ตอนที่ 561 เช็ดผม
อวี้อาเหราเดินตามเขาไป
เตาไฟใต้เก้าอี้นวมตัวยาวส่งเสียงลั่นเปรี๊ยะ เพียงได้ยินแต่เสียงก็รู้แล้วว่าต้องอบอุ่นเป็นอย่างมาก
ฉู่ป๋ายยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดผมให้นาง เส้นผมของนางนุ่มสลวย และผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ก็ยังนุ่มมาก
เขาเช็ดผมอย่างเงียบๆ นางเองก็นิ่งเงียบ ทำให้บรรยากาศก็เงียบไปมาก
ฉู่ป๋ายเช็ดผม บางครั้งสายตาของเขาก็มองไปที่พื้นซึ่งมีเตาไฟวางตั้งอยู่ เมื่อผ่านไปนานก็เหมือนเพิ่งจะหาเสