ตอนที่ 78-1 เส้นทางชีวิตเราไม่จำเป็นต้องอธิบาย

จำนนรักชายาตัวร้าย

เหตุใดหมอนี่ถึงได้อยู่ไปเสียทุกที่เลยเล่า

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยมองเห็นการมาของซย่าโหวฉิงเทียนก็ขมวดคิ้ว

 

 

คนผู้นี้เฉกเช่นวิญญาณร้ายที่คอยตามติดไปทุกที่จริงๆเชียว…

 

 

หากมิใช่เมื่อครู่หมอนี่ปกป้องอวี้เฟยเยียนไว้ละก็ เชียนเยี่ยเสวี่ยคงจะชักดาบเข้าห้ำหั่นกับซย่าโหวฉิงเทียนไปแล้ว!

 

 

ในฐานะเพื่อนสนิทอวี้เฟยเยียนและพี่น้องของนาง เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงรู้ว่าตนมีหน้าที่ ตรวจตราและคัดกรองคู่ครองดีๆ ให้กับนางด้วย

 

 

เพราะอย่างไรเสียอวี้เฟยเยียนอายุยังน้อย พบผู้ชายมาก็ไม่มาก จึงอาจจะถูกผู้ชายหลอกให้ลุ่มหลงได้

 

 

เช่นเดียวกับมารดาเขา ตอนนั้นท่านแม่อายุยังน้อยไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร จึงได้ถูกฮ่องเต้ที่ในตอนนั้นยังเป็นเพียงองค์ชาย ใช้วาจาคารมหวานล่อหลอกให้ลุ่มหลง ยอมแต่งงานด้วย ด้วยเพราะตระกูลท่านแม่มีอำนาจมาก สามารถช่วยให้เขาได้ครองบัลลังก์สมใจ ผลลัพธ์ก็คือ…

 

 

เสด็จพ่อเขาสนใจแต่เพียงชาติกำเนิดที่สูงส่งของท่านแม่เท่านั้น จึงแค่หลอกใช้นาง จนกระทั่งเสด็จแม่ขึ้นเป็นฮองเฮา เสด็จพ่อก็แต่งงานกับผู้หญิงที่ตนรักแล้วแต่งตั้งนางเป็นกุ้ยเฟยทันที ในวังหลวงฮองเฮาเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น ส่วนตระกูลหลิวกุ้ยเฟยก็ได้ฮองเฮาอุ้มชูขึ้นมาเช่นกัน กระทั่งมาคานอำนาจฮองเฮาในที่สุด

 

 

ดังนั้น นางยินยอมเชื่อว่าในโลกนี้มีผี ก็จะไม่ยอมเชื่อลมปากผู้ชายหน้าไหน!

 

 

ชื่อเสียงซย่าโหวฉิงเทียนก็ย่ำแย่ ดังนั้นจะยอมให้อวี้เฟยเยียนหลงกลไม่ได้!

 

 

เมื่อสัญชาตญาณอันแรงกล้าของเชียนเยี่ยเสวี่ยพบว่าซย่าโหวฉิงเทียนกำลังสนใจในตัวอวี้เฟยเยียนเข้า แล้วนางจึงจับตามองเขามากกว่าเดิม

 

 

“ที่ตรงนี้เดิมทีก็เป็นที่นั่งของข้า จู่ๆ ท่านก็โผล่มาแทรก แล้วเหตุใดจึงยังมาโทษข้าอีกเล่า!”

 

 

ตอนนี้ในสายตาซย่าโหวฉิงเทียน มีบุคคลที่เขาไม่ชอบหน้าเพิ่มขึ้นมาอีกคน นั่นก็คือเชียนเยี่ยเสวี่ย

 

 

ตอนที่เขาเป็นตัวประกันที่แคว้นฉินจื้อ ความทรมานที่ได้รับ เขายังมิได้ตอบแทนกลับไปด้วยซ้ำ

 

 

หลายปีมานี้ แคว้นต้าโจวรวบรวมไพร่พล สะสมพละกำลังมาโดยตลอด จึงถึงเวลาแล้วที่จะคิดบัญชีกับแคว้นฉินจื้อ!

