บทที่ 228 การทดสอบทางจิตวิญญาณครั้งแรก

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 228

การทดสอบทางจิตวิญญาณครั้งแรก

ถ้ามู่หรงเสวี่ยรู้ระดับชั้นของผู้ฝึกตน เธอก็คงจะรู้ว่าตัวเองเพิ่งผ่านชั้นแรกของระดับสีส้มมาแล้ว

ระดับชั้นของผู้ฝึกตนแบ่งได้เป็นเจ็ดชั้น: สีแดง, สีส้ม, สีเหลือง, สีเขียวอ่อน, สีเขียวแก่, สีฟ้าและสีม่วง แต่ละชั้นแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ว่ากันว่าหลังจากถึงจุดสูงสุดของระดับสีม่วงแล้วพวกเขาก็จะสามารถเป็นเซียนได้

มู่หรงเสวี่ยโทรหาฮวงฟูอี้อีกครั้ง แต่ผลก็ยังเหมือนกับก่อนหน้านี้จนกระทั่งเข้าระบบฝากข้อความแต่ก็ยังไม่มีใครรับสาย

เธอไม่เชื่อว่าความรู้สึกคนเราจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆหรอก อย่างน้อย…ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็ควรที่จะบอกเธอ เขาไม่กลัวบ้างหรือไงว่าถ้าปล่อยเวลาให้ผ่านไปนาน พวกเขาจะไม่มีวันได้กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก

มู่หรงเสวี่ยถือโทรศัพท์ด้วยความรู้สึกเศร้า

และเมื่อคิดว่าเธอก็ไม่ได้ติดต่อหาอ้ายลี่นานแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอจะเป็นยังไงบ้าง?! ไม่มีสายโทรเข้ามาเลยเหมือนกัน

เสียงโทรศัพท์ดังอยู่นานกว่าที่จะมีคนรับ เสียงแหบแห้งดังตอบกลับมา ฟังดูเหมือนเธอเพิ่งจะร้องไห้มา

“อ้ายลี่ เป็นอะไร?” จู่ๆมู่หรงเสวี่ยก็รู้สึกได้ทันทีว่าจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับโม่อ้ายลี่แน่ๆ

“หื้อหื้อ…”

ที่ปลายสายไม่มีคำตอบกลับ มีเพียงเสียงสะอื้นของโม่อ้ายลี่เท่านั้น สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนและถามออกไปอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไรอ้ายลี่?”

“เสี่ยวเสวี่ย…หื้อหื้อ…” โม่อ้ายลี่ร้องไห้สะอึกสะอื้น

“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?! ฉันจะไปหาเธอ…” มู่หรงเสวี่ยถาม

“ฉัน…อยู่ที่โรงเรียนอลิซ…หื้อหื้อ…ถนนข้างๆ…ตรงหัวมุม…”

“โอเค อย่าไปไหนนะ ฉันจะไปที่นั่น…”

มู่หรงเสวี่ยรีบลุกออกจากโซฟาแล้วออกไปทันที

เมื่อเธอมาถึง เธอก็เห็นได้จากไกลๆเลยว่าโม่อ้ายลี่กำลังนั่งยองๆอยู่ที่ถนน เธอนั่งก้มหัวพร้อมทั้งร้องไห้สะอึกสะอื้น ผู้คนรอบๆต่างก็ชี้นิ้วมาที่เธอเป็นครั้งคราว มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมเด็กสาวที่ร่าเริงสดใสถึงได้มานั่งร้องไห้อยู่ริมถนนแบบนี้

มู่หรงเสวี่ยจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่อ้ายลี่ร้องไห้คือตอนที่คุณปู่โม่ประสบอุบัติเหตุ ใช่ไหมนะ?! สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปในทันทีแล้วรีบเร่งเข้าไปหาโม่อ้ายลี่

เมื่อเธอจอดรถก็เห็นว่ามีเด็กวัยรุ่นในชุดลายดอกยืนล้อมรอบโม่อ้ายลี่อยู่ และดูเหมือนพวกเขากำลังจะเริ่มลงมือ

