ราชันเร้นลับ 522 : อาณานิคม

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 522 : อาณานิคม โดย Ink Stone_Fantasy

เนื้อของปลาเหล็กในยังไม่ยอดเยี่ยมเท่าเนื้อเมอร์ล็อก แต่ได้เครื่องเทศนานาชนิดช่วยเกลี่ยรสชาติจนกลมกล่อม สัมผัสแต่ละชั้นของอาหารก็ยังอ่อนละมุนจนไคลน์ไม่หยุดกินแค่คำเดียว

ในความเป็นจริง หากผู้วิเศษท้องถิ่นในละแวกนี้ต้องการถอนตัว พวกมันสามารถเดินทางไปยังเบ็คลันด์และเปิดร้านขายปลาย่างสไตล์หมู่เกาะรอสต์ได้ ชาวโลเอ็นมักเปิดใจรับวัฒนธรรมอาหารใหม่ๆ อยู่เสมอ แต่ปัญหาสำคัญก็คือ ราคาของเครื่องเทศจะสูงกว่าปรกติมาก ไม่มีทางหาง่ายเหมือนกับขณะอยู่บนเกาะ และเหนือสิ่งอื่นใด ทำเลร้านต้องดีและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายง่าย…

ไคลน์วางตะเกียบหยาบลง เช็ดปากด้วยผ้าขาวและขบคิดเรื่อยเปื่อย

ในมุมมองชายหนุ่ม ชาวบ้านทั่วไปยากจะร่ำรวยจนกลายเป็นเศรษฐีได้ เนื่องจากยังขาดวิสัยทัศน์ในการมองหาโอกาสและคว้าเอาไว้ แต่เรื่องของวิสัยทัศน์ก็ไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิดเช่นกัน ต้องผ่านประสบการณ์และมีการศึกษาขึ้นพื้นฐาน ส่งผลให้คนจนยากจะหลุดพ้นจากบ่วงแห่งความจนไปได้ หนทางเอาชนะความจนจึงมีอยู่สองวิธี หนึ่ง ขวนขวายและเพิ่มระดับการศึกษาของตัวเอง วิธีนี้ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพสูง สอง ออกเสี่ยงโชคในฐานะนักผจญภัย ตระเวนไปรอบโลกเพื่อเผชิญเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ แต่วิธีนี้เสี่ยงสมชื่อ และหลายคนก็เสียชีวิตอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครรับรู้ชะตากรรม

สำหรับมือนี้ ไคลน์จ่ายเงินไปทั้งสิ้นสองซูลห้าเพนนี จริงอยู่ ราคาอาจไม่ถูก แต่ถ้าเป็นอาหารคุณภาพสูง ชายหนุ่มยินดีจ่ายอย่างสมน้ำสมเนื้อ และเหนือสิ่งอื่นใด ค่าอาหารในช่วงหลังของไคลน์ถูกอุปถัมภ์โดยเดนิส·เพลิงพิโรธอยู่แล้ว เงินออมของมันจึงยังเหลือเฟือ

ไคลน์ยืนจัดระเบียบปกเสื้อ สวมหมวกทรงสูง และหยิบไม้ค้ำเดินออกจากภัตตาคารเฒ่าจอห์น จนกระทั่งเห็นตำรวจนายหนึ่งกำลังขับไล่กลุ่มคนจรจัดออกจากถนนหน้าร้าน

คนพื้นเมืองของหมู่เกาะรอสต์จะมีผิวคล้ำกว่าชาวทวีปใต้เล็กน้อย เป็นระดับสีผิวคล้ายกับการอาบแดดนานเกินไป เส้นผมสีดำด้าน หยักศกเล็กน้อยจนแทบไม่สังเกตเห็น แตกต่างจากชาวอาณานิคมโลเอ็นพอสมควร

เกาะแห่งนี้ถูกยึดครองอย่างสมบูรณ์เมื่อไม่ถึงห้าสิบปีก่อน โดยในช่วงต้น ชาวโลเอ็นกลุ่มแรกผุดแนวคิดการก่อตั้งบริษัทร่วมกับหัวหน้าชนเผ่าดั้งเดิม ใช้ชื่อบริษัทว่า ‘โซเนียภาคกลาง’ ประกอบธุรกิจขุดทรัพยากรบนเกาะส่งให้กับแผ่นดินใหญ่