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนวางแผนไว้ว่าเมื่อกลับเมืองหลวง จะหาโอกาสโจมตีแคว้นฉินจื้อ  เพราะอย่างไรเสียแคว้นฉินจื้อก็ไม่ใช่พวกดีอะไร จอมเทวาก็เป็นเพียงชายเลวๆคนหนึ่ง ส่วนเจ้าหนุ่มหน้าขาวตรงหน้านี่ก็ยิ่งขัดลูกตาเป็นอย่างยิ่งด้วย!

 

 

ล้มแคว้นฉินจื้อได้ เหยียบย่ำไอ้หนุ่มหน้าขาว นี่ต่างหากจึงเป็นวิธีการเอาคืนแบบฉบับซย่าโหวฉิงเทียน!

 

 

มู่เหนี่ยนซีเห็นบุรุษรูปงามสองคนพากันหึงหวงกันไปมาเพียงเพราะอวี้เฟยเยียนแล้ว ก็ให้อิจฉายิ่งนัก

 

 

คนหนุ่มคนสาวนี่ช่างดีจริงๆ!

 

 

เลือดหนุ่มสาวเดือดพล่าน!

 

 

แต่การแย่งชิงสตรีในขณะที่บรรยากาศหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ มิใช่สิ่งที่คนหนุ่มสาวควรจะทำกระมัง!

 

 

ว่าแล้วนางก็เหลือบมองเชียนเยี่ยเสวี่ย มู่เหนี่ยนซีถอนใจออกมา น่าเสียดายที่ตนเองไปชอบลุงเข้าให้! ทำให้ไม่ว่ามู่เหนี่ยนซีพยายามจุดไฟอย่างไร เจ้าหินทึ่มก้อนนี้ก็จุดไม่ติดเสียที

 

 

หรือว่านางจะต้องยอมแพ้กันนะ?

 

 

“พวกเจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ ตกลงจะให้ข้าดูการแข่งขันหรือไม่หา!”

 

 

อวี้เชียนเสวี่ยคอยจับตาดูมู่เหนี่ยนซีตลอดเวลา เมื่อเห็นว่าจู่ๆสีหน้านางก็แสดงความผิดหวังออกมา เขาก็เริ่มร้อนใจขึ้นมาทันที

 

 

อีกทั้งเมื่อเห็นว่าอ๋องทั้งสองมิได้อยู่ในรายชื่อหลานเขยของเขาเลย เพียงเพราะอวี้เฟยเยียนทั้งสองหนุ่มถึงกลับทะเลาะเบาะแว้งกันเสียจนมองหน้ากันไม่ติดเช่นนี้ ‘ซู่’ ไฟในใจอวี้เชียนเสวี่ยก็ลุกโชนขึ้น

 

 

แค่ลุงสามเอ่ยปาก คนทั้งสองที่เดิมทีกำลังจะชักกระบี่เข้าห้ำหั่นกันอยู่แล้วก็สงบลงในพริบตา

 

 

ไม่มีทางเลือก นี่คือผู้อาวุโสโดยสายเลือดของอวี้เฟยเยียนเชียวนะ!

 

 

ซย่าโหวฉิงเทียนมิอยากจะเสียมารยาทต่อหน้าผู้อาวุโส

 

 

ที่ลานประลอง ผู้เฒ่าใหญ่ทำการเลือกเด็กทดลองยาเรียบร้อยแล้ว

 

 

“ผู้เฒ่าใหญ่ ท่านต้องไตร่ตรองให้รอบคอบ! เผื่อว่าร่างกายเด็กย่ำแย่แล้วทนมิถึงสองชั่วยามละก็ ท่านก็ต้องพ่ายแพ้!”

 

 

อวี้เฟยเยียนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนออกมาด้วยความ ‘ปรารถนาดี ‘

 

 

“ข้ารู้น่า!”