“จะทำอะไรกันน่ะ?” มู่หรงเสวี่ยตะโกนออกไปแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาโม่อ้ายลี่อย่างเร็วพร้อมทั้งผลักวัยรุ่นคนนั้นออกไป เธอเข้ามายืนขวางอยู่เบื้องหน้าโม่อ้ายลี่ที่ตอนนี้ยังนั่งร้องไห้อยู่

“โอ้ มีสาวสวยเข้ามาอีกแล้ว!” ทันทีที่คนหนึ่งถูกผลักออกไป ตัวหัวหน้าแก๊งก็โผล่เข้ามาพร้อมกับท่าทางลามกทันที

“หัวหน้า เด็กสาวคนนี้ตรงสเปกมากกว่าอีกนะ! แบบนี้ต้องดีกว่ามากแน่ๆ” อีกคนพูดขึ้นมา

“น้องสาว เดี๋ยวพี่พาไปเที่ยวนะไม่ต้องร้องไห้ พี่จะดูแลอย่างดีเลย!” หัวหน้าพูดกับมู่หรงเสวี่ยพร้อมด้วยรอยยิ้มลามก สายตาของมู่หรงเสวี่ยเย็นชาและมองไปรอบๆ หลังจากที่เห็นสถานการณ์ตอนนี้ คนที่เดินผ่านไปผ่านมาหลายคนก็เริ่มที่จะหลบออกไปอย่างรวดเร็ว

โลกนี้มันช่างโหดร้ายจริงๆ

“ไม่ต้องมองหรอก ไม่มีใครเข้ามาช่วยหรอก ในถนนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักฮวงซานด้าวหรอก!” เด็กหนุ่มที่เป็นหัวหน้าของแก๊งเปล่งเสียงหัวเราะดังออกมา

“อ้ายลี่ลุกขึ้นก่อน…” มู่หรงเสวี่ยดึงแขนอ้ายลี่และดึงเธอไปอยู่ข้างหลัง อย่างไรก็ตามเธอดูน่าเป็นห่วงอย่างมาก เด็กสาวดูเหมือนจะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไรและก็ไม่ตอบสนองกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเลย เธอจับมือเธอไว้แน่น

อีกฝ่ายมีคนห้าคนและดูเหมือนจะมีเจตนาที่ไม่ดีด้วย ถ้าเธอพึ่งความแข็งแกร่งของตัวเองก็คงจะสู้คนพวกนี้ไม่ได้ แต่ในตอนนี้เธอสามารถเอาการฝึกของตัวเองออกมาทดสอบได้ว่าผลลัพธ์ที่ได้เป็นยังไง

“พวกนายต้องการอะไร?” เธอไม่ได้ลงมือในทันที มันคงจะดีกว่าถ้าเธอออกไปจากที่นี่โดยไม่ต้องดึงดูดความสนใจได้

“พวกเราต้องการอะไรงั้นเหรอ?!!! ฉันอยากให้พวกเธอสองคนมาช่วยทำให้พวกเรารู้สึกดีขึ้นไงล่ะ!!! ฮ่าฮ่าฮ่า” หัวหน้าหนุ่มยื่นมือออกมาแตะที่ใบหน้าขาวนวลของมู่หรงเสวี่ย

สายตาของมู่หรงเสวี่ยดุดัน ทันทีเธอเริ่มที่จะโบกพลังจิตวิญญาณจากร่างกายของตัวเองเข้าใส่ชายหนุ่มโดยไม่มีความเมตตา

“โอ๊ย” ชายหนุ่มร้องออกมาเสียงหลง

ชายหนุ่มถูกกระหน่ำอีกหลายครั้งก่อนที่จะหยุด เขานอนกองอยู่กับพื้น มือกุมที่หน้าอก เขาแทบที่จะยกหน้าอกไม่ขึ้น สายตาจ้องมองตรงไปที่เธอโดยไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

อย่างไรก็ตามสายตาร้อนแรงของผู้คนที่อยู่รอบๆและนิ้วที่ต่างก็ชี้มาที่เขาทำให้เขารู้สึกอับอาย ความโกรธของเขาพุ่งขึ้นมาในทันทีแล้วก็ร้องเรียนคนอีกสี่คนที่ต่างก็ตกใจไม่ต่างกัน “นังนี่กล้าทำร้ายฉัน ไปจับนังผู้หญิงชั้นต่ำนี่มาให้ฉัน!”

