กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 930

เหวินเส่าอี๋ไม่เห็นตระกูลไป๋หลี่อยู่ในสายตา

แต่เขาเป็นห่วงดวงวิญญาณของกู้ชูหน่วนที่อยู่ในตระกูลไป๋หลี่

“อย่างมากข้าก็ทำได้เพียงรับปากว่าครั้งนี้จะปล่อยซือม่อเฟยไป แต่ครั้งต่อไปหากตกอยู่ในมือข้าอีก ข้าจะหลอมเขาเช่นเดียวกัน และนำเลือดที่เป็นหยินบริสุทธิ์ของเขาออกมาเพื่อเพิ่มพลัง”

“ไม่ได้”

“เจ้าไม่มีสิทธิ์มาต่อรอง ต่อให้ไม่มีเจ้า ข้าก็สามารถฆ่าจักรพรรดินี และนำจักรพรรดินีกับวิญญาณทั้งสองของตระกูลไป๋หลี่กลับคืนมา”

“วิญญาณมีทั้งหมดเจ็ดดวงไม่ใช่หรือ ถ้าไม่มีข้า เจ้าก็ไม่มีทางพบวิญญาณดวงสุดท้าย”

“เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าข้าจะหาวิญญาณดวงสุดท้ายไม่พบ”

“หากเจ้าหาเจอ นอกเสียจากวิญญาณทั้งสามดวงที่ติดอยู่ในร่างของข้าแล้ว วิญญาณดวงอื่น ๆ ก็คงจะหาไม่พบ”

“ปึก……”

เหวินเส่าอี๋โบกมือเบา ๆ จากนั้นจอมมารก็ถูกเหวินเส่าอี๋ดึงไปในทันที

มือของเขาบีบคอของจอมมารไว้แน่น หากเขาออกแรงเพียงเล็กน้อย จอมมารคงต้องตายอย่างแน่นอน

เขากล่าวเตือนว่า “การตามหาดวงวิญญาณเป็นแค่เรื่องของเวลา แต่เขามีเพียงแค่ชีวิตเดียว เจ้าจะไม่ไตร่ตรองดูหน่อยหรือ”

“เจ้ามันอำมหิต”

“สิบวัน ข้าให้เวลาเจ้าแค่สิบวัน หากเจ้าไม่สามารถฆ่าจักรพรรดินีได้ภายในสิบวัน และนำวิญญาณทั้งสองดวงนั้นกลับคืนมา เจ้าก็รอเก็บศพของซือม่อเฟยได้เลย”

“แค่สิบวันจะไปพอได้อย่างไร แค่นำวิญญาณทั้งสองดวงมาจากตระกูลไป๋หลี่ก็ไม่พอแล้ว”

“ตระกูลไป๋หลี่ถูกฆ่าล้างตระกูลหรือไม่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า?ข้าเพียงต้องการวิญญาณดวงนั้นของตระกูลไป๋หลี่”

“สามเดือน”

“สิบวัน”

เหวินเส่าอี๋ไม่ยอมให้ต่อรอง

ไม่ใช่ว่าเขาไม่ให้เวลานาง แต่จักรพรรดินีเอาแต่ข่มเหงมาโดยตลอด และอีกไม่นานก็จะเป็นวันอภิเษกสมรสของพวกเขาแล้ว ดังนั้นเขาจะต้องจัดการจักรพรรดินีก่อนวันอภิเษกสมรส

“ตกลง สิบวันก็สิบวัน แต่เจ้าต้องถอนอาคมกู่ให้ฝูกวงกับลั่วอิ่งภายในสองวัน”

“ได้”

เหวินเส่าอี๋ปล่อยมือจากจอมมาร

จอมมารรีบไปข้าง ๆ กู้ชูหน่วนในทันที

“พี่หญิง……”

“อาม่อ เจ้าอยู่ที่นี่อีกสักสิบวัน หลังจากสิบวันแล้ว ข้าจะมารับเจ้าไปจากที่นี่”

“อาม่ออยากไปกับพี่หญิงด้วย”

“เจ้าต้องเชื่อฟัง อยู่ที่นี่ไม่มีใครกล้ารังแกเจ้า ข้ามีเรื่องต้องไปทำ ไม่สะดวกที่จะพาเจ้าไปด้วย”

จอมมารยังคงอาลัยอาวรณ์ แต่กู้ชูหน่วนก็ปล่อยมือของเขาอย่างใจดำและออกไปจากห้องลับ

กู้ชูหน่วนเดินไปข้าง ๆ เหวินเส่าอี๋และกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “หากอาม่อได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ข้ารับรองได้ว่าเจ้าจะไม่ได้วิญญาณทั้งสามที่ติดอยู่ในร่างของข้าไปอย่างแน่นอน”