 

 

ผู้เฒ่าใหญ่รำคาญอวี้เฟยเยียนจะตายอยู่แล้ว

 

 

จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่า การที่ตนเองคิดจะใช้การประลองปรุงโอสถครั้งนี้จัดการอวี้เฟยเยียน นับเป็นเรื่องที่โง่เง่าอย่างที่สุด

 

 

หากรู้ตั้งแต่แรกว่ามันจะวุ่นวายถึงขนาดนี้ มิสู้ให้คนล้อมกรอบอวี้เฟยเยียนเอาไว้ แล้วเข้าโจมตี ก็คงหมดเรื่องไปแล้ว! เขาไม่เชื่อหรอกว่า จอมยุทธ์สามขั้น ทั้งขั้นราชัน ขั้นจักรพรรดิ และขั้นราชันจักรพรรดิ จะร่วมมือกันจัดการเด็กเมื่อวานซืนที่เพิ่งสำเร็จจอมเทวาไม่ได้

 

 

ตัวเขาเองที่ทำเรื่องง่ายให้กลายเป็นเรื่องยาก!

 

 

สุดท้าย ผู้เฒ่าใหญ่ก็เลือกเด็กที่มองดูแล้วร่างกายแข็งแรงมาห้าคน ส่วนเด็กที่เหลือก็ถูกปล่อยลงจากลานประลองไป

 

 

เด็กทั้งห้าที่ถูกเลือกมานั้นถึงแม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่ก็พอจะเดาออกว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเขาตื่นตระหนกหวาดกลัวจนร่างสั่นเทิ้ม ส่วนเด็กที่ขี้ขลาดมากหน่อยก็ถึงกับร้องไห้ออกมา

 

 

“ฮึกๆ…ท่านแม่…ฮึกๆ…ข้าอยากกลับบ้าน!”

 

 

“อย่าร้องไห้!”

 

 

เลี่ยเชวียเกลียดเด็กร้องไห้ที่สุด เมื่อเห็นเช่นนั้นก็จัดแจงหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมาแล้วยัดเข้าปากเด็กน้อยทันที

 

 

เวลาผ่านไปไม่นาน เด็กผู้นั้นก็กระอักเลือดสีดำออกมาแล้วล้มลงบนพื้นเริ่มชักเกร็ง

 

 

“อ๊ากกก!”

 

 

ต้องมาเห็นภาพที่น่าสลดหดหู่เช่นนี้ แขกหญิงที่มาร่วมงานต่างก็ตกอกตกใจจนต้องยกมือขึ้นปิดตา

 

 

เห็นทุกคนมีท่าทีหวาดกลัว เลี่ยเชวียกลับยิ่งหัวเราะชอบใจอย่างบ้าคลั่ง แล้วสั่งการให้ลูกน้องตนจัดการยัดยาอีกสี่เม็ดใส่ปากเด็กสี่คนที่เหลือทันที

 

 

เพียงไม่กี่วินาที เด็กที่เมื่อครู่กำลังหอบ กำลังร้องไห้ ก็ล้มลง

 

 

มีเด็กบางคนเลือดออกเจ็ดทวาร บางคนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ บ้างมีฟองออกมาจากปาก บ้างร่างเริ่มบวมออกมาอย่างน่ากลัว และไม่นานก็บวมจนกลายเป็นลูกยางลูกหนึ่ง

 

 

“เริ่มต้นจับเวลา ผู้เฒ่าใหญ่ เชิญ ท่านต้องระวังหน่อยนะ ถ้าหากว่าพวกเขาทั้งหมดตายละก็ ท่านก็พ่ายแพ้…”

 

 

อวี้เฟยเยียนผายมือเป็นทำนองเชิญ แต่ในใจกลับหวาดวิตกขึ้นมาจับใจ

 

 

คนของสำนักหมื่นพิษ น้ำมือเ**้ยมโหดจริงๆ

 

 

กับเด็กๆ ยังลงมือเ**้ยมโหดถึงเพียงนี้ หากเป็นคนทั่วไปละก็ ยิ่งมิเลือกวิธีการเลยกระมัง!

 

 

“ฮ่าๆ ให้ข้าได้เปิดหูเปิดตารับชมความสามารถที่แท้จริงของหอราชาโอสถหน่อยเถอะ!”

