ตอนที่ 660 เพราอะไรถึงต้องช่วยชีวิตมั่วชิง / ตอนที่ 661 พบหน้าหลังไกลห่าง

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 660 เพราอะไรถึงต้องช่วยชีวิตมั่วชิง

 

 

เจียงสือเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะของหลิวอวี้จื้อ น้ำเสียงของนางบ่งบอกถึงความรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก คล้ายกับว่าตนเองได้กระทำในสิ่งที่ผิดต่อผู้เป็นน้องสาว ลงไป

 

 

“เจ้าคือญาติสนิทเพียงคนเดียวของข้างบนโลกใบนี้ เจ้าจะเกิดเรื่องมิได้”

 

 

“บัดนี้เซียวเหยี่ยนและเฉินมั่วฉื่อล้วนต่างก็ตามราวีข้าไม่เลิก พวกเราอยู่ภาคกลางมิได้อีกต่อไป ข้าคิดเอาไว้แล้ว เราไปอยู่ที่ซีอวี้กัน เมื่อไปถึงที่นั่นจะไม่มีใครทำอะไรเราได้”

 

 

“พี่ ซีอวี้นั้นแสนไกล อีกทั้งพวกเขากินนอนไม่เหมือนเราชาวภาคกลาง แล้วพวกเราจะคุ้นชินได้อย่างไรกัน”

 

 

“ชีวิตย่อมสำคัญกว่าความเคยชิน ข้าตัดสินใจแล้ว เซียวเหยี่ยนและเฉินมั่วฉื่อ พวกเขาสองคนจะต้องมีสักคนที่กำชัยชนะในท้ายที่สุด และไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะ เขาก็ไม่มีทางปล่อยพวกเราไป”

 

 

“เราสองคนไม่มีเวลามาสนใจอะไรมากมายอีกต่อไปแล้ว มิเช่นนั้นพวกเราอาจไม่มีแม้แต่ที่ซุกวันนอน แผ่นดินกว้างใหญ่ล้วนแต่เป็นของฮ่องเต้ วิธีการที่ดีที่สุดนั่นก็คือไปจากภาคกลาง อวี้เอ๋อร์ เจ้าวางใจเถอะ ไปถึงที่นั่น ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี ข้าจะมิให้เจ้าต้องได้รับความอนาทรร้อนใจใดๆ แม้แต่น้อย”

 

 

หลิงอวี้จื้อฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าเจียงสือได้ตัดสินใจเรื่องนี้ไปแล้ว และนางก็รู้ดีว่าพูดอะไรไปคงไร้ประโยชน์ ได้แต่คอยให้สบโอกาสหลบหนีไปเท่านั้น เพราะนางจะไม่มีทางติดตามเจียงสือไปอยู่ที่ซีอวี้เป็นแน่

 

 

“ค่ะ ข้าฟังพี่ทุกอย่าง”

 

 

หลิงอวี้จื้อเอ่ยปากตอบตกลงประโยคหนึ่ง

 

 

“ฟ้าจะมืดแล้ว ข้างหน้ามีโรงเตี๊ยม อยู่ห่างออกไปไม่ไกล วันนี้พวกเราก็พักที่นั่นก็แล้วกัน”

 

 

เจียงสือกล่าวจบก็ยังไม่ลืมที่จะเอ่ยถามขึ้นอีกว่า

 

 

“อวี้เอ๋อร์ เพราอะไรเจ้าถึงต้องช่วยชีวิตมั่วชิงด้วย?”

 

 

และเพื่อที่จะไม่ให้เจียงสือเกิดความสงสัย หลิงอวี้จื้อจึงได้แต่แสร้งอธิบายออกไปด้วยท่าทีจริงจังขึงขังเสียเต็มประดา

 

 

“พี่ วันนี้ในรถม้า มั่วชิงบอกเล่าเรื่องราวมากมายที่ผ่านมาให้ข้าได้ฟัง ข้ารู้สึกสงสารนางยิ่งนัก”

 

 

“นางไปจากสำนักอู๋จี๋ตั้งนานแล้ว โทษที่สมควรได้รับนางก็ได้รับไปจนหมดแล้ว พี่ ท่านปล่อยนางไปเถอะนะ หากเป็นข้าที่ต้องเผชิญเรื่องราวเหล่านั้นละก็ ข้าคงเป็นบ้าไปแล้วเป็นแน่ ใจเขาใจเรา ข้าหวังว่าพี่จะเมตตา ถือเสียว่าชีวิตของนางยังมิควรจบสิ้นก็แล้วกันนะคะ”

 

 

“นี่มั่วชิงเล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟัง?”