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งเป็นของคู่กับธุรกิจเสมอ เมื่อผลประโยชน์ไม่ลงรอย จึงเกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุนแรงขึ้น ต่างฝ่ายต่างนำความผิดพลาดของกันและกันมาฟ้องร้องกับราชวงศ์โลเอ็นผู้เป็นเจ้าของอาณานิคม โดยพยายามสาวไส้องค์กรเบื้องหลังอีกฝ่ายจนลามปามไปถึงการประชุมสภา*

(ล้อเลียนจากเหตุการณ์จริงสมัยอังกฤษยึดครองอาณานิคมประเทศอินเดียและก่อตั้งบริษัท British ·ast India ขึ้น)

แน่นอน คนพื้นเมืองในสมัยนั้นคงมิอาจจินตนาการได้ว่า ชายร่างกำยำใหญ่ซึ่งแผ่จิตสังหารท่วมท้นจนหัวหน้าเผ่าของพวกตนต้องยอมศิโรราบและจุมพิตหลังเท้า รวมถึงยังต้องส่งเกวียนบรรณาการอีกหลายเล่ม แท้จริงแล้วจะไม่ใช่บุคคลอันใดสำคัญของเมืองหลวงโลเอ็น ไม่ได้ใกล้เคียงเลยสักนิด

จริงอยู่ พวกมันอาจเป็นขุนนาง แต่ก็เป็นแค่ขุนนางปลายแถว ใกล้สูญสิ้นบรรดาศักดิ์ประเภทสืบทอดเข้าไปทุกที

เมื่อเกิดข้อพิพาทดังกล่าวขึ้น กษัตริย์แห่งโลเอ็นและนายกรัฐมนตรีได้ลงนามร่วมกัน ให้ส่งกองทัพเรือยึดครองหมู่เกาะรอสต์ด้วยมาตรการเด็ดขาด จากนั้นก็เริ่มปกครองด้วยกฎหมายอาณานิคมเต็มรูปแบบ

ในปัจจุบัน กฎหมายของหมู่เกาะรอสต์จะถูกกำหนดผ่านสภาเมือง โดยมีอดีตหัวหน้าเผ่าและคนท้องถิ่น คอยทำงานเป็นพนักงานระดับกลางภายในสภาเมืองดังกล่าว สำหรับลำดับต่ำกว่านั้นลงมา พวกมันจะเปิดโอกาสให้ชาวพื้นเมืองสติปัญญาดีหลายคนสอบเข้าทำงาน รวมไปถึงตำแหน่งพนักงานตำรวจตรวจตรารอบเมืองด้วย

เบื้องหน้าไคลน์คือตำรวจคนท้องถิ่น ในมือถือไม้กระบองสำหรับขับไล่คนจรจัด

เมื่อเห็นว่าไคลน์มาในชุดโค้ทยาวกระดุมสองแถว หมวกทรงกึ่งสูง และการใช้สีดำบนเสื้อผ้าอันหาได้ยากจากวัฒนธรรมเกาะรอสต์ ตำรวจคนดังกล่าวรีบตบเท้าทำความเคารพโดยไม่รีรอ

“ทิวาสวัสดิ์ครับ! มีอะไรให้ผมรับใช้ไหม?”

ไคลน์ครุ่นคิดพลางพยักหน้า

“แถวนี้ไม่มีรถม้าหรือ”

“สภาเมืองลงความเห็นว่า ไม่อนุญาตให้นำรถม้าขึ้นมาวิ่งบนถนนครับ! หากต้องการขึ้นรถม้าในบริเวณใกล้เคียง ต้องเดินไปให้ถึงถนนอีกเส้นครับ!” ตำรวจอธิบายเสียงฉะฉานเจือความหวาดกลัว

“ขอบใจ” ไคลน์พยักหน้ารับ ตามด้วยการกล่าวชม “นายพูดโลเอ็นได้ไม่เลว”

ตำรวจคนเดิมทำสีหน้าแปลกใจ

“ผ…ผมคิดว่านั่นคือทักษะพื้นฐานในการเป็นตำรวจครับ!”

