บทที่ 508: สวรรค์ลำเอียง

Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน

หลังจากที่เยี่ยนเยี่ยนได้รับการยอมรับเป็นศิษย์เข้าสู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแล้ว เธอก็ไม่ได้จากไปไหนและยังคงยืนอยู่ข้างกายซูหยาง

 

แน่นอนว่าเขาไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้และยอมปล่อยเธอให้ยืนอยู่อย่างเงียบๆอยู่ตรงนั้น

 

อย่างไรก็ตามโหลวหลานจีซึ่งก็อยู่ตรงนั้นเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปยังเยี่ยนเยี่ยนบ่อยๆด้วยหางตา เห็นได้ชัดว่าสนใจตัวตนของเธอเป็นอย่างมาก

 

เยี่ยนเยี่ยนสังเกตเห็นการจ้องมองมาของโหลวหลานจี จึงหันไปดูอีกฝ่ายและกล่าวว่า “มีอะไรรึ”

 

เมื่อเห็นสีหน้าไร้อารมณ์ของเยี่ยนเยี่ยน โหลวหลานจีก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอย่างกระสับกระส่ายแม้ว่าจะมีอายุแตกต่างกันก็ตาม

 

“ข้าเพียงแค่สงสัยว่าทำไมเจ้าจึงตัดสินใจที่จะเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเมื่อมีที่อื่นๆที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับมากกว่าพวกเรา”

 

“…”

 

เยี่ยนเยี่ยนยังคงนิ่งเฉยชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “พลังงานในโลกบอกข้าให้มาที่นี่”

 

“หือ พลังงานรึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยท่าทางสับสน

 

เยี่ยนเยี่ยนพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “หลังจากที่พ่อแม่ข้าสิ้น เสียงรอบตัวของข้าก็นำมายังที่แห่งนี้”

 

ได้ยินคำพูดไร้สาระเช่นนั้น โหลวหลานจีก็มองไปยังเยี่ยนเยี่ยนราวกับว่าอีกฝ่ายนั้นบ้า

 

อย่างไรก็ตามซูหยางหัวเราะเบาๆหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ เขากล่าวว่า “พลังงานของเธอนั้นหมายถึงปราณไร้ลักษณ์”

 

“ด-เดี๋ยวก่อน… เจ้ากำลังหมายความว่าปราณไร้ลักษณ์สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ และเธอมีความสามารถที่จะเข้าใจมัน” โหลวหลานจีตอนนี้มองดูซูหยางราวกับว่าเขาเป็นบ้า

 

“มิจำเป็นต้องหาความหมาย ในเมื่อนั่นเป็นความจริงอย่างหนึ่ง แม้ว่าจะมีน้อย น้อยมากๆ ประมาณหนึ่งในล้านล้าน แต่ก็ยังมีคนที่เป็นที่ชื่นชอบของปราณไร้ลักษณ์ในโลกนี้ตั้งแต่เกิด ยอมให้พวกเขาสามารถสื่อสารกับปราณไร้ลักษณ์ได้ พวกเรามีศัพท์สำหรับคนประเภทนี้ว่า สวรรค์สำเอียง”

 

“ไม่น่าเชื่อ… อย่างนี้ก็เป็นไปได้ด้วย อะไรคือการที่สามารถสื่อสารกับปราณไร้ลักษณ์ ต้นตอของทุกพลังในโลกนี้ได้”

 

ซูหยางยักไหล่ให้กับคำพูดของเธอและกล่าวว่า “ข้ามิรู้ ในเมื่อข้ามิได้เกิดมาด้วยความสามารถเช่นนั้น แม้ว่าข้าจะรู้จักคนที่มีความสามารถแบบเดียวกันนี้ และเธอก็อธิบายว่ามันเป็นอะไรที่คล้ายกันการพูดคุยกับวิญญาณ”

 

“พูดกับวิญญาณ… พวกผีนะรึ”

 

“ข้าเดาว่าคงประมาณนั้นแหละ”

