ส่วนที่ 4 ตอนที่ 21

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

การค้าอันยิ่งใหญ่ของเหล่าเหอ

 

อวิ๋นเยี่ยพอใจมากแล้วที่เฉิงฉู่มั่วไม่ได้รับอันตรายแม้แต่ปลายผม การเดินทางมายังทุ่งหญ้าแห่งนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ดีมาก ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ และก็ไม่มีใครขาดทุน ..สำหรับบุญคุณความแค้นระหว่างหลี่จิ้งและไฉเซ่านั้นไม่ปัญหาที่เขาต้องนำมาขบคิด เห็นได้ชัดว่าไฉเซ่าถือเป็นแม่ทัพที่มีคุณสมบัติคนหนึ่ง ดูจากแขนของเขาที่ต้องห้อยผ้าไว้ ก็รู้ว่าเขาบุกฆ่าอยู่แนวหน้าโดยไม่ได้หลบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังแล้วปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปตาย เมื่อครู่ที่เพิ่งเจอ อวิ๋นเยี่ยใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าเมื่อเห็นว่ามีทหารเสริมเพียงสองร้อยกว่าคนก็หน้าถอดสีเป็นบึ้งตึงในทันที ความสามารถทางการเมืองของเขาดีกว่าพรสวรรค์ทางทหารเสียอีก พอไม่เห็นเซวียว่านเช่อก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

 

ทหารม้าสามพันนายของเขาหลังจากผ่านศึกเมืองเซียงเฉิงมีเหลือไม่ถึงสองพันนาย และทั้งหมดนี้ก็ล้วนได้รับบาดเจ็บเกือบทุกนาย ทหารเสริมวางอาวุธลง เริ่มทำการรักษาอย่างเป็นระเบียบ ไม่เลว นักรบสามพันคนส่วนใหญ่รู้วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นบ้างแล้ว ได้ทำการพันแผลอย่างง่ายไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เป็นเพียงการตรวจสอบอีกครั้งเท่านั้นเอง คนที่ฉลาดไม่ได้มีเพียงไฉเซ่าคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้ทหารที่เหลืออยู่ของไฉเซ่ารอยยิ้มต่างก็หายไป บางคนถึงกับเริ่มร้องไห้

 

ก็นั่นน่ะสิ ข้อพิพาทอันเหม็นเน่าของพวกระดับสูงเกี่ยวบ้าบออะไรกับเหล่าทหารในกองกำลังด้วย ตอนนี้ทำสงครามอยู่ มีคนตาย แต่กลับไม่มีผลงาน ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำไปเสียเปล่า พี่น้องหนึ่งพันกว่าคนที่รบจนตัวตายแลกมากับคำพูดที่เย็นชา นั่นคือ เคลื่อนพลโดยพลการ!

 