ในฐานะเมืองขึ้นของโลเอ็น เขาคงคิดว่าตัวเองเป็นชาวโลเอ็นคนหนึ่ง แต่การพูดแบบนั้นอาจทำให้ชาวโลเอ็นตัวจริงโกรธได้…

ไคลน์ถอนหายใจ พลางเดินตรงไปยังถนนสำหรับขึ้นรถม้าสาธารณะ

ระหว่างทาง มันเห็นร้านขายเสื้อผ้าสไตล์ท้องถิ่น ลักษณะแตกต่างจากร้านทั่วไปบนแผ่นดินใหญ่ค่อนข้างมาก และยังไม่เหมือนกับร้านเสื้อผ้าของท่าเรือดาเมียร์กับท่าเรือแบนชีด้วย

เมื่อได้เห็นมาดสุภาพบุรุษภูมิฐานของชาวโลเอ็นซึ่งมักสวมเสื้อโค้ท หมวกทรงสูง และนำไม้ค้ำโบราณน่าเกรงขาม ชาวพื้นเมืองจะไม่กล้าตบตานานนัก

ในทางกลับกัน พวกมันนิยมสวมกางเกงหลวมขาบาน สีสันฉูดฉาด เพราะสีดำมิได้แสดงถึงความสง่าผ่าเผยเหมือนกับโลเอ็น จึงชื่นชอบการใส่สีน้ำตาลหรือเทาอ่อน ส่งผลให้ไคลน์รู้สึกราวกับตนเดินทางมายังต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม ชนพื้นเมืองบางกลุ่มยังคงชอบเลียนแบบการแต่งกายชาวโลเอ็น เนื่องจากเชื่อกันว่า นั่นคือพฤติกรรมและมารยาทของผู้ดี

บ่ายสองโมงตรง ณ ผับปลากระโทงอันเป็นแหล่งชุมนุมของนักผจญภัย

ตอนนี้ยังมีนักดื่มนั่งอยู่ไม่มาก ไคลน์เดินผ่านเข้าไปถึงเคาน์เตอร์ได้ไม่ยากเย็น

ชายหนุ่มเริ่มพบจุดแตกต่างระหว่างผับแห่งนี้กับผับอื่น นั่นคือด้านข้างผับจะมีกระดานดำสามแผ่นใหญ่ตั้งอยู่บนกรอบไม้ บนกระดานดำมีแผ่นกระดาษสีขาว หรือสีเหลือง จำนวนมากกำลังปิดทับจนเกือบทั่วทุกซอกมุม รายละเอียดมีทั้งงานจ้างบอดี้การ์ดทั่วไป ตามหาคนหาย ตั้งค่าหัวโจรสลัดเฉพาะเจาะจง โดยบางรายแจ้งว่าตนมีลายแทงของขุมทรัพย์ แต่ต้องการพวกพ้องไปช่วยกันขนออกมา

สรุปโดยสั้น งานของนักสืบเอกชนและบริษัทรักษาความปลอดภัย ถูกนำมารวมกันภายในผับแห่งนี้

“ซาร์ฮาร์หนึ่งแก้ว” ไคลน์เคาะเคาน์เตอร์

นี่คือเบียร์มอลต์ท้องถิ่นชนิดหนึ่ง มีราคาไม่แพง รสชาติค่อนข้างดีและถูกปากนักผจญภัย โดยมันทราบเรื่องนี้มาจากเดนิส·เพลิงพิโรธ

“สามเพนนี” บาร์เทนเดอร์จ้องอย่างไร้อารมณ์ เป็นเพราะอีกฝ่ายไม่ใช้ขาประจำของร้าน มันจึงไม่กล้าทักทายส่งเดช

หลังจากได้รับเบียร์ ชายหนุ่มนั่งจิบบนเก้าอี้สูงตรงเคาน์เตอร์ พลางบรรจงละเมียดทีละนิดและแอบฟังบทสนทนาของนักผจญภัยขี้เมารอบตัวอย่างละเอียด มองหาข้อมูลมีประโยชน์สำหรับตน

จนกระทั่งผ่านไปเกือบชั่วโมง ลูกค้าเริ่มทยอยเข้ามาจนแน่นร้าน และไคลน์ได้ยินบางสิ่งน่าสนใจเข้าพอดี