 

 

เลี่ยเชวียยืนยิ้มชั่วร้ายอยู่อีกด้าน

 

 

“การประลองปรุงโอสถในครั้งนี้ สำนักหมื่นพิษของเราต่างหาก จะเป็นผู้กำชัยชนะ”

 

 

ยิ่งเลี่ยเชวียเป็นเช่นนี้ อารมณ์อวี้เฟยเยียนก็ยิ่งดิ่งลง

 

 

ผู้เฒ่าใหญ่เป็นคนของสำนักหมื่นพิษ เช่นนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเฟิงหมิงก็เป็นสำนักหมื่นพิษที่ทำแล้วถือธงหอราชาโอสถเพื่อแอบอ้าง!

 

 

สำนักหมื่นพิษ เสียสติไปแล้ว โหดเ**้ยมเกินมนุษย์ ไร้ซึ่งมโนธรรม!

 

 

หากพวกเขาเป็นเพียงสำนักเล็กๆ ละก็ คงยังมิเป็นอันตรายกับผู้คนทั่วไป แต่ตอนนี้แม้แต่หอราชาโอสถสำนักหมื่นพิษก็ยังสามารถแทรกซึมเข้ามาได้ เขาขวัญกล้าเช่นนี้ ทั้งยังทำร้ายคนโดยไม่เกรงกลัว เกรงว่าอำนาจของมันมิอาจมองข้ามได้

 

 

มิอาจยอมให้สำนักหมื่นพิษทำร้ายคนได้อีกแล้ว!

 

 

มิฉะนั้น หากรอจนกระทั่งสำนักหมื่นพิษเรืองอำนาจและมีชัยชนะเหนือหอราชาโอสถละก็ ถึงตอนนั้นประชาชนตาดำๆ จะต้องเป็นผู้รับเคราะห์!

 

 

ผู้เฒ่าใหญ่โบกมือเป็นสัญญาณ ทันใดนั้นขั้นราชันสองคน ขั้นวีรชนสามคน รวมห้าคนก็ช่วยกันถ่ายพลังเสวียนให้กับเด็กทั้งห้า

 

 

อีกด้านของลานประลอง นักปรุงยาห้าคนของตำหนักโอสถก็ขึ้นมาเพื่อถอนพิษให้กับเด็กๆ

 

 

ไม่นาน บรรยากาศทั้งลานประลองก็เงียบลง อวี้เฟยเยียนก็ถอยร่นกลับไปยังที่นั่งตน แล้วคอยจับตาดูเด็กทั้งห้าไม่วางตา เพื่อวินิจฉัยอาการของพวกเขา แล้วก็จริงดังที่คาดไว้ อาการพวกเขามิสู้ดีนัก!

 

 

สำนักหมื่นพิษสามารถคิดค้นพิษที่โหดเ**้ยมร้ายแรงเช่นนี้ได้ นับว่ามีความอดทนไม่น้อย

 

 

แต่ใช้พิษทำร้ายคน นั้นไม่ถูกต้อง!

 

 

ในใจอวี้เฟยเยียนมีวิธีที่จะแก้พิษเบื้องต้นแล้ว ซึ่งบนลานประลองเหล่านักปรุงยาก็กำลังพยายามถอนพิษให้กับเด็กทั้งห้าคน

 

 

“ตกลงพวกท่านถอนพิษได้หรือไม่เล่า”

 

 

ว่าแล้วเลี่ยเชวียก็สั่งให้ศิษย์ยกเก้าอี้ขึ้นมาแล้วนั่งพาดขาขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ ที่ด้านหลังเขามีศิษย์สาวรูปร่างหน้าตางดงามราวดอกไม้แรกแย้มสองคน คนหนึ่งคอยรินชาให้ อีกคนคอยบีบนวดให้ ดูแล้วรื่นเริงมีความสุขเป็นอย่างมาก

 

 

“ข้าว่านะ ผู้เฒ่าใหญ่ หากว่าตำหนักโอสถไม่มีน้ำยาละก็ ก็อย่าได้เสียแรงเปล่าอีกเลย!”

 

 

“ขอเพียงแต่ถ่ายทอดพลังเสวียนต่อลมหายใจให้กับเด็กเหล่านี้ได้สองชั่วยาม ก็เรียบร้อยแล้ว! ขอเพียงแต่เด็กพวกนี้ไม่ตายในมือพวกเจ้า พวกเจ้าก็ไม่แพ้ ถึงตอนนั้น ก็จะมีคนที่ต้องรับรับผิดชอบเรื่องนี้เอง ซึ่งเรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับตำหนักโอสถแต่อย่างใด!”