ใครหลายคนที่ใฝ่ฝันถึงการสร้างผลงานต่างก็โดนคำพูดนี้ฆ่าตายทั้งเป็น เมื่อคนหนึ่งร้องไห้ พริบตาเดียวก็พากันร้องไห้ทั้งค่าย ไม่มีเสียงร้องไห้ฟูมฟาย ทว่าล้วนแล้วแต่สะอึกสะอื้น น้ำตาไหลนองหน้าแต่กลับไร้เสียงร้องใดๆ การร้องไห้เช่นนี้เป็นเรื่องที่กดดันที่สุด แม้แต่คนที่ชอบกินก๋วยเตี๋ยวมาโดยตลอดก็กินไม่ลง รีบกินไปครึ่งชามและไปเฝ้าอยู่ข้างเฉิงตงไม่ห่างแม้เพียงครึ่งก้าว เฉิงตงได้รับบาดเจ็บสาหัส หอกยาวอันหนึ่งเกือบจะแทงทะลุท้องน้อยของเขา ตอนนี้นอนอยู่บนเปลหามหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ในสภาพอากาศหนาวเย็นที่อาการไข้ไม่ยอมลด ดูเหมือนว่าจะมีการอักเสบในช่องท้อง เมื่อเปิดปากแผลดู เห็นเพียงของเหลวสีเหลืองในร่างกายไหลออกมา หลังจากทำความสะอาดแผลเสร็จอีกครั้ง อวิ๋นเยี่ยใช้มีดตัดชิ้นเนื้อตายซึ่งสีเริ่มซีดลงที่อยู่รอบๆ ทิ้ง และใช้ใบกกก้านหนึ่งสอดเข้าไปในปากแผลเพื่อใช้ในการระบายน้ำออก อวิ๋นเยี่ยไม่มีชุดเข็มฉีดยา ส่วนน้ำเกลือธรรมดา[1]ที่ผลิตเองนั้นไม่บริสุทธิ์พอ สามารถใช้ทำความสะอาดปากแผลเท่านั้น แต่ไม่สามารถเพิ่มเข้าไปในกระแสเลือดได้ จึงได้แต่ต้องให้เฉิงฉู่มั่วป้อนให้เขากินน้ำเกลือเล็กน้อยทุกๆ ชั่วยาม และนำยาแก้อักเสบให้เขากิน สิ่งที่สามารถทำได้ก็ทำหมดแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองแล้ว

 

กำลังใจทหารขวัญสลาย กองกำลังจมอยู่กับความเศร้า ไฉเซ่าเอาแต่โกรธเพียงอย่างเดียว หน่วยสืบข่าวที่ปล่อยออกไปนั้นไร้ซึ่งชีวิตชีวา เป็นเช่นนี้ไม่ดีแน่ ตอนนี้รอบด้านล้วนแล้วแต่เป็นพวกหนวดเคราดก หากทำเช่นเดียวกับไฉเซ่าที่ว่ามาปล้นค่ายบ้าง เช่นนี้ไม่เลวร้ายแย่หรือ

 

นอกเหนือจากทหารเสริมบางส่วนที่อยู่ดูแลผู้บาดเจ็บแล้ว ทหารที่เหลือก็ถูกอวิ๋นเยี่ยส่งออกไปคอยเฝ้าระวัง ขวัญกำลังใจทหารเช่นนี้ไม่ควรปล่อยให้อยู่ในทุ่งหญ้านานเกินไป พรุ่งนี้จะต้องเดินทางกลับซั่วฟาง มีเพียงภายใต้กำแพงเมืองที่สูงใหญ่โอบล้อมเท่านั้น พวกเขาจึงมีโอกาสรักษาบาดแผลและค่อยๆ ฟื้นตัวได้

 

ในเวลานี้หลี่จิ้งคงจะอาละวาดอยู่กลางทุ่งหญ้า กองทัพห้าเส้นทางกำลังจะเข้าโอบล้อมอำเภอชี่โข่ว วันสุดท้ายของข่านเจี๋ยลี่กำลังจะมาถึง เกียรติยศเหล่านี้ช่างไร้วาสนากับซั่วฟาง อวิ๋นเยี่ยเชื่อว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไปหลี่จิ้งจะไม่ให้โอกาสแก่ทหารซั่วฟางในการสร้างผลงาน

 

ฟ้าเริ่มสว่าง อวิ๋นเยี่ยก็ตื่นขึ้นแล้ว เมื่อคืนหารือกับไฉเซ่า เขาเองก็เห็นด้วยว่าไม่ควรอยู่ที่ทุ่งร้างแห่งนี้นานเกินไป ตัดสินใจว่าวันพรุ่งนี้จะรีบเร่งเดินทางเต็มกำลัง ถึงซั่วฟางเร็วขึ้นหนึ่งวันก็สบายใจขึ้นหนึ่งวัน

 

