินเซียงจะแข็งแรงแน่นหนามากเพียงใด นางก็ยังคงไม่กล้าเสี่ยงอันตราย

 

 

 

 

เก็บจดหมายเอาไว้ นางก็ไม่อาจสบายใจได้ สุดท้ายแล้วนางก็ต้องเผาจดหมายนี้อย่างตัดไม่ขาดเท่านั้นเอง

 

 

 

 

ถาวจวินหลันยังรู้สึกเสียดาย หากนางเขียนจดหมายตอบกลับหลี่เย่ได้ก็คงจะดี

 

 

 

 

ข่าวที่ถาวจวินหลันติดเชื้อโรคระบาดนั้นกระจายไปทั่วทุกที่ในวังหลวง บ้านตระกูลถาว บ้านตระกูลเฉิน ล้วนไม่มีข้อยกเว้น

 

 

 

 

หลังจากถาวจิ้งผิงรู้เรื่องนี้แล้ว ก็ตาแดงขึ้นมาในทันที จากนั้นก็ไปหาหลี่เย่โดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว แม้ว่าในใจของเขาจะรู้ดีว่าไปหาหลี่เย่ก็ไม่มีประโยชน์ แต่ตอนนี้นอกจากหลี่เย่แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้อีก

 

 

 

 

ตัวเลือกของถาวซินหลันก็ไม่ได้ต่างอะไรกับถาวจิ้งผิง เรียกคนให้ไปเตรียมรถ ต้องการไปพบหลี่เย่

 

 

 

 

และหลังจากพระชายาองค์รัชทายาทรู้เรื่องนี้ ก็เข้าพบฮองเฮาทันที พอพบฮองเฮาแล้ว พระชายาองค์รัชทายาทก็เห็นว่าฮองเฮานั่งตัดกิ่งต้นไม่ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม มองเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าอารมณ์ดีไม่น้อย

 

 

 

 

พระชายาองค์รัชทายาทก็แย้มยิ้มเช่นเดียวกัน ก้าวขึ้นไปทำความเคารพแล้วนั่งลง พูดว่า “ดูท่าทางเสด็จแม่จะรู้ข่าวดีนี้แล้วเช่นกันใช่หรือไม่เพคะ”

 

 

 

 

ฮองเฮามองไปทางพระชายาองค์รัชทายาท “เรื่องเช่นนี้ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? แต่เดิมคิดจะให้คนไปแจ้งเจ้า แต่คิดไปคิดมาเจ้าเองก็น่าจะรู้ข่าวอย่างรวดเร็ว จึงให้คนออกไป”