 

 

เลี่ยเชวียจิบชาหนึ่งจอก พลางเอื้อมมือไปลูบไล้มือขาวเนียนละเอียดของศิษย์น้องไปด้วย

 

 

“เฮ้อ ตอนข้าจะมาที่นี่ ประมุขยังตั้งใจมอบยาที่ท่านเพิ่งจะคิดค้นขึ้นมาให้กับข้าเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันเหตุการณ์มิคาดฝัน คิดไม่ถึงเลยว่า มันจะได้ใช้ประโยชน์จริงๆ ความเก่งกาจของประมุขเรา บอกไปพวกเจ้าก็คงจะไม่รู้หรอก สรุปแล้วก็คือ ยาพิษท่าน ถึงตอนนี้ยังคงไม่วิธีแก้!”

 

 

เห็นท่าทางกระหยิ่มยิ้มย่องของเลี่ยเชวียแล้ว เชียนเยี่ยเสวี่ยมองแล้วขัดสายตาเป็นอย่างยิ่ง

 

 

“เฮ้อ เหนือภูเขายังมีทิวเขาเขียว เหนือหอยังมีหอที่สูงกว่า วีรบุรุษมากมายไม่หยุดยั้งที่จะช่วงชิงความเป็นหนึ่ง ทว่ากลับยังมีนักปราชญ์อยู่เบื้องหน้า!”

 

 

“หนังวัวมิใช่แค่ใช้ปากเป่ามันก็จะลอย ส่วนขนไก่ต่อให้เป่าอย่างไรมันก็ลอยขึ้นฟ้าไม่ได้! คนบางคนก็อย่าคุยโวโอ้อวดให้มันมากนักเลย มิฉะนั้นขายหน้าน่ะเรื่องเล็ก ถึงตายน่ะสิเรื่องใหญ่!”

 

 

เห็นอวี้เชียนเสวี่ยออกหน้าแทนอวี้เฟยเยียน เลี่ยเชวียก็เหลือบมองเขาครู่หนึ่ง แต่ก็มิได้เห็นเชียนเยี่ยเสวี่ยในสายตา

 

 

“จอมเทวาหูซา นี่นะหรืออ๋องที่เก่งกาจที่สุดในแคว้นฉินจื้อ?”

 

 

“ข้าว่า ก็ไม่เท่าไหร่กระมัง โบราณว่าไว้ ผู้รู้สถานการณ์เป็นยอดคน แต่เขาไม่รู้ดีรู้ชั่ว ไม่รู้จักใครเป็นใครเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นใหญ่ไม่ได้น่ะสิ!”

 

 

หูซาเองก็ไม่พอใจการกระทำเชียนเยี่ยเสวี่ยเป็นอย่างมาก

 

 

“เยี่ยนอ๋อง นี่คือการแข่งขัน!”

 

 

“ข้ารู้ดีกว่านี่คือการแข่งขัน แต่ก็ไม่มีใครกำหนดนี่นาว่าในงานประลองปรุงโอสถ ห้ามพูดคุย!”

 

 

“อ้อ ข้าจะบอกให้อีกอย่าง วันนี้ที่หูซาเข้าร่วมการประลองปรุงโอสถ เป็นเรื่องส่วนบุคคลของเขา มิเกี่ยวข้องอะไรกับแคว้นฉินจื้อ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา หวังว่าทุกคนจะแยกแยะด้วย!”

 

 

“อย่างไรเสีย เป็นหนี้ก็ต้องชดใช้…”

 

 

เชียนเยี่ยเสวี่ยหาได้เกรงกลัวหูซาไม่ เพราะไม่ว่าอย่างไรหมอนี่ก็เกลียดนางเข้ากระดูกดำอยู่แล้ว จะเพิ่มอีกสักกระทง ก็คงไม่เป็นไร

 

 

อีกอย่าง วันนี้หูซาจะมีชีวิตรอดออกไปจากหุบเขาลั่วสยาหรือไม่ ยังไม่รู้เลย!