เมื่อออกจากถ้ำ สายลมอันเยือกเย็นเข้ากระดูกก็ได้พัดพาความง่วงที่หลงเหลืออยู่หายไปในพริบตา ไฉเซ่าไม่มีถ้ำดินที่จะนอนหลับได้ จึงทำได้เพียงนอนรวมอยู่ในกระโจมเท่านั้น ท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บพื้นที่หนาวเย็นมีหรือไม่มีกระโจมก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร เมื่อคืนเขาไม่ได้ถอดเสื้อเกราะ หลับตาพักผ่อนอยู่ข้างกองไฟครู่หนึ่ง ตอนนี้ออกคำสั่งต่างๆ ไม่หยุดหย่อน หวังว่าเมื่อเหล่าทหารยุ่งวุ่นวายแล้วจะได้ลืมเรื่องที่ไม่สบายใจเหล่านั้นไป

 

การกลับบ้านมักจะเป็นสิ่งดึงดูดใจคน เมื่อกินโจ๊กร้อนๆ แล้วทั้งกองทัพจึงเคลื่อนพล เฉิงฉู่มั่วพาชื่อโหวเดินทางเป็นกองหน้า ไฉเซ่าไล่ต้อนมาศึกหมื่นกว่าตัวตามมาติดๆ มีเพียงอวิ๋นเยี่ยที่พาทหารที่บาดเจ็บนั่งรถลากเลื่อนตามอยู่ด้านหลังอย่างช้าๆ ช่วยไม่ได้ ถ้าหากใช้ความเร็วมากเกินไป มีทหารบาดเจ็บครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ทันอดทนจนถึงซั่วฟางก็จบเห่แล้ว

 

เหอเซ่าเป็นเหมือนหนูอ้วนตัวหนึ่ง ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้เขาไม่ได้หยุดพักเลย ทหารที่โจมตีเมืองเซียงเฉิงเข้าๆ ออกๆ กระโจมของเขาไม่มีหยุด เมื่อตอนที่เข้าไปพวกเขายังหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่เมื่อออกมากลับหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่รู้ว่าชายคนนี้ใช้วิธีอะไรจึงทำให้ทหารที่หัวใจแตกสลายกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง

 

ตอนนี้เขากระโดดขึ้นลงบนรถลากเลื่อนของทหารที่บาดเจ็บ คุยกับคนนี้สองสามคำ ตบหลังมือคนนั้นสองสามที ดูเหมือนว่าจะตกลงการค้าอะไรกันได้สักอย่าง ใบหน้าที่อ้วนกลมของเขายิ้มจนเต็มไปด้วยรอยย่นแล้ว ทหารที่บาดเจ็บก็เหมือนจะร่าเริ่งขึ้นมากในขณะเดียวกัน แม้กระทั่งเฉิงตงเขาก็ไม่ปล่อยให้หลุดรอดไป เขาไปกระซิบข้างหูเฉิงตงเบาๆ ประโยคหนึ่ง เฉิงตงที่เดิมเพิ่งจะฟื้นสติพูดด้วยดวงตาที่เบิกกว้างว่า “บ้าน” จากนั้นก็ค้อนเข้าให้แล้วนอนต่อ

 

อวิ๋นเยี่ยจึงจับหนูอ้วนมาถาม “เจ้ากำลังทำอะไร เฉิงตงเพิ่งจะตื่นขึ้นมา เจ้าพูดอะไรกับเขา ทำให้เขาตื่นเต้นมากถึงเพียงนั้นจนสลบไปอีก”

 

“น้องชาย ข้าตอนนี้เป็นแค่พ่อค้า แน่นอนว่าต้องเจรจาการค้าสิ” เหล่าเหอพูดด้วยท่าทีที่ว่ามันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

 

