หยางโปเงยหน้ามอง จิโร่ สึคาฮาระ และชี้กระบี่ตรงไปที่เขา แต่กลับไม่คิดที่จะชักกระบี่ออกมา เขาอดที่จะมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความสงสัยไม่ได้
จิโร่ สึคาฮาระยิ้ม ” เหตุผลที่ทำแบบนี้ ก็เพื่ออยากจะเตือนนายสักครั้ง หวังว่านายจะระวังให้มากขึ้นในครั้งต่อไป ตอนนี้วรยุทธ์ของนายอยู่แค่ขั้นหยิ่นชี่จิง มีคนจำนวนมากที่สามารถฆ่านายได้ ! ”
พอพูดจบ จิโร่ สึคาฮาระก็หันหลังและเดินจากไป
หยางโปมองตามแผ่นหลังของจิโร่ สึคาฮาระ และส่ายหน้าตาม เขารู้สึกแปลกใจมาก ทำไมอีกฝ่ายไม่ชักดาบออกมา หรือว่าเขารู้สึกว่ามันไม่คุ้มที่จะชักดาบออกมา หรือว่า เขายังกังวลเรื่องอื่นอยู่
หวังเสี่ยวชีที่นอนอยู่บนพื้นดูเหมือนจะไม่หายใจแล้ว ลูกน้องสองคนของเขาก็ได้หนีไปนานแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงหยางโปและลัวย่าวหัวสองคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ
ลัวย่าวหัวยืนหอบหายใจอยู่ด้านข้าง ใช้มือข้างหนึ่งลูบหน้าอก ” ทำเอาฉันตกใจกลัวไปเลย เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง นายต้องรู้ว่าฉันเป็นห่วงความปลอดภัยของนายมากแค่ไหน ชายญี่ปุ่นคนนั้นแข็งแกร่งขนาดนั้นถ้าเกิดจัดการเราที่นี่ขึ้นมาจริงๆ จะทำไงกันดี ? ”
หยางโปเหลือบมองหน้าลัวย่าวหัว และส่ายหน้าช้าๆ ” เขาดูพะว้าพะวัง ! ”
ในขณะที่พูด หยางโปก็ได้ยินเสียงรถ เมื่อเขาหันไปมองก็เห็นว่าชุยอี้ผิงวิ่งลงมาจากรถ และคนที่ตามหลังเขามาคือเหยียนหรูหยู ดูเหมือนชุยอี้ผิงจะไม่วางใจในความปลอดภัยของเขาจึงได้ตามมา
“ นายหาที่ตรงนี้พบได้ยังไง ? หรือว่านายก็ติดตั้งเครื่องติดตามบนรถของฉันด้วยงั้นเหรอ ? ”
หยางโปหันไปมองหน้าชุยอี้ผิง ชุยอี้ผิงมองหยางโปขึ้นลงอย่างพินิจพิเคราะห์และอดสบถด่าออกมาไม่ได้ ” นายยังจะมีหน้ามาพูดอีก ฉันโทรหานายตั้งหลายสาย แต่นายก็ไม่รับสาย จอดรถไว้ที่เปลี่ยวแบบนั้น มันน่าตื่นเต้นมากใช่ไหม ? ”
หยางโปนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ด้วยใบหน้าที่สำนึกผิด
ชุยอี้ผิง พ่นลมหายใจออกมาด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็ได้หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรแจ้งตำรวจ
หยางโปมองไปที่เหยียนหรูหยู ” ต้องขอโทษด้วยจริงๆที่ให้คุณมาในเวลาดึกดื่นแบบนี้ ”
เหยียนหรูหยูเหลือบมองหยางโป ” ช่วงนี้มีข่าวลือว่ามียอดฝีมือที่มีวรยุทธ์ขั้นหยิ่นชี่จิงอยู่คนหนึ่ง สามารถใช้จิตของกระบี่ได้ ”
หยางโปอึ้งไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่า กำลังพูดถึงเขา เขาจึงอดที่จะชายตามองไปที่เหยียนหรูหยูไม่ได้ เหยียนหรูหยูเคยเห็นเขาใช้จิตของกระบี่ แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอพูดแบบนี้ออกมา มันหมายถึงอะไรกันแน่?