“พี่หญิง……”

จอมมารวิ่งตามมา และประตูห้องลับก็ปิดลง

กู้ชูหน่วนยืนอยู่นอกห้องลับ นางมองไปยังสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย และไม่ได้ยินเสียงของจอมมารอีก

นางเดินจากไปโดยไม่หันมามองเหวินเส่าอี๋

นางไม่รู้ว่าเหวินเส่าอี๋ทำได้อย่างไร

เพียงแค่วันเดียว อาคมกู่ของฝูกวงกับลั่วอิ่งก็ได้รับการถอนพิษ และพวกเขาได้รับการช่วยเหลือให้อกมาจากในวัง

ในป่า

กู้ชูหน่วนสับสนงุนงง

เหลือบก็ยิ่งเข้าใจยาก

ฝูกวงกล่าวว่า “พวกเราได้รับการถอนพิษจากคนลึกลับผู้หนึ่ง และได้วรยุทธ์กลับคืนมาด้วย แม่นางมู่ ท่านยอมรับเงื่อนไขอะไรของจักรพรรดินีทรราช นางถึงได้ยอมปล่อยพวกเรา?

“ไม่สำคัญว่าเป็นเงื่อนไขอะไร ก่อนหน้านี้พวกเจ้ารับปากว่าขอเพียงแค่ข้าช่วยพวกเจ้าออกมาได้ พวกเจ้าจะยอมเป็นผู้ติดตามและคอยปกป้องข้าเป็นเวลาหนึ่งปี เรื่องนี้ยังนับอยู่หรือไม่?”

“แน่นอน ท่านช่วยชีวิตพวกเราไว้ ในหนึ่งปีนี้ขอเพียงท่านไม่ทำเรื่องที่ผิดมนุษยธรรม พวกเราย่อมเชื่อฟังคำสั่งของท่าน”

เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วที่พวกเขายังคงตามหาเจ้านาย

“ตกลง หลังจากนี้สามวัน ข้าจะทำให้ตระกูลไป๋หลี่หายไปจากโลกนี้”

“แม่นางมู่ ท่านช่วยพวกเราออกมาได้ เช่นนั้นท่านสามารถช่วยผู้ที่อยู่ในหอดาบออกมาด้วยได้หรือไม่”

“ไม่ได้”

กู้ชูหน่วนปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด

เรื่องของนางเองก็มีมากมายอยู่แล้ว นางจะไปยุ่งเรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร

การช่วยเยี่ยจิ่งหานออกมาจากในวังนั้นยากยิ่งกว่าการเหาะขึ้นไปบนฟ้าเสียอีก

ดวงตาของฝูกวงมืดมน

“ขอโทษ เป็นข้าที่ร้องขอมากเกินไป”

ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่หดหู่ของฝูกวง กู้ชูหน่วนถึงรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย นางขยับมุมปากและพูดปลอบโยน “ไม่ต้องกังวล จักรพรรดินีไม่มีทางทำอะไรสุนัขจิ้งจอกอย่างเยี่ยจิ่งหานได้หรอก”

“แม่นางมู่คงจะไม่รู้ว่าฝีมือของจักรพรรดินีแห่งรัฐปิงอย่างน้อยก็อยู่ในระดับหก และอาจจะถึงขั้นสูงสุดระดับหกเสียด้วยซ้ำ”

“แค่ก ๆ……”

กู้ชูหน่วนหยิบกาน้ำออกจากวงแหวนอวกาศ นางกำลังจะดื่มและเกือบจะสำลัก

“ว่าอย่างไรนะ?ฝีมือของจักรพรรดินีทรราชผู้นั้นอยู่ในขั้นสูงสุดระดับหก?”

“ใช่ แม้ว่านางจะไม่เคยเปิดเผยวรยุทธ์ของตนเอง แต่ข้าติดตามนายท่านมาหลายปี จึงพอที่จะดูออก”

กู้ชูหน่วนรู้แจ้งกระจ่างในทันที

มิน่าเล่า เหวินเส่าอี๋ถึงให้นางไปสังหารจักรพรรดินี

ขั้นสูงสุดระดับหก?

เหอะ……

ศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เป็นถึงจักรพรรดินีแห่งรัฐปิง เหวินเส่าอี๋ช่างเชื่อมั่นในตัวนางเสียจริง ๆ

“จัดการกับตระกูลไป๋หลี่ก่อนเถอะ เราจะลงมือกันในวันมะรืน และใช้โอกาสนี้ให้พวกเจ้าได้พักรักษาตัว”

กู้ชูหน่วนรู้สึกอ่อนแรงเล็กน้อย มีเรื่องวุ่นวายมากมายที่ยากจะจัดการ

เซี่ยวอวี่เซวียนก็ต้องตามหา

ตระกูลไป๋หลี่ก็ต้องทำลาย

จักรพรรดินีก็ต้องกำจัด

เยี่ยจิ่งหานก็ต้องการรักษาขาให้หาย

ดวงวิญญาณก็ต้องตามหา

แล้วยังต้องช่วยอาม่ออีก

ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน แม้ว่านางจะมีอาคม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ

ฝูกวงพยักหน้า “ตกลง”

ลั่วอิ่งไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ กลิ่นอายของความเยือกเย็นแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา ไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ เมื่อเห็นว่ากู้ชูหน่วนไม่ได้ออกคำสั่งอะไรอีก เขาก็หาที่สงบ ๆ เพื่อรักษาบาดแผล

เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาถูกจักรพรรดินีเหยียดหยามตอนที่อยู่ในวัง ฝูกวงก็อยากจะปลอบโยนเขา แต่ถูกกู้ชูหน่วนห้ามไว้

“ปล่อยให้เวลาค่อย ๆ เยียวยาทุกสิ่ง”

ในเวลานี้การปลอบโยนเขาย่อมเป็นการเอาเกลือมาทาแผลของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

“เช่นนั้นก็ได้”

ยามดึกของสองวันต่อมา

นำโดยเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์และอสุรกายจำนวนมากที่ปิดล้อมตระกูลไป๋หลี่ไว้

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตะโกนว่าคืนนี้ตระกูลไป๋หลี่จะถูกทำลาย ผู้ที่ยอมจำนนจะรอดชีวิต ส่วนผู้ที่ขัดขืนจะต้องตาย

เหล่าสาวกของตระกูลไป๋หลี่ต่างอวดดี และเรียกปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายออกมา จากนั้นก็ประกาศขู่ว่าคืนนี้จะกำจัดสัตว์ร้ายทั้งหมดที่ปิดล้อมตระกูลไป๋หลี่ และจับพวกมันมาเป็นสัตว์รับใช้

อสุรกายในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งทั้งหมด ล้วนแต่เกลียดชังตระกูลไป๋หลี่

หลายร้อยปีที่ผ่านมา ตระกูลไป๋หลี่ฆ่าอสุรกายมานับไม่ถ้วน พวกมันอยากแก้แค้นมานานแล้ว

ในตอนนี้พวกมันมีโอกาสแล้ว เมื่อเหล่าอสุรกายเห็นการขัดขืน พวกกันก็ฆ่าอย่างไร้ความปรานีในทันที

อสุรกายล้วนแต่กลัวปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้าย แต่กระทิงไฟเก้าเขาเตะปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายจนกระเด็น

“วันนี้กระทิงแก่อย่างข้าจะฆ่าปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายให้ได้ มาดูกันว่าเจ้าจะทำร้ายอสุรกายอย่างพวกเราได้อย่างไร”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยกหางงูขนาดใหญ่ของมันขึ้นมา และฟาดปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายไปหลายสิบคนจนตาย

บนระเบียงของหอสูงที่อยู่ไกลออกไป กู้ชูหน่วนอยู่บนหลังของเจ้าเสือน้อย และมองดูความโกลาหลของตระกูลไป๋หลี่

อสุรกายที่บุกเข้าไปในตระกูลไป๋หลี่ ค่ายกลรักษาเผ่าของตระกูลไป๋หลี่ก็ทำงานในทันที โชคดีที่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตะกละและอยู่ในตระกูลไป๋หลี่มานาน ดังนั้นมันจึงรู้จักเส้นทางในตระกูลไป๋หลี่เป็นอย่างดี รวมถึงวิธีการฆ่าต่าง ๆ อยู่บ้าง

ในทันทีที่บุกเข้าไป พวกมันก็ทำลายค่ายกลรักษาเผ่าของพวกเขา และจัดการกับอสุรกายระดับสูงหลายตัว เพื่อทำลายค่ายกลอื่น ๆ ของตระกูลไป๋หลี่

เหล่าอสุรกายต่อสู้อย่างดุเดือดตลอดทาง ราวกับว่าเป็นสถานที่ที่ไม่มีมนุษย์

จนกระทั่งปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายจำนวนมากออกมา จึงพอที่จะหยุดการเดินหน้าของพวกมันไว้ได้

ผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลี่โผล่ออกไปและตะโกนว่า “เจ้าอสุรกายต่ำช้า เจ้าไม่รู้หรือว่าที่นี่คือที่ใด?ถึงได้กล้าบุกเข้ามา เรียกปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายที่เหลือทั้งหมดออกมา”