 

 

“นางเล่าให้ข้าฟังตั้งมากมาย ครอบครัวของนางตายไปหมดแล้ว นางได้จ่ายค่าตอบแทนอย่างโหดร้ายทารุณให้กับกระทำของตนไปแล้ว ได้รับบทเรียนมาก็มากเพียงพอ ต่อไปเราสองคนพี่น้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ข้าหวังว่าพี่จะไม่ฆ่าคนอีก พวกเราใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเถอะนะคะ”

 

 

นี่คือความปรารถนาของเจียงอวี้ก่อนหน้านี้จริงๆ เจียงอวี้ไม่ชอบชีวิตที่มีแต่การฆ่าฟัน ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่นางเคยเอ่ยถึงเรื่องที่จะให้เจียงสือสลายตัวสำนักอู๋จี๋เสีย เพียงแต่เจียงอวี้เองที่ไม่ยอมเลิกรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเซียวเหยียนที่กัดนางไม่ปล่อย

 

 

“เจ้าจิตใจดีเกินไป”

 

 

“ทำดีย่อมได้รับกรรมดีตอบแทน ไม่เช่นนั้นข้าคงจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วละค่ะ ถือเสียว่าสร้างกุศลให้กับข้าก็ได้ พี่ ปล่อยมั่วชิงไปเถอะนะคะ”

 

 

หลิวอวี้จื้อส่งยิ้มให้กับเจียงอวี้ หากว่าสามารถเกลี้ยกล่อมให้เจียงอวี้ฆ่าคนได้น้อยลงสักสองสามคน ก็นับว่าเป็นการสร้างกุศลอย่างหนึ่งเช่นกัน

 

 

“ได้”

 

 

ในที่สุดเจียงอวี้ก็รับปาก

 

 

นั่นทำให้หลิงอวี้จื้อดีอกดีใจไม่น้อย นางส่งยิ้มให้กับเจียงสื้อ

 

 

“ขอบคุณค่ะพี่”

 

 

“เด็กโง่”

 

 

แววตาของเจียงอวี้แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมา เจียงสือที่แสนอ่อนโยนเช่นนี้หลิงอวี้จื้อไม่คุ้นชินแม้แต่น้อย แต่จะอย่างไรก็ย่อมดีกว่าเจียงสือคนก่อนมากนัก

 

 

คนทั้งสองเดินทางต่อไปจนกระทั่งถึงโรงเตี๊ยมที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เจียงสือต้องการห้องเพียงห้องเดียว แน่นอนว่าหลิงอวี้จื้อย่อมไม่คุ้นชินกับการที่ต้องนอนร่วมเตียงกับเจียงสืออยู่แล้ว นางจึงเป็นฝ่ายเสนอตัวนอนฟูก ดังนั้นเจียงสือจึงสละเตียงให้กับนาง

 

 

ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างสงบสุข เช้าวันรุ่งขึ้นพวกนางทั้งสองก็รีบออกเดินทางทันที เจียงสือหารถม้ามาได้หลังหนึ่ง ในตอนนี้หลิงอวี้จื้อยังไม่สบโอกาสที่จะหลบหนี ดังนั้นจึงได้แต่ติดตามเจียงสือต่อไป

 

 

ขณะที่รถม้าแล่นผ่านเส้นทางตัดผ่านภูเขาลูกหนึ่งอยู่นั้น จู่ๆ ก็ถูกคนชุดดำลอบกรอบเอาไว้ ซึ่งก็ชัดเจนว่าคนชุดดำเหล่านั้นคือยอดฝีมือที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี พวกเขาปิดหน้าปิดตาและมีไอสังหารแผ่ซ่านออกมารอบกายตลอดเวลา