“เสี่ยวเสวี่ย…” ในตอนนี้ โม่อ้ายลี่ดูเหมือนจะกลับมาได้สติแล้ว เธอดึงแขนเสื้อมู่หรงเสวี่ยพร้อมกระซิบ

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ชายหลายคนที่อยู่รอบๆเธอ พร้อมทั้งกระซิบกับโม่อ้ายลี่ที่อยู่ข้างหลัง “ไม่เป็นไรอ้ายลี่ เธอหลบอยู่หลังฉันนะ ระวังอย่าให้โดนลูกหลง…” หลังจากที่ได้ทดลอง ตอนนี้เธอก็เข้าใจความสามารถของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว…เมื่อกี้เธอใช้พลังจิตวิญญาณแค่ 50% เท่านั้นเองเพราะครั้งก่อนเธอเองก็สร้างรูที่กำแพงบ้านไปแล้วด้วย ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าที่จะใช้พลังทั้งหมดเต็ม 100% เธอกลัวว่าจะพลั้งมือฆ่าคนพวกนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ

โม่อ้ายลี่เช็ดน้ำตาและยืนหลบอยู่หลังมู่หรงเสวี่ย เธอหลบอยู่หลังเสี่ยวเสวี่ยแล้วปล่อยให้เธอสู้อยู่คนเดียวแบบนี้ได้ยังไงกัน? อีกอย่างเสี่ยวเสวี่ยเองก็อยากที่จะช่วยเธอ เพราะครอบครัวของเธอทำให้เธอเองก็ได้เรียนทักษะการป้องกันตัวมาบ้างเหมือนกัน

“นังผู้หยิงชั้นต่ำสองคนนี้นิ อยากจะตายหรือไง ถ้ายอมที่จะทำให้ลูกพี่ฉันมีความสุข บางทีฉันอาจจะยกโทษให้!” เด็กหนุ่มที่อยู้ใกล้ๆพูดออกมาอย่างร้ายกาจ

“ฝันไปเถอะ” โม่อ้ายลี่พูด

เด็กหนุ่มที่อยู่ห่างออกไปลุกขึ้นมาพร้อมทั้งพูดออกมาอย่างดุดัน “ยังมัวยืนนิ่งหาอะไรกันอยู่อีกล่ะ? จับนังสองตัวนั่นมาสิ นังบ้ากล้ามาทำร้ายฉันเหรอ วันนี้ฉันจะทำให้พวกเธอต้องมาร้องอ้อนวอนฉันเลยคอยดู!” เขากุมหน้าอกและไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก

“ถ้ายังไม่ยอมก็จะต้องโดนลงโทษ และฉันจะทำให้เจ็บหนักเลยด้วย…”

“โอ๊ย!”

“ปัง”

“โอ๊ย!”

มู่หรงเสวี่ยไม่รอให้พวกนั้นพูดจบ เธอโบกมือออกไปทันที ในตอนนี้คนพวกนั้นนอนกองอยู่กับพื้นและร้องครวญครางไม่หยุด โม่อ้ายลี่รู้สึกตกใจกับภาพที่ได้เห็นก่อนที่ตัวเองจะได้เริ่มซะอีก

หลังจากนั้นสักพัก โม่อ้ายลี่ก้เพียงถามออกมา “เสี่ยวเสวี่ย เธอไปเรียนวิชานี้มาตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย มันร้ายกาจมากเลยนะ!” น้ำเสียงยังคงแหบแห้งแต่ดวงตากลับเปล่งประกายสดใส

มุ่หรงเสวี่ยรู้สึกโล่งอกขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเธอดูเหมือนจะหายดีแล้ว อย่างไรก็ตามมันก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยกัน “ฉันจะเล่าให้ฟังทีหลัง จัดการขยะพวกนี้ก่อนเถอะ…” เธอชี้นิ้วไปที่พวกเด็กหนุ่มเมื่อกี้ พวกเธอค่อยๆเดินตรงเข้าไปหาพวกคนที่นอนกองอยู่ที่พื้น