ชายหนุ่มพลันตาสว่าง สมาธิจดจ่ออยู่กับเรื่องราวของอีกฝ่าย

พวกมันเป็นกลุ่มนักผจญภัยสี่คน นั่งห่างจากเก้าอี้ไคลน์ไม่เกินสามเมตร โดยกำลังกล่าวถึงชายชื่อ ‘วินเทอร์’

“ฉันเข้าใจมาตลอดว่าวินเทอร์ออกทะเลไปเรียบร้อยแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า หมอนั่นเอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องด้วยสภาพป่วยหนัก”

“ช่างน่าเศร้า ถ้าฉันตัดสินใจเคาะประตูเมื่อสองวันก่อน เขาก็คงไม่ตาย… นายคงจินตนาการไม่ออกแน่ว่าห้องดังกล่าวมีสภาพน่าสะอิดสะเอียนมากแค่ไหน ดอกเห็ดสีขาวผุดขึ้นจนเต็มร่างกายของเขา!”

“แม่เย็*! หุบปาก! ไม่เห็นหรือไงว่าฉันกำลังกินไส้กรอกอยู่!”

“ตกลง… แล้วก็ ภายในห้องยังเต็มไปด้วยแมลงเม่า แมลงวัน ผีเสื้อ ผึ้ง และแมลงสาบวิ่งกรูกันออกมาประหนึ่งพายุ ฉันไม่อยากจะเชื่อว่ามนุษย์เคยอาศัยอยู่ในนั้น แม้แต่ตำรวจก็ยังเข็ดขยาด!”

เมื่อได้ยินเรื่องราว ไคลน์เริ่มขมวดคิ้วเนื่องจากมันพบความผิดปรกติในลักษณะการตายของวินเทอร์

ผ่านมาแค่ไม่กี่วัน ร่างกายไม่น่าจะเต็มไปด้วยดอกเห็ดและมีแมลงนานาชนิดวิ่งพล่านไปทั่วห้องได้เลย

สาเหตุการตายมาจากปัจจัยเหนือธรรมชาติ? ด้วยความผิดปรกติระดับนี้ ตำรวจต้องรายงานไปยังทูตพิพากษาแล้ว และพวกมันคงเก็บกวาดศพวินเทอร์จนเรียบร้อย เวลาสามสี่วันนับว่ามากเกินพอ…

ไคลน์ลังเลอยู่นาน ว่าตนควรไปตรวจสอบด้วยตัวเองเหรือไม่ เพราะอย่างน้อย ผองเพื่อนนักผจญภัยก็ไม่มีใครกล้าแจ้งครอบครัว โอกาสสวมรอยปลอมตัวจึงเปิดกว้าง

นั่งฟังต่ออีกสักพัก จนกระทั่งได้ทราบว่าวินเทอร์เสียชีวิตภายในอาคารหมายเลข 47 บนถนนเขาดำ

หลังจากดื่มเบียร์ซาร์ฮาร์หมดแก้ว ไคลน์สวมหมวก เดินออกจากผับ และมุ่งหน้าไปยังอาคารหลังเป้าหมายทันที

ขณะย่างกรายเข้าไป ไคลน์กระซิบกับตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบา

“ห้องใดเพิ่งมีคนตาย”

พอครบเจ็ดครั้ง มันอาศัยเทคนิคนักทำนายช่วยนำทางตัวเองไปยังอดีตห้องของวินเทอร์ได้ไม่ยากเย็น

ยังไม่มีใครมาเช่าต่อ แต่เศษเสี้ยวความผิดปรกติถูกจัดการไปเกือบหมดแล้ว

ไคลน์วางแผ่นกระดาษสำหรับใช้ปลดกลอนลง จากนั้นจึงปิดประตูตามหลัง

เมื่อยืนยันสถานการณ์ มันรีบหยิบอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมออกมาวางเรียงราย ไม่ว่าจะเป็นสารสกัดหรือผงสมุนไพร

แม้จะผ่านมานานหลายวัน แต่ก็ข้อมูลอย่างเลือนรางน่าจะยังคงอยู่

ไคลน์มองว่า สิ่งนี้ดีกว่าการคว้าน้ำเหลว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายหนุ่มเตรียมประกอบพิธีกรรมอัญเชิญตัวเอง และเดินถอยหลังทวนเข็มสี่ก้าว เพื่อเข้าไปตอบสนองพิธีกรรมด้วยพลังวิญญาณตัวเอง