 

โหลวหลานจีมองดูเยี่ยนเยี่ยนด้วยหน้าตาสงสาร ถ้าเธอต้องพูดกับผีมาตลอดชีวิต นั่นยอมอธิบายได้ว่าทำไมเธอจึงดูปราศจากอารมณ์ ไม่ว่าอย่างไรใครก็ตามย่อมต้องเป็นบ้าถ้าพวกเขาได้ยินเสียงที่ซึ่งไม่มีใครเคยได้ยิน

 

“อย่างไรก็ตามความสามารถของเธอมิได้จำกัดอยู่แต่เพียงพูดกับปราณไร้ลักษณ์ เพราะว่าเธอเป็นที่รักของพวกมัน ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักสำหรับการฝึกวิชา พลังการฝึกปรือของเธอก็จะยิ่งได้ประโยชน์เป็นอย่างมากเช่นกัน มิเพียงแต่เธอจะดูดซับพวกมันได้รวดเร็วกว่าคนอื่น แต่เธอก็ยังสามารถเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นความแข็งแกร่งของตัวเธอเองได้อย่างง่ายดายกว่าคนทั่วไปอีกด้วย ถ้าเจ้าเปรียบเทียบเธอกับผู้ฝึกยุทธโดยทั่วไป อย่างน้อยเธอก็จะมีความรวดเร็วกว่าสิบกว่าเท่าเมื่อเป็นการฝึกยุทธ ซึ่งอธิบายได้ถึงพลังการฝึกปรือที่ผิดปกติของเธอขณะที่เธออายุยังน้อย”

 

เยี่ยนเยี่ยนมองดูซูหยางด้วยตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่พบกับคนที่ไม่เพียงเชื่อ “คำไร้สาระ” ของเธอ แต่ก็ยังเข้าใจชีวิตของเธอได้อย่างลึกซึ้ง ราวกับว่าเธอมีชะตาที่จะต้องอยู่ร่วมกับเขา

 

“ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าทำไมเสียงจึงนำข้ามายังที่แห่งนี้…” เยี่ยนเยี่ยนพึมพัมด้วยเสียงสั่นเครือ

 

“พ่อแม่ข้ามิเคยเชื่อข้า และพวกเขาก็ยังคิดว่ามีอะไรผิดปกติกับข้า เหมือนกับว่าข้าถูกอะไรสักอย่างเข้าสิง”

 

“อย่างไรก็ตาม จริงแล้วข้ามิได้กล่าวโทษพวกเขาที่มิเข้าใจในเมื่อโลกนี้ยังขาดการศึกษาโดยรวมอย่างมาก…” ซูหยางส่ายหน้า

 

“ซูหยาง… เจ้าคิดว่าเธอจะเติบโตด้วยพรสวรรค์เฉพาะนี้ได้เร็วแค่ไหน” โหลวหลานจีพลันถามเขา

 

“เออ… ถ้าข้าสอนเธอเป็นการส่วนตัว เธอควรจะก้าวเข้าถึงระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณภายในเวลาสองปี”

 

“ระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณในเวลาสองปีรึ เธอเพิ่งจะอายุ 14 ปีเองในตอนนั้น นั่นหมายความว่าเธอนั้นยิ่งมีพรสวรรค์มากกว่าเจ้าสิ ซูหยาง” เธอมองดูเยี่ยนเยี่ยนด้วยอาการปากอ้าตาค้าง

 

“หือ” ซูหยางมองดูเธอด้วยสีหน้าแปลกประหลาด เขากล่าวว่า “เจ้ารู้ไหม… ข้าเริ่มฝึกวิชาอย่างจริงจังเพียงเมื่อปีที่แล้วเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง ข้าใช้เวลาหนึ่งปีในการมาถึงระดับปัจจุบันของข้าจากเขตปฐมวิญญาณ”

 