“นี่เธอ…นี่เธออยากจะทำอะไร?” เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าที่เพิ่งลุกขึ้นมาและต้องทรุดลงไปกับพื้นอีกครั้งเพราะขาที่อ่อนปวกเปียก

มู่หรงเสวี่ยเลิกคิ้วขึ้นซึ่งดูกลับตาลปัตรกันไปหมด

“พวกนาย ไอ้พวกเลวต้องไปที่สถานีตำรวจแล้วมอบตัวซะ!” โม่อ้ายลี่เตะทุกคนไปคนละทีอย่างไร้ความปรานี

มู่หรงเสวี่ยถาม “เธอคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้ดี เธอจะโทรแจ้งไหม?” เพราะโม่อ้ายลี่โตมาในครอบครัวทหารและนักการเมือง จึงน่าที่จะมีคนรู้จักที่พอจะจัดการเรื่องนี้ได้

โม่อ้ายลี่พยักหน้า แล้วจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา

“ขอโทษนะคะคุณป้าที่โทรมารบกวน…”

“หนูเข้าไปที่สถานีตำรวจไม่ได้เพราะเด็กเกินไป”

“ขอร้องนะคะ…”

คนพวกนี้ชอบที่จะรังแกเด็กสาวที่อยู่ลำพังคนเดียว พวกเขาจะเล็งเด็กสาวที่ดูอ่อนแอ รังแกได้ง่ายเป็นพิเศษ พวกนี้ทำแบบนี้มาแล้วหลายครั้งและเด็กสาวพวกนั้นก็กลัวจนไม่กล้าที่จะไปแจ้งตำรวจ เด็กบางคนก็กลัวว่าคนอื่นจะรู้เรื่อง บางคนก็เด็กเกินไปและไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย คนพวกนี้จึงยังลอยนวลมาได้จนถึงตอนนี้

“เงียบไปเลย! ไม่งั้นโดนอีกแน่” มู่หรงเสวี่ยมองเหล่าเด็กหนุ่มที่อ้อนวอนขอความเมตตาและนอนร้องโหยหวนอยู่ที่พื้น แล้วสายตาเธอก็แวบประกายของการไม่ยกโทษให้ เมื่อกี้ท่าทางของคนพวกนี้ดูช่ำชองอย่างมากและไม่รู้ว่าทำแบบนี้กับเด็กสาวคนอื่นด้วยหรือเปล่า แล้วเธอจะปล่อยสารเลวพวกนี้ไปได้ยังไง

หลังจากนั้นสักพัก รถตำรวจสองสามคันก็ขับเข้ามา คันที่เร็วที่สุดขับตรงเข้ามาหามู่หรงเสวี่ยและโม่อ้ายลี่ แล้วโม่หลิวเฟิงก็ลงมาจากรถ

เขาเดินเข้ามาหาคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าอย่างเป็นห่วงแล้วกอดที่ไหล่ของพวกเธอ “พวกเธอไม่เป็นไรนะ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” หลังจากที่พูดจบ เขาก็มองคนทั้งสองตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าพวกเธอไม่มีบาดแผลอะไร

“พวกเราไม่เป็นไรค่ะ ว่าแต่คนพวกนี้อยากให้พวกเราไปบริการพวกเขาอย่างดี! แล้วก็บอกว่าจะพาไปเลี้ยงเหล้าด้วย…” โม่อ้ายลี่เอาคำที่คนพวกนี้พูดก่อนหน้านี้มาพูด

สีหน้าของโม่หลิวเฟิงขรึมขึ้นมาทันที ก่อนที่รถตำรวจคันอื่นจะเข้ามา เขาก็ใช้ความว่องไวของตัวเองจัดการคนพวกนี้ให้ลงไปกองกับพื้นอีกครั้งแล้ว

จู่ๆเด็กหนุ่มพวกนั้นก็ร้องโหยหวนกันน้อยลงและมีสามคนที่สลบไปเลย เมื่อตำรวจคันอื่นมาถึง โม่หลิวเฟิงก็อธิบายอาชญากรรมที่เด็กหนุ่มพวกนี้ก่อนแล้วจึงหันมามองพวกเธอทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างๆ “พวกเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?!”