“เจ้ามีการค้าที่ทำกับเขาได้ด้วยหรือ พวกเขาเป็นทหารที่ไม่ได้มีสมบัติติดตัว เจ้าอย่าไปปอกลอกพวกเขาอีกจะได้หรือไม่” ทหารที่น่าสงสารเหล่านี้ที่ต้องมาเจอกับเหล่าเหอก็เพราะชาติก่อนก่อกรรมทำเข็ญไว้มากเกินไป ตอนนี้ในสายตาของเขาเขามีเพียงการค้าเท่านั้น ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในสายตาสามารถแปลงเป็นราคาได้หมด ถ้าหากราคาเหมาะสมชายคนนี้ก็ไม่คิดมากที่จะขายเนื้ออ้วนๆ ของตัวเองเหมือนเนื้อหมูอย่างแน่นอน

 

“ท่านคิดว่าทหารเหล่านี้เป็นผียากไร้หรือ เช่นนั้นท่านก็ผิดแล้ว การลอบโจมตีเมืองเซียงเฉิงครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่มีผลงานทางการทหาร แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ถือว่ามีความผิดกระมัง ยึดสมบัติมาได้มากมายถึงเพียงนั้น ท่านผู้บัญชาการคงไม่คิดเก็บไว้เพียงลำพังกระมัง ม้าศึกดีๆ ที่ยึดมาส่งมอบให้ทางการก็เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว แต่ม้าที่ด้อยลงมาอีกหน่อยเหล่านั้นเมืองซั่วฟางก็ไม่ต้องใช้พวกมัน ดังนั้นก็ควรให้รางวัลแก่ทหารเหล่านี้บ้างใช่หรือไม่ คนหนึ่งคงไม่เยอะ แต่ถ้าสองพันคนก็กลายเป็นจำนวนไม่น้อยกระมัง ไปหาแม่ทัพใหญ่เพื่อแลกเปลี่ยนรางวัลเหล่านี้เป็นม้าศึกชั้นรองลงมา จากนั้นก็มาหาข้าเพื่อแลกม้าศึกชั้นรองลงมาเป็นบ้านแทน ไม่ดีหรือ เป็นบ้านในเมืองฉางอันเลยนะ” เหล่าเหอพูดเป็นคุ้งเป็นแคว ฟังดูน่าเชื่อถือสมเหตุสมผล เพียงแต่จะมีที่ไหนที่มีบ้านมากมายเพียงนั้นให้เขาแลก

 

“บ้านในเมืองฉางอันย่อมจูงใจผู้คนแน่นอน เพียงแต่เหล่าเหอ เจ้าคงไม่ได้โกหกนายทหารเหล่านี้ใช่ไหม ถ้าหากโกหก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียงไม่กี่วัน พวกเขามีหลายพันวิธีที่จะทำให้เจ้าเป็นหมูบะช่อ” อวิ๋นเยี่ยหวังว่าชายคนนี้อยากทำการค้า แต่อย่าได้อยากทำจนกระทั่งเป็นบ้าไปแล้ว

 

“แหะๆๆ” เหล่าเหอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “จิตใจคนเราก็มีเลือดเนื้อ ข้าย่อมไม่ทำในสิ่งที่ทำให้บรรพชนเสียเกียรติอยู่แล้ว เมื่อบอกว่าเป็นบ้านในเมืองฉางอันก็คือบ้านในเมืองฉางอันแน่นอน ท่านไม่รู้อะไร ห่างจากคูน้ำชวีเจียงอยู่ไม่ไกลมีตรอกแห่งหนึ่งเรียกว่าตรอกตุนฮั่ว ตรอกแห่งนี้อยู่กันไม่ถึงสิบครัวเรือน ไม่ว่าเพราะว่าพื้นที่แคบ แต่เป็นเพราะไม่มีใครกล้าที่จะไปอยู่ที่นั่น ว่ากันว่าในตอนนั้นมีการต่อสู้กันที่นั่นก่อนที่ฝ่าบาทจะขึ้นครองราชย์ โหดร้ายป่าเถื่อนยิ่งนัก มีศพไม่ต่ำกว่าห้าร้อยศพ อีกทั้งเลือดยังย้อมพื้นที่จนเป็นสีแดง ตอนนี้หากเจ้าไปดูสถานที่นั้นยังมีคราบเลือดอยู่เลยได้ยินจากพวกผู้อาศัยเก่าบอกว่าบางครั้งก็จะได้ยินเสียงผีร้องไห้ในตอนกลางคืน… “