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 661 พบหน้าหลังไกลห่าง

 

 

เจียงสือพาหลิงอวี้จื้อลงจากม้า ก่อนจะกำชับอย่างใจเย็นว่า

 

 

“อวี้เอ๋อร์ อีกเดี๋ยวเมื่อสบโอกาสให้เจ้ารีบหนีไปก่อน วิ่งเข้าไปในป่า ข้าจะไปตามหาเจ้าเอง”

 

 

“อื้ม ข้ารู้แล้วค่ะ”

 

 

เจียงสือชักกระบี่คู่ใจออกจากฝัก นางในชุดสีดำนำพาซึ่งไอสังหารอันน่าสะพรึงกลัวติดตัวมาด้วย

 

 

วินาทีต่อมาคือการเข่นฆ่าที่โหดร้ายน่าสลดหดหู่ยิ่งนัก เจียงสือรับรู้ได้เพียงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งไปทั่ว เพลงกระบี่ของนางคล่องแคล่วรวดเร็ว และกระบี่คู่กายก็นับว่าเป็นกระบี่ล้ำค่า เมื่อกระบี่ตวัดลงไปจึงสามารถตัดแขนของอีกฝ่ายได้ในทันที เศษแขนขามนุษย์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าปลิดปลิวกระเด็นออกมาต่อหน้าต่อตาเจียงสือ นางสะกดกลั้นความรู้สึกสะอิดสะเอียนเอาไว้และพยายามไม่หันไปมอง

 

 

มือของเจียงสือจับมือของหลิงอวี้จื้อไว้ตลอดเวลาไม่ยอมปล่อย และเพราะมีหลิงอวี้จื้ออยู่ข้างกาย ทำให้เจียงสือเองก็ได้รับผลกระทบ นางบาดเจ็บ และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน คนชุดดำก็ถูกเจียงสือจัดการเด็ดหัวไปเกินครึ่ง ส่วนที่เหลือล้วนแต่บาดเจ็บ เมื่อเจียงสือฆ่าคนเปิดทางจนสำเร็จ นางจึงหันมาตะโกนบอกหลิงอวี้จื้อว่า

 

 

“อวี้เอ๋อร์ รีบหนีไป”

 

 

ทันใดนั้นหลิงอวี้จื้อก็พุ่งตัววิ่งไปตามทิศทางที่เจียงสือชี้บอกตนเองในทันที การเข่นฆ่าที่เชิงเขายังคงดำเนินต่อไป หลิงอวี้จื้อไม่กล้าหันกลับไปมอง เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งเข้าไปในป่าอย่างบ้าคลั่งจนสะดุดท่อนไม้ล้มคว่ำ มือน้อยกระแทกกับเศษหินบนพื้น จนเศษหินนั้นตำเข้าเนื้อ

 

 

หลิงอวี้จื้อข่มความเจ็บปวดดึงหินออกจากเนื้อ แน่นอนว่าเลือดสดๆ ไหลออกมาเป็นทางตามหลังแรงดึงทันที จากนั้นนางค่อยดึงเศษผ้าจากชายกระโปรงแล้วใช้มันพันแผลเพื่อห้ามเลือดเอาไว้

 

 

ทำทุกอย่างแล้วเสร็จ หลิงอวี้จื้อชันกายลุกขึ้นจากพื้น รีบวิ่งหนีต่อทันทีโดยไม่สนใจที่จะปัดเศษดินสิ่งสกปรกออกจากกายด้วยซ้ำไป นางต้องอาศัยโอกาสนี้รีบหลบหนีไปให้พ้น มิเช่นนั้นนางจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว ตอนนี้เจียงสือตามติดนางเป็นเงาตามตัว ไม่ยอมห่างจากนางแม้แต่วินาทีเดียว ด้วยเพราะเกรงว่านางจะเป็นอันตรายนั่นเอง

 

 