ทันใดนั้น เปลวไฟของเทียนกลายเป็นสีฟ้าครามและลุกโชติช่วง ฉาบทุกสิ่งรอบตัวโดยไม่มีข้อกำหนด

ไคลน์ตระหนักว่าบรรยากาศตัวเงียบงันราวกับตนกำลังอยู่ในอาณาจักรมายา

ดวงตากลายเป็นสีดำสนิท ไม่หลงเหลือไว้แม้แต่ตาขาว

หลังจากกลายเป็นผู้ไร้น้า มันสามารถดึงพลังของห้วงมิติสายหมอกเทาขึ้นมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จึงไม่ต้องอาศัยเทคนิค ‘ทำนายฝัน’ เข้าประกอบการสอบสวน

ภาพแรกในการมองเห็นคือเศษเสี้ยวดวงวิญญาณอันเลือนรางของวินเทอร์ คล้ายกับจิตอันเข้มแข็งคอยห้ามมิให้ตัวมันหายไปโดยง่าย

เหตุการณ์ในฝันมีทั้งหมดสามฉาก ฉากแรกเป็นตัววินเทอร์เอง ผู้มีรูปร่างผอมบางและสูงเพรียว ผมสีดำหยักศกเล็กน้อย กำลังโน้มตัวลงไปหาซากศพปริศนาซึ่งถูกทิ้งร้าง โดยบนตัวศพมีอัญมณีสีฟ้าครามแวววาวและเปี่ยมด้วยชีวิตชีวาวางอยู่

ภาพถัดมา วินเทอร์กำลังนอนซมบนเตียงในสภาพดวงตาปิดสนิท เห็ดสีขาวผุดขึ้นตามร่างกาย รอบห้องเต็มไปด้วยแมลงนานาชนิดวิ่งไต่ยั้วเยี้ย กึ่งกลางหน้าอกวินเทอร์มีสร้อยคอสีเงิน อัญมณีกึ่งกลางมีสีฟ้าครามเหมือนกับในฉากแรก

ฉากสุดท้าย หญิงสาวคนหนึ่ง เจ้าของดวงตาอันงดงามและเส้นผมสีขาวลินิน กำลังนั่งริมทะเลโดยมีเสียงวินเทอร์ดังมาจากด้านหลังอย่างกระอักกระอ่วน

“เรนนี่! ฉันคงอยู่ได้อีกไม่นาน ฉันเสียใจ เสียใจกับการไม่เคยบอกรักเธอ ไม่เคยขอเธอแต่งงานเลยสักครั้ง…”

เมื่อฉากความฝันแตกสลาย ไคลน์มองไปรอบตัวและพบกับห้องบรรยากาศมืดสลัวตามปรกติ

หมอนี่ช่างโชคร้าย…

ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางถอนหายใจ

มันเข้าใจทันที วินเทอร์ตายเพราะฝ่าฝืนหนึ่งในข้อห้ามสำคัญของโลกผู้วิเศษ

ห้ามจับสิ่งของส่งเดช!

ผู้วิเศษส่วนมากไม่รู้ว่ามีกฎอนุรักษ์พลังพิเศษในเส้นทางใกล้เคียงและความถาวรของพลังพิเศษคอยควบคุมโลกอยู่ ส่งผลให้ไม่ทราบว่า หลังจากเสียชีวิต ตะกอนพลังจะควบแน่นจนกลายเป็นผลึก สามารถนำไปปรุงโอสถดื่มได้ อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ค่อนข้างใช้เวลานานหากไม่ถูกเร่ง ส่งผลให้ผู้ลงมือฆ่าไม่ทราบว่าจะมีตะกอนพลังเกิดขึ้น และคนผ่านมาเห็นก็ไม่ทราบว่านี่คือตะกอนพลัง

วินเทอร์ไม่รู้จักตะกอนพลัง และเข้าใจว่าสิ่งนี้เป็นเพียงอัญมณีเวทมนตร์ จึงนำไปสร้างเป็นสร้อยคอธรรมดา การเก็บไว้กับตัวเป็นเวลานานส่งผลให้พิษจากตะกอนพลังกัดกร่อนร่างกายทีละนิด จนกระทั่งเกินเยียวยาและต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน

……………………