 

อวิ๋นเยี่ยจึงพูดต่อว่า “ดังนั้นราคาที่ดินมีเพียงคำเดียวว่า ‘ถูก’ ใช่หรือไม่ บางทีอาจจะมีบ้านอยู่ที่นั่น เจ้าเพียงแค่ต้องซ่อมแซมเล็กน้อย พวกเขาก็สามารถเข้าอยู่ได้ใช่ไหม”

 

“อย่าพูดเหลวไหล คำว่าราคาถูกเป็นสองคำไม่ใช่คำเดียว รถหลายร้อยคันที่บรรทุกหนังสัตว์ในฤดูใบไม้ร่วงของพี่ชายไม่มีที่จะวาง ไม่มีใครต้องการจะให้หนังที่มีกลิ่นเหม็นกองโตอยู่ใกล้ตัวเองเกินไป เพื่อนบ้านที่ถนนต่างก็ไม่เต็มใจ ไม่มีที่เก็บ ไม่มีทางเลือกจึงต้องนำไปเก็บที่ตรอกตุนฮั่ว ใครจะรู้ว่าเจ้าของบ้านจอมโหดพวกนั้นปฏิเสธที่จะให้เช่า สามารถซื้อได้เพียงอย่างเดียว เชือดพี่ชายเหมือนหมูอ้วนพีตัวหนึ่ง ข้าไม่ได้อยู่ที่บ้าน พี่สะใภ้เจ้าก็ไม่ใช่คนที่รู้จักวางแผนอะไร รถบรรทุกหนังหลายร้อยคันก็ไม่สามารถวางไว้ในที่โล่งได้ ด้วยความจำเป็นจึงต้องกัดฟันซื้อที่ดินตรงนั้นขึ้นมา ทั้งที่รู้ว่าขาดทุน ก็ต้องกระโดดลงไปในหลุมใหญ่นี้ ดินแดนแห่งเลือด สถานที่แห่งการฆ่า คนอื่นหวาดกลัว พวกทหารเหล่านี้มีหรือจะกลัว ข้าถามพวกเขาแล้ว ไม่มีใครใส่ใจ ต่างก็บอกว่าพวกเขาเห็นคนตายมากกว่าคนที่มีชีวิตเสียอีก บ้านเช่นนี้เหมาะที่สุดที่จะให้พวกเขาอยู่ เจ้าว่าการค้านี้ของข้าเป็นอย่างไร”

 

ไม่มีอะไรจะพูด ไม่มีอะไรจะพูดจริงๆ ผู้ชายคนนี้พบผู้ซื้อบ้านผีสิงที่ดีที่สุด ทั้งยังพบคนซื้อสองพันคนใรคราวเดียว แม้แต่เฉิงตงที่ปางตายเช่นนี้ก็ไม่ปล่อยให้หลุดมือ คราวนี้เกรงว่าพื้นที่ในตรอกตุนฮั่วอย่างน้อยก็เป็นบ้านเขาไปครึ่งหนึ่งแล้ว นำออกมาครึ่งหนึ่งให้พลทหารพักพิง ที่เหลือสามารถแยกขายให้กับทหารได้ต่อไปได้เมื่อมีความนิยมราคาที่ดินก็ย่อมจะสูงขึ้นตามเป็นเรื่องธรรมดา ชายคนนี้ได้กำไรม้าหลายพันตัวโดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่แดงเดียว ด้วยความอิจฉาริษยา อวิ๋นเยี่ยจึงตัดสินใจขอที่ดินผืนใหญ่จากเขา

 