“โอ อะไรกันนี่ เจ้ากำลังเปรียบเทียบตัวเจ้ากับเธอจริงๆรึ หรือว่านี่เป็นความอิจฉา” โหลวหลานจีพูดด้วยเสียงหยอกล้อ

 

ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “นั่นไม่เสมอภาคในการเปรียบเทียบพวกเราตั้งแต่แรก พูดตามตรงข้าต้องกล่าวว่าข้านั้นอิจฉาเธออยู่บ้างเล็กน้อยจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรใครก็ตามที่เป็นที่รักของปราณไร้ลักษณ์ของโลกย่อมรับประกันได้ว่าจะมีชีวิตในการฝึกยุทธที่ประสบความสำเร็จ และพวกเขาล้วนกลายเป็นจอมยุทธที่ยืนอยู่จุดสุดยอดของโลกนี้ในอนาคตภายหน้าอย่างไม่มีผิดพลาด”

 

“อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เธอได้รับพรให้เกิดมามีพรสวรรค์เช่นนั้น มันก็เป็นเคราะห์ที่ร้ายสุดสุดในเวลาเดียวกันนั้นเช่นกัน…” ซูหยางมองดูเยี่ยนเยี่ยนในขณะที่ถอนหายใจ

 

“หือ นั่นหมายความว่าอย่างไร ทำไมนั่นจึงสามารถกลายเป็นเคราะห์ไปได้ หรือเจ้ากำลังจะกล่าวบางอย่างที่มีความหมายทำนอง “เพื่อแลกกับมีพรสวรรค์ที่ท้าทายสวรรค์เช่นนั้น เธอจักมีชีวิตที่สั้นลง” งั้นรึ”

 

เขาส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “เธอมิสิ้นชีวิตแต่เนิ่นๆหรอก แต่โชคร้ายนั้นแท้จริงก็คือเธอเกิดขึ้นมาในโลกนี้ ที่ซึ่งคุณภาพปราณไร้ลักษณ์โดยรวมนั้นต่ำอย่างน่าใจหาย”

 

“ถึงแม้ว่าเธอจะมีพรสวรรค์ที่ท้าทายสวรรค์ เธอก็จักจำกัดอยู่กับปราณไร้ลักษณ์ของโลกนี้ และหยุดเติบโตหลังจากที่เธอเข้าถึงเขตราชันย์วิญญาณ ไม่ว่าเธอจะฝึกปรือไปมากมายเพียงใด”

 

“ข้าสามารถพาเธอไปยังบ้านเกิดของข้า สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ได้ แต่นั่นไม่ได้รับประกันว่าเธอจักมีพรสวรรค์เช่นเดียวกันที่นั่น ในเมื่อเธอเป็นเพียงที่รักของปราณไร้ลักษณ์ในโลกนี้และไม่ใช่ที่โลกแห่งนั้น และก่อนที่เจ้าจะถาม ใช่ ปราณไร้ลักษณ์ก็คล้ายกับมนุษย์และสัตว์ซึ่งมีความเป็นเฉพาะตัวในรูปแบบของตัวมันเอง ทุกโลกจะมีปราณไร้ลักษณ์เฉพาะตัวของตัวมันเอง ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะเป็นที่รักของปราณไร้ลักษณ์ที่นี่ นั่นก็มิจำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นที่นั่นด้วย ซึ่งเธออาจจะตกต่ำกลายเป็นเด็กหญิงธรรมดาทั่วไป”

 

“กลับกันถ้าเธอเกิดที่นั่น เธอจะสามารถกลายเป็นยอดยุทธที่น่าหวาดหวั่นอย่างไม่น่าเชื่อที่ยืนอยู่ในจุดสุดยอดของโลกนั้น แต่อนิจจา เธอเกิดในกองขยะแห่งนี้ ทำให้พรสวรรค์ของเธอเสียเปล่า” ซูหยางถอนหายใจขณะที่เขามองดูเด็กหญิงสะสวยที่อยู่ข้างกายเขา รู้สึกเหมือนกับว่าสวรรค์กำลังล้อเล่นกับเธอ