บทที่ 466 สองวัน

บัลลังก์พญาหงส์

คำพูดขององค์หญิงเก้าแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ หลี่เย่กลับไม่ได้เก็บเอาไปใส่ใจ เพียงแค่ยิ้มปลอบองค์หญิงเก้าว่า “ตำแหน่งไม่เหมือนกัน เรื่องที่ต้องเผชิญหน้าก็ไม่เหมือนกัน แล้วจะเหมือนเดิมได้อย่างไร?” หากชายารองของตวนชินอ๋องอากัปกิริยาเหมือนนางกำนัล ถ้าเช่นนั้นก็ทำให้เขาปวดใจมากจริงๆ

 

 

อีกอย่างเขาเองก็ไม่รู้สึกว่าถาวจวินหลันมีอะไรไม่ดี

 

 

กลับเป็นองค์หญิงเก้า เขาเบนหน้าไปมององค์หญิงเก้าทีหนึ่ง พูดเตือนว่า “อย่ากล่าวเช่นนี้ให้จิ้งผิงได้ยิน” ถาวจวินหลันเป็นพี่สาวของเขา ภรรยาของตนเองพูดจาไม่ดีต่อพี่สาวของตนเอง แม้ว่าใบหน้าของเขาไม่แสดงออกมา แต่ต้องไม่พอใจแน่นอน

 

 

องค์หญิงเก้าเม้มปาก นางจนปัญญา ไม่สามารถพูดโน้มน้าวหลี่เย่ได้แม้แต่น้อย ความโกรธพลันพลุ่งพล่าน นางอดพูดอย่างเง้างอดไม่ได้ว่า “พี่รอง ท่านไม่กลัวนางจะทำลายอนาคตของท่านหรืออย่างไรเพคะ? หากมีนางอยู่ จะมีหญิงสาวดีๆ คนไหนยินยอมแต่งงานเป็นชายาเอกของท่าน? มีลูกจากอนุภรรยาสองคนแล้วไม่พอ ยังมีชายารองเช่นนี้อีกคน ใครจะยอม?”

 

 

“ข้ารู้ดี” หลี่เย่พยักหน้า แต่กลับไม่อาจพูดเรื่องนี้ต่อไปได้ ในความเป็นจริงแล้ว เขายังไม่คิดเรื่องตบแต่งชายาเอกคนใหม่ อีกทั้งตอนนี้เขาก็ไม่อาจแบ่งความสนใจไปที่เรื่องเหล่านั้นได้ สิ่งที่เขาใส่ใจมากที่สุดตอนนี้ก็คือถาวจวินหลัน

 

 

เมื่อเห็นองค์หญิงเก้าตั้งท่าจะพูดต่อ หลี่เย่ก็รู้สึกจนปัญญา “หากเจ้ามีเวลาก็ควรไปดูแลจิ้งผิง ว่าไปแล้ว เกิดเรื่องอะไรระหว่างพวกเจ้า?”

 

 

เมื่อพูดถึงถาวจิ้งผิง องค์หญิงก้าวก็ไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกต่อไป เพียงแค่ส่ายหัวพูดเนืบๆ “ไม่มีอะไรเพคะ” แต่แค่มองดูท่าทีก็รู้ จะต้องมีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่

 

 

“แม้ว่าเจ้าจะเป็นองค์หญิง ก็ไม่ควรวางท่าให้มากเกินไป ถาวจิ้งผิงเป็นคนใช้ได้ เจ้าอย่าเอาแต่ใจมากเกินไป” จากที่หลี่เย่ดูแล้ว องค์หญิงเก้าได้สามีดีแบบถาวจิ้งผิงก็ถือว่าหายากแล้ว โดยเฉพาะองค์หญิงเก้าไม่ค่อยได้รับความโปรดปราน แต่ได้คู่สมรสดีเช่นนี้ถือว่าไม่ง่าย ควรต้องรักษาเอาไว้ให้ดี

 

 

“พี่รองท่านไม่รู้หรอก เขา…” องค์หญิงเก้ากระทืบเท้า แต่กลับไม่ยอมพูดต่อ สุดท้ายแล้วก็พูดอีกว่า “สรุปแล้วคือเขาไม่ดี”

 

 

หลี่เย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง “เขารับอนุภรรยาอย่างนั้นหรือ?” จากที่เขาดูแล้วมีเพียงปัญหานี้เท่านั้นที่รุนแรงขนาดนี้

 

 

องค์หญิงเก้าตะลึงไป แล้วก็ส่ายหน้าขมวดคิ้วแน่นพูดว่า “เขาบังอาจ! ข้าเป็นองค์หญิงนะ!”

 

 

หลี่เย่มองดูท่าทีเช่นนี้ขององค์หญิงเก้า ฉับพลันก็หัวเราะออกมา “ตอนนี้เจ้าไม่เหมือนกับตอนอยู่ในวังหลวงอีกแล้ว” ตอนที่อยู่ในวังหลวง องค์หญิงเก้าระมัดระวังมาก ปกติแล้วไม่กล้าพูดเสียงดัง แต่ตอนนี้ดูแล้ว…

 

 

องค์หญิงเก้าตะลึงไป เงียบอยู่ครู่ใหญ่

 

 

แล้วหลี่เย่ที่ก็พูดแฝงนัย “มีอะไรให้ไม่กล้าเล่า? แม้ว่าจะไม่ดีหากบอกให้เจ้ารู้ แต่เขาเลี้ยงดูไว้ข้างนอกแล้วเจ้าจะรู้ได้อย่างไร? เขาโดเด่นถึงเพียงนั้น แล้วยังอายุน้อยอีก ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวมากขนาดไหนที่อยากจะโถมตัวเข้าไปในอ้อมกอดเขา พวกบรรดาสามีจากตระกูลใหญ่เก่าแก่ที่อนาคตไม่ได้ดีเท่าไรนัก ยังสู้เขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนนี้เขาได้รับความเชื่อถือจากฮ่องเต้ หากเขาอยากมีอนุ แค่ขอร้องให้ฮ่องเต้ประทานให้สักสองสามคนก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้”

 

 

ฮ่องเต้ไม่มีทางใส่ใจองค์หญิงเหล่านี้ ในความเป็นจริงแล้วตั้งแต่เล็กจนโต ฮ่องเต้ก็เข้าพบองค์หญิงเก้าน้อยครั้งมาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องรักใคร่เอ็นดูเลย

 

 

อีกอย่างในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ก็จะต้องอยู่ด้วยกันไปทั้งชีวิต อย่างไรองค์หญิงเก้าก็เป็นน้องสาวของตน และถาวจิ้งผิงก็เป็นน้องชายของถาวจวินหลัน เขาย่อมต้องคาดหวังให้ทั้งสองคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดี ที่เขาพูดเช่นนี้ไม่เพียงแค่เพราะองค์หญิงเก้า แต่ก็ยังพูดแทนถาวจิ้งผิงอีกด้วย

 

 

จากที่แต่เดิมองค์หญิงเก้าตั้งใจพูดเกลี้ยกล่อมหลี่เย่ แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายหลี่เยาจะพูดกับนางเช่นนี้ นางจึงเลิกคิดเรื่องก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว นางรวบรวมสมาธิทั้งหมดมาวิเคราะห์คำพูดของหลี่เย่

 

 

เพียงไม่นาน จากที่องค์หญิงเก้าตั้งใจจะพูดกับหลี่เย่ว่าตนเองมีปัญหาอะไรกับถาวจิ้งผิง แต่เมื่อคำพูดมาอยู่ปลายริมฝีปาก นางกลับต้องกลืนลงไป

 

 

“พี่รองเก็บเรื่องที่ข้าบอกไปคิดให้ดีเถิดเพคะ” เมื่อไม่มีอารมณ์จะเดินชมสวนอีก องค์หญิงเก้าก็ทิ้งคำพูดนี้ไว้ให้หลี่เย่ แล้วคิดจะกลับไป

 

 

หลี่เย่พยักหน้า แต่กลับไม่ได้เก็บไปใส่ใจ จากที่เขาดูแล้ว ถาวจวินหลันสำคัญกว่าทุกเรื่อง ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเขาก็ไม่สนใจ

 

 

พอถึงแก่เวลาแล้ว คิดว่าหวังหรูคงกลับมาแล้ว หลี่เย่ถึงได้กลับไปยังที่พักของตน

 

 

“เป็นอย่างไรบ้าง?” หลี่เย่ไม่รอให้หวังหรูทำความเคารพ ก็ถามออกมาตรงๆ

 

 

หวังหรูเหลือบมองหลี่เย่วูบหนึ่ง สุดท้ายก็พูดว่า “ได้ยินมาว่าเกือบจะได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หลี่เย่ขมวดคิ้วสีหน้าดำคล้ำ “อะไรเรียกว่าเกือบแล้ว? แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร!”

 

 

หวังหรูทำได้แค่พูดตามความจริง “ได้คิดค้นเทียบยาแรกออกมาแล้วขอรับ แต่ยังไม่ได้ทดลองฤทธิ์ยา เกรงว่ายังต้องใช้เวลาอีกเจ็ดวันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หลี่เย่ได้ยินก็ดีใจ แต่สุดท้ายก็พูดออกมาอย่างเกรี้ยวโกรธ “เจ็ดวัน! รออีกเจ็ดวันได้ที่ไหนกัน!” ตอนนี้ถาวจวินหลันอาการหนักขนาดนั้นแล้ว รออีกเจ็ดวันจะเป็นอย่างไร? เกรงว่าไม่ต้องเดาก็รู้ได้แล้ว!

 

 

หลี่เย่คิดว่าหมอพวกนี้ไร้ประโยชน์ นี่ผ่านมาตั้งกี่วันแล้ว? มีคนต้องตายเพราะโรคระบาดนี้มากเพียงใด? แต่พวกเขากลับยังคิดค้นเทียบยาไม่ได้!

 

 

“มากที่สุดสามวัน! ไม่ สองวัน!” หลี่เย่พูดอย่างดุร้าย “หากสองวันต่อจากนี้ยังไม่ได้วิธีรักษา อย่ามาโทษว่าข้าเลือดเย็นไร้หัวใจ”

 

 

ถาวจวินหลันรอไม่ได้ เขาเองก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตราย ถ้าไม่ใช่เพราะคำนึงว่าเทียบยายังไม่สมบูรณ์ กลัวว่ากินแล้วเกิดปัญหา เขาก็ไม่อยากรอนานแม้เพียงน้อย

 

 

หวังหรูได้ยินเช่นนั้นก็หน้าดำคล้ำ สองวัน? ท่านอ๋องประเมินพวกเขาสูงเกินไปแล้ว

 

 

แต่หลี่เย่ได้พูดออกมาแล้ว อีกทั้งหวังหรูก็เข้าใจว่าภายในจวนตวนชินอ๋องมีคนจำนวนมากรอให้เขากลับไปช่วย เขาจึงไม่โน้มน้าวหลี่เย่อีก ในใจคิดว่าสร้างความกดดันให้พวกเขาถึงจะดี แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือ คนที่ลำบากใจและปวดหัวไม่ใช่เขาเสียหน่อย

 

 

ไม่ต้องพูดว่าหลี่เย่จะไปข่มขู่หมอเหล่านั้นอย่างไร หลี่เย่คิดแล้วก็ให้คนไปบอกข่าวนี่กับคนใจจวน เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้คนในจวน

 

 

อีกทั้งเขายังอยากให้ถาวจวินหลันรู้ว่า เทียบยาได้ออกมาแล้ว ขอเพียงแค่อดทนรอเท่านั้น อย่างน้อยก็ทำให้นางสบายใจเล็กน้อยมิใช่หรืออย่างไร?

 

 

แต่หลี่เย่กลับคิดไม่ถึงว่า เมื่อข่าวกระจายไปถึงจวนตวนชินอ๋อง แต่กว่าถาวจวินหลันจะรับรู้เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งวันเต็ม ไม่มีเหตุผลอื่น แต่เพราะว่าถาวจวินหลันนอนหลับอยู่ตลอดเท่านั้น

 

 

ที่จริงแล้ว ถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้ไปก็ไม่ได้แตกต่างเท่าไรนัก อาการของนางในตอนนี้ใช่ว่านางอยากจะทนก็ทนได้ ความเหน็ดเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตวิญญาณกัดกร่อนจนนางเหลือสติอีกไม่เท่าไรแล้ว

 

 

อีกทั้งที่สำคัญที่สุดก็คือ นางไม่รู้ว่านางจะได้รับการรักษาจนหายดีหรือไม่ ดูจากอาการของนางแล้ว เกรงว่าคงจะยากลำบาก

 

 

ไม่ได้มีเพียงถาวจวินหลันที่คิดเช่นนี้ แม้แต่ปี้เจียวและชุนฮุ่ยก็กังวลเรื่องเดียวกัน อย่างไรก็เห็นอาการกันอยู่ ไม่ใช่ว่าพวกนางอยากจะสาปแช่งถาวจวินหลัน

 

 

แต่ถาวจวินหลันกลับดีใจแทนหลี่เย่ อย่างไรหลี่เย่ก็คิดค้นเทียบยาได้แล้ว ถือเป็นเรื่องดีสำหรับหลี่เย่ ไม่เพียงแค่ได้รับชื่อเสียง ที่มากไปกว่านั้นคือฮ่องเต้ให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น

 

 

สองวันจะบอกว่ายาวก็ไม่ยาว จะบอกว่าสั้นก็ไม่สั้น แม้ว่าจะมีหลายคนทนทรมานให้เวลาผ่านพ้นไป แต่สำหรับคนปกติ กลับผ่านไปเพียงชั่วพริบตาเดียว

 

 

ตามคำสั่งของหลี่เย่ วันนี้ถึงเวลาต้องไปเอาสูตรยามาแล้ว

 

 

คราวนี้หลี่เย่ไปด้วยตนเอง ก่อนหน้านี้ที่ไม่กล้าให้หลี่เย่มาก็เพราะว่ายังไม่มียารักษาโรคระบาด แต่ตอนนี้มีแล้วย่อมไม่ต้องระมัดระวังอีกต่อไป

 

 

ตอนที่มอบสูตรยาให้ หมอที่นำขบวนก็ขลาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด “เทียบยานี้ยังไม่รู้ว่ามีผลเช่นไร ท่านอ๋องช่วยยืดเวลาให้อีกสองวันได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”

 

 

หลี่เย่กลั้นความโกรธเอาไว้ สูดลมหายใจเข้าลึก ถามว่า “มั่นใจว่ารักษาโรคระบาดได้อย่างนั้นหรือ?”

 

 

หมอพยักหน้า “รักษาโรคระบาดก็ได้อยู่ แต่เพียงไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดผลภายหลังหรือไม่ อย่างไรเทียบยานี้ก็มีคนไม่มากที่เคยทดลองมาก่อน ตอนนี้ผลที่ออกมาก็ไม่เลว แต่หลังจากนั้นไปก็ยากจะพูดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หลี่เย่หัวเราะเสียงเย็น “ถ้าหากเจ้าเอาเทียบยาที่มีข้อผิดพลาดออกมา เกรงว่าคนคงตายหมดเป็นแน่! เจ้าศึกษาเทียบยาต่อไป เทียบนี้ข้าจะเอาไปใช้ก่อน หากมีผลข้างเคียง คิดว่าพวกเจ้าคงรักษาได้เป็นแน่ ใช่หรือไม่?”

 

 

หมอตื่นตกใจเพราะท่าทีเยือกเย็นที่แผ่กระจายมาจากหลี่เย่จนไม่กล้าพูดอะไรออกมา

 

 

หลี่เย่หยิบเทียบยาพลางเดินออกไป หากเป็นไปได้ เขากลับอยากจะโยนเทียบยาที่ไม่สมบูรณ์แบบนี้ไปตรงหน้าคนคนนั้น แต่ตอนนี้ถาวจวินหลันรอไม่ไหวอีกแล้ว ต่อให้ไม่รู้ว่าผลของยาจะเป็นอย่างไร ขอเพียงรักษาโรคระบาดได้ เขาก็ทำได้แค่เพียงลองเสี่ยงอันตรายเท่านั้น

 

 

ต่อให้เหลือผลข้างเคียง แต่อย่างน้อยก็ต้องรักษาชีวิตเอาไว้ก่อนไม่ใช่หรืออย่างไร?

 

 

หลังจากหลี่เย่กลับเข้ามาในเมืองแล้ว ก็จัดการคัดลอกเทียบยาทันที ฉบับหนึ่งส่งไปในจวน อีกฉบับหนึ่งส่งไปที่กรมหมอหลวง พูดไปแล้ว ยามนี่กรมหมอหลวงกลับสู้หมอข้างนอกไม่ได้

 

 

หลี่เย่หรี่ตาลง พลางหัวเราะเยาะ ฝีมือแพทย์เช่นนี้ไฉนเลยจะฝากความหวังได้? ดูท่าทางต่อจากนี้ไปถ้าป่วยเป็นอะไรขึ้นมา ก็ไม่จำเป็นต้องหาหมอของกรมหมอหลวงแล้ว

 

 

ที่จริงแล้วกรมหมอหลวงเองก็คิดค้นสูตรยาขึ้นมาได้สูตรหนึ่ง เพียงแต่เหมือนกับบรรดาหมอข้างนอกคือ ไม่รู้ว่าผลของยาเป็นอย่างไรจึงไม่กล้ารายงาน คิดอยากให้เวลาผ่านไปอีกสองวันแล้วค่อยว่ากัน เมื่อตอนนี้ได้รับเทียบยามา นอกจากกรมหมอหลวงจะแปลกใจแล้ว ก็ยังรู้สึกละอายและร้อนรน เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าทุกคนคงคิดว่าคนในกรมหมอหลวงไร้ประโยชน์แล้ว

 

 

เมื่อนำสูตรยาสองสูตรมาเทียบกัน หัวหน้ากรมหมอหลวงก็คิดบางอย่างได้ จับบ่าวคหนึ่งมาแล้วพูดว่า “เจ้ารีบไปบอกตวนชินอ๋อง อย่าเพิ่งรีบใช้ยา สูตรยานั้นมีปัญหา จะต้องแก้ไข”

 

 

พอถึงตอนที่สูตรยาของกรมหมอหลวงถูกส่งมา หลี่เย่ก็กวาดตามองทีหนึ่ง พบว่ามีการเปลี่ยนตัวยาสองชนิดจริง หมอหลวงที่อยู่ข้างๆ ก็รีบพูดว่า “สูตรยาก่อนหน้านี้มีฤทธิ์แรงเกินไป เกรงว่าทานเข้าไปแล้วจะเกิดผลข้างเคียง ตอนนี้เปลี่ยนตัวยาสองชนิด ฤทธิ์ยาเบาลงมาก ทั้งออกฤทธิ์รักษาโรคระบาดได้ และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงใดๆ พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

หลี่เย่พยักหน้า เอ่ยชมคล้ายหัวเราะ “ที่แท้กรมหมอหลวงก็มีความสามารถอย่างที่คาดเอาไว้” พลางเรียกให้คนนำสูตรยาส่งไปที่จวนโดยใช้ม้าเร็ว และตัวเขาเองก็นำสูตรยานี้เข้าไปในวังหลวง

 

 

ก่อนหน้านี้เพราะเขากลัวว่ากรมหมอหลวงต้องใช้เวลาคิดสูตรยานาน ดังนั้นจึงไม่ได้รอ และให้ใช้ยาต่อไป ตอนนี้เขากลับรู้สึกร้อนรน ไม่รู้ว่าถาวจวินหลันได้กินยาเข้าไปบ้างหรือยัง

 

 

แต่ตอนนี้เขาก็ทำได้เพียงส่งคนไปถามเท่านั้น ตนเองกลับต้องเข้าไปในวังหลวงก่อน