ไม่ได้ต้องรออวิ๋นเยี่ยเอ่ยปาก เหล่าเหอก็หยิบแผนที่ออกจากอกเสื้อ ชี้ไปที่พื้นที่ส่วนที่ใกล้คูน้ำชวีเจียงที่สุดและบอกว่า “นี่คือน้ำใจของพี่ชาย น้องชายอย่าได้ปฏิเสธเป็นอันขาด… “

 

อวิ๋นเยี่ยตาโตอ้าปากค้าง ได้แต่คิดด่าอย่างแรงอยู่ในใจ ‘ให้ตายสิ’

 

เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เหล่าทหารไม่สามารถสร้างผลงานได้ ได้บ้านหนึ่งหลังก็ไม่เลวเหมือนกัน อย่างน้อยก็ถือเป็นการปลอบโยนพวกเขา เมื่ออวิ๋นเยี่ยและทหารที่ได้รับบาดเจ็บมาถึงที่ตั้งค่าย ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ไฉเซ่ายืนอยู่บนเนินสูงมองดูรถลากเลื่อนเลื่อนเข้าสู่ประตูค่ายทีละตัว จากนั้นจึงค่อยกลับลงมาจากเนินเขา ไฉเซ่าเป็นห่วงทหารที่บาดเจ็บถึงเพียงนี้ ดวงตาของเหล่าเหอพลันเปล่งประกายขึ้น รู้ได้ถึงความคิดของเขา ไฉเซ่าเป็นห่วงทหารที่บาดเจ็บ ซึ่งก็หมายความว่ารางวัลคราวนี้จะไม่น้อยแน่นอน ในเมื่อรางวัลไม่น้อยแล้วก็หมายความว่าเหล่าเหอสามารถสร้างรายได้ได้เป็นกอบเป็นกำ ไฉเซ่าเดินวนเหล่าทหารที่ได้รับบาดเจ็บรอบหนึ่ง เขาดีใจที่พบว่าทหารที่บาดเจ็บยังมีคึกคักมีชีวิตชีวา บางคนยังพูดและหัวเราะได้ เขาไม่รู้ว่าอวิ๋นเยี่ยใช้วิธีการใดทำให้ทหารเหล่านี้มีความสุขขึ้นมาได้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จึงถามอวิ๋นเยี่ย

 

“อวิ๋นโหว ทหารที่บาดเจ็บดูแล้วยังอาการดีอยู่ ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุอันใด”

 

“บ้านน่ะ เมื่อมีบ้าน จะมีใครยังคิดถึงผลงานการศึกกันอีก ท่านไม่ได้สังเกตเห็นหรือว่าเหล่านักรบแต่ละคนต่างก็ตาโตเหล่มองท่านอยู่” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้อวิ๋นเยี่ยก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก

 

“บ้าน? เรื่องนี้เป็นมาเป็นไปอย่างไร มีบ้านมาจากที่ไหนกัน แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”

 

“มีพ่อค้าที่ไร้มโนธรรมคนหนึ่ง เขากำลังสนใจรางวัลที่ท่านจะให้แก่ทหารที่บาดเจ็บ เขากับทหารที่บาดเจ็บได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าหากได้รับรางวัลเมื่อไหร่ ก็จะนำมาแลกเปลี่ยนเป็นบ้านให้พวกเขา ทั้งยังเป็นบ้านในเมืองฉางอันอีกด้วย ดังนั้นเมื่อมีบ้าน จึงลืมผลงานทางการศึก”

 

ไฉเซ่าโกรธมากจนสั่นเทาไปทั้งร่าง “ใครกัน ใครที่ใจกล้าถึงกับกล้าคิดจะหลอกลวงทหารของข้า ข้าจะเฉือนมันเป็นหมื่นๆ ชิ้น”

 

อวิ๋นเยี่ยขวางหน้าไฉเซ่าที่กำลังโกรธแล้วบอกกับเขาว่า “ท่านผู้บัญชาการ ท่านคงจะไม่ปฏิเสธที่จะให้รางวัลแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ติดตามร่วมเป็นร่วมตายกับท่านกระมัง”