หลิงอวี้จื้อยังคงออกวิ่งต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีแรงแม้แต่จะขยับเขยื้อนนั่นแหละนางถึงได้นั่งพักลงที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง หลิงอวี้จื้อเอนกายพิงลำต้นของต้นไม้หอบหายใจแรง ขณะที่สายตาก็คอยมองไปรอบทิศทาง ดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้จะไร้ซึ่งพรมแดน สิ่งที่มองเห็นคือเส้นทางไกลโพ้นสุดลูกหูลูกตาไม่มีจุดสิ้นสุดและตลอดทางก็เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่แน่นขนัดไปหมด เห็นทีว่ามีเพียงนกเท่านั้นที่เคยบินผ่านไปกระมัง

 

 

แย่แล้ว นางไม่มีทั้งน้ำทั้งอาหารติดตัวมาเลย วิ่งหนีมาตั้งไกลหิวน้ำจะแย่อยู่แล้ว ตอนนี้ลำคอของนางแห้งผาก นางต้องรีบไปหาน้ำให้เร็วที่สุด

 

 

พักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่ง หลิงอวี้จื้อก็ชันกายลุกขึ้นมองไปรอบทิศทางสุดท้ายก็ได้ยินเสียงธารน้ำแว่วมา นางจึงรีบสาวเท้าเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นดั่งที่คาดเพราะธารน้ำได้ปรากฏอยู่ตรงหน้า

 

 

ธารน้ำเล็กๆ นั้นสะอาดใสจนมองเห็นก้นบึ้ง หลิงอวี้จื้อไม่สนใจความสะอาดอนามัยใดๆ อีกต่อไป นางพุ่งเข้าไปใช้มือวักน้ำขึ้นดื่มทันที

 

 

หลังจากดื่มน้ำจนพอใจแล้ว ค่อยใช้ชายแขนเสื้อซับหยดน้ำที่เกาะพราวที่ริมฝีปากออกไป ทันใดนั้นนางก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังแว่วมาจากที่ๆ ไม่ไกลออกไปมากนัก ทำให้นางตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าผู้ที่มาคือเจียงสือหรือคนชุดดำเหล่านั้นกันแน่ หากเป็นคนชุดดำละก็ นางคงต้องตายอย่างแน่นอน

 

 

หลิงอวี้จื้อเหลือบเห็นต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ จึงรีบวิ่งเข้าไปซ่อนตัวที่นั่นทันที

 

 

ตามติดมาด้วยเสียงชายหนุ่มดังกระทบใบหู

 

 

“นายท่าน ที่นี่มีน้ำ ผู้น้อยจะไปตักน้ำมา”

 

 

“หามั่วชิงเจอหรือยัง?”

 

 

เสียงนี้คือ…

 

 

เสียงของเซียวเหยี่ยน เสียงของเขา เป็นเขาจริงๆ

 

 

หลิงอวี้จื้อที่คิดได้ดังนั้นเปรมปรีดีใจอย่างที่สุด นางขยับเขยื้อนออกจากหลังต้นไม้ ตะโกนเสียงด้วยเสียงอันดัง

 

 

“อาเหยี่ยน”

 

 

เซียวเหยี่ยนได้ยินเสียงคนเรียกตนเองว่า ‘อาเหยี่ยน’ ก็รีบหันขวับมองมาทันที จึงชนเข้ากับศีรษะของหญิงสาวแปลกหน้าคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เพียงแต่หญิงสาวแปลกหน้าผู้นั้นเอาแต่ทอดมองมายังเขาด้วยสายตาปิติดีใจ และเพราะความดีใจอย่างมากนั้นทำให้นางถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก น้ำตารื้นขึ้นมาอีกด้วย

 

 

“อาเหยี่ยน ข้าเอง ข้าเองอย่างไรเล่า”

 

 

ในตอนนั้นเองหลิวอวี้จื้อจึงเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าในตอนนี้โฉมหน้าของตนเองเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้นจึงรีบปล่อยมือ แล้วระล่ำระลักด้วยความตื่นเต้น

 

 

“อวี้จื้อ…”

 

 

เซียวเหยี่ยนเอ่ยขึ้นอย่างไม่แน่ใจ