เหยียนหรูหยูพูดออกมาคำหนึ่ง และไม่ยอมพูดอะไรอีก ทำให้ หยางโปรู้สึกกระวนกระวายใจ
แต่ เขาคิดขึ้นมาได้ว่า เป็นไปได้ไหมที่จิโร่ สึคาฮาระ จะรู้ข้อมูลนี้ ถึงได้ดูพะว้าพะวง และไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ ?
เพราะรถของ หยางโปจอดอยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกเขาจึงออกไปไม่ได้ ทำได้เพียงรอให้ตำรวจมา หลังจากหยางโปให้ปากคำ ถึงได้กลับไปที่ในเมือง
รถกำลังแล่นมุ่งหน้ากลับไปเรือนสี่ประสาน หยางโปก็ได้เหลือบมองไปที่ลัวย่าวหัว
” ยังมีอีกคนที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉันอยากไปตรวจดูสักหน่อย ”
ชุยอี้ผิงขยี้ตาหาวนอน “ ไม่ต้องรีบ กลับไปพักผ่อนก่อน ช้าไปวันหนึ่ง แล้วจะยังไง ? ”
หยางโปส่ายหน้า “ ถ้าช้ากว่านี้ก็จะตามไม่ทันแล้ว นายกลับไปพักผ่อนก่อน พวกเราจะไปดูเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว ! ”
“ งั้นก็ไปด้วยกันดีกว่า ! ” ชุยอี้ผิงกล่าวอย่างเป็นห่วง novel-lucky
หยางโปเหลือบมองหน้าเหยียนหรูหยู แต่ดูเหมือนเหยียนหรูหยูจะไม่สนใจเขาเลยด้วยซ้ำไป
เขาจึงทำได้เพียงแค่ยิ้มและไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องให้เธอกลับไปก่อน
ไม่นาน รถก็แล่นมาถึงโฮ่วไห่ ฟ้ากำลังใกล้จะสว่าง คนทั้งเมืองยังไม่ตื่น แต่มีคนจำนวนมากทยอยเดินออกมาจากโฮ่วไห่ พวกเขาดูสภาพอ่อนเพลียและหน้าซีด
หยางโปเดินอยู่บนถนน มองดูค่ำคืนที่มืดครึ้ม แสงไฟนีออนบนท้องถนนที่ดูแสงริบรี่ เขาเห็นผู้ชายหลายคนจับมือกันเดินออกไปด้วยกัน และมีชาวต่างชาติจำนวนมากเดินผ่านไป ไม่นานนักกลุ่มของพวกเขาก็มาถึงประตูทางเข้าของไนต์คลับหวงโฮ่ว หยางโปเหลือบมองเข้าไปข้างในแล้วเดินเข้าไป การแสดงในไนต์คลับจบลงแล้ว แทบไม่มีคนอยู่ในสถานที่เลย มีเพียงเสียงเพลงที่ล่องลอยมาในอากาศ พนักงานชายตาขึ้นมองและเห็นหยางโปเดินเข้ามา “ ขอโทษครับ ร้านเราปิดแล้ว ”
หยางโปเหลือบมองพนักงานและเอ่ยทักไปว่า “ ฉันมาหาเถ้าแก่โจวของพวกนาย เรานัดกันไว้แล้ว นายรู้ไหมว่าสำนักงานของเขาอยู่ที่ไหน ? ”
พนักงานเหลือบมองหยางโปด้วยแววตาสงสัย และชี้เข้าไปข้างใน ” อยู่ข้างใน ”
หยางโปพยักหน้าและเดินตรงเข้าไปข้างใน
เดิมทีลัวย่าวหัวเดินตามหลังหยางโปมา สีหน้าดูเหนื่อยล้า ดูเหมือนพอได้กลิ่นหอมจากในไนต์คลับหวงโฮ่ว ฮอร์โมนก็เดือดพล่านขึ้นมาทันใด เขายิ้มและเดินเร็วขึ้น “ ฉันจะเดินนำหน้าไปดูสิว่าจะจับคนทรยศอย่างเขาได้ไหม ฉันแอบสงสัยมาตลอดว่าเขาชอบผู้ชายหรือเปล่า ! ”
ในขณะที่พูด ลัวย่าวหัวก็เดินพรวดเข้าไปที่ประตูสำนักงาน เขาเอาหูแนบประตูแต่กลับไม่ได้ยินเสียงจากข้างใน เขายิ้มและเอามือแตะลูกบิดประตู เปิดประตูออกช้าๆ เขาหันไปส่งยิ้มให้หยางโปพลางพูดว่า “ จะต้องมีการค้นพบครั้งใหญ่อย่างแน่นอน ! ”
แต่หยางโปกลับเบิกตากว้าง เขามองเข้าไปข้างใน ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสภาพภายในสำนักงาน เพราะเขาเห็นโจวเหม่ยเอ๋อ ห้อยอยู่ใต้โคมระย้า ไม่มีลมหายใจอยู่แล้ว !