 

“แน่นอนว่าต้องให้รับรางวัล คราวนี้ข้าผิดต่อพวกเขา หากไม่ให้รางวัลใหญ่จะชดเชยความรู้สึกผิดในใจข้าได้อย่างไร แต่ทว่าพ่อค้าหน้าเลือดคนนี้กลับมาหลอกลวงพวกเขา หวังขูดรีดหยาดเหงื่อของพวกเขา ข้าจะให้ห้าม้าแยกร่างเดี๋ยวนี้เลย จะได้ให้ดูเป็นเยี่ยงอย่าง“ ไฉเซ่าโกรธจัดจนใกล้จะเป็นบ้าแล้ว

 

“ท่านผู้บัญชาการ ข้าเองก็หวังว่าชายคนนี้จะถูกห้าม้าแยกร่าง แต่ทว่าชายคนนี้ก็ไม่ได้หลอกลวง ข้อตกลงระหว่างเขากับเหล่าทหารนั้นยุติธรรมเป็นที่สุด เราจึงไม่มีเหตุผล” สำหรับทุกคนที่ฉลาดกว่าตัวเอง อวิ๋นเยี่ยรู้สึกรังเกียจมาก ห้าม้าแยกร่างเป็นความคิดที่ดี

 

“ไม่ได้หลอกลวงรึ มีบ้านในเมืองฉางอันจริงๆ หรือ นั่นราคาแพงมากเลยนะ เงินรางวัลที่ได้นั้นไม่เพียงพอที่จะซื้อบ้านในเมืองฉางอันแน่” ไฉเซ่าสับสนเป็นอย่างมาก เขาไม่เชื่อว่าใต้หล้านี้จะมีคนที่ตั้งใจทำการค้าแล้วยังยอมแถมเงินให้อีกส่วนโดยเฉพาะ

 

“ท่านคงต้องเชื่อ นี่เป็นเรื่องจริง ทหารซื้อบ้านไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมากมายเหมือนกับพวกเรา พวกเขาเพียง แต่หวังว่าจะมีที่พักในเมืองฉางอันเท่านั้นเอง ไม่ได้ต้องการขนาดใหญ่ เพียงแค่มากพอให้ตัวเองและทั้งครอบครัวอยู่ได้ก็พอแล้ว” บ้านหนึ่งหลังที่แบ่งเป็นสามส่วนจะอาศัยสักสิบกว่าครอบครัวก็ไม่เป็นปัญหา ท่านยังคิดว่าเขาหลอกลวงหรือไม่” เมื่ออวิ๋นเยี่ยอธิบายไฉเซ่าเองก็ตาโตอ้าปากค้างเช่นเดียวกับเขา มีชีวิตอยู่มานานหลายทศวรรษ ไม่เคยรู้เลยว่าบ้านหลังหนึ่งยังสามารถขายให้กับคนสิบกว่าครอบครัว อีกทั้งผู้ซื้อเหล่านี้ต่างก็เป็นพี่น้องที่สนิทชิดเชื้อกัน ไม่เป็นปัญหาแม้แต่น้อยในการอยู่ร่วมกัน ผู้ที่คิดวิธีการนี้ได้ช่างมีความคิดที่ยาวไกลอะไรเช่นนี้

 

“บอกพ่อค้าคนนั้นด้วย เหลือบ้านสักพันหลังให้ข้าด้วย”

 

 

——

 

[1] น้ำเกลือธรรมดา หรือ น้ำเกลือชนิดนอร์มอลซาไลน์ เป็นน้ำเกลือธรรมาดาทั่ววไปที่มีความเข้มข้นเพียง 0.9% ซึ่งเป็นค่าที่เท่ากับเกลือที่อยู่ในกระแสเลือดของคนทั่วไป