ลัวย่าวหัวหน้ามองเข้าไปภายในสำนักงาน ดวงตาเบิกกว้างขึ้นมาทันที เขามองโจวเหม่ยเอ๋อที่แขวนคออยู่ ” เขา… เขาทำอย่างนี้ได้ยังไง ? ”
หยางโปมองห้องที่ว่างเปล่า “ พวกเราไปกันเถอะ ! ”
ลัวย่าวหัวเองก็ไม่เดินเข้าไปเช่นกัน เขาปิดประตูลงอีกครั้ง หยางโปหันไปหา ชุยอี้ผิงและพูดอย่างไม่มีทางเลือก ” พวกนายกลับไปกันก่อน พวกเราจะต้องไปให้ปากคำต่อ ”
ชุยอี้ผิงส่ายหน้า “ ช่างเถอะ ฉันเหนื่อยจนทนไม่ไหวแล้ว พวกนายไปจัดการกันเองเถอะ ! ”
เมื่อกลับมาถึงในเมือง ชุยอี้ผิงก็โล่งใจในความปลอดภัยของหยางโป ดังนั้นเขาจึงขอตัวกลับ
หยางโปหันไปทางเหยียนหรูหยู ” เธอจะกลับไปพักผ่อนหรือเปล่า ? ”
“ ฉันจะอยู่ที่นี่ต่อ ยังไงก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่แล้ว ” เหยียนหรูหยูตอบ
หลังจากโทรแจ้งตำรวจอีกครั้ง ทั้งสามคนก็มารออยู่นอกประตูนานกว่าครึ่งชั่วโมงและใช้เวลาในการให้ปากคำไปกว่าหนึ่งชั่วโมง จากนั้นถึงได้สิ้นสุดกับทางสถานีตำรวจ
ลัวย่าวหัวหันไปมองหยางโป “ นายกลับไปแล้วต้องหาเตาอั้งโล่มาตั้งเพื่อกำจัดเสนียดจัญไรแล้วล่ะ พวกเราโชคร้ายกันมากจริงๆ ทำไมมันถึงมักจะเจอเรื่องแบบนี้อยู่เสมอเลยนะ ? ”
“ ฉันก็ไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้ แต่ตอนนี้มันไม่มีทางเลือกอื่น ” หยางโปพูดอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ร้ายในเรื่องนี้คือจิโร่ สึคาฮาระ แต่หยางโปกลับตามไปค่อยทัน และจับอีกฝ่ายไม่ได้คาหนังคาเขา
เกรงว่าคงยากที่จะจัดการกับปัญหาที่ตามมาได้ !
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินหลินก็รออยู่ เมื่อเห็นพวกเขากลับมา ก็ไม่ถามไถ่อะไรมาก ยกอาหารเช้าเข้ามาให้และพูดขึ้นว่า “ พวกลูกไปไหนกันมา ? ทำไมถึงกลับมากันเอาตอนนี้ ”
“ ผมพาเขาไปเสียบริสุทธิ์มา ” ลัวย่าวหัวตอบ
ทุกคนในห้องนั่งเล่นต่างพากันนิ่งอึ้งไปทันที หยางโปหันไปถลึงตาใส่ลัวย่าวหัว หลินหลินหันไปมองหน้าหยางโป จากนั้นก็มองหน้าลัวย่าวหัวอีกครั้งและกลั้นยิ้มเอาไว้
หน้าของลัวย่าวหัวแดงระรื่น “ เอ่อ ผมพูดผิดไป ”
มีเพียงเหยียนหรูหยูเท่านั้นที่ไม่ค่อยจะเข้าใจ เพราะฟังความหมายของประโยคนี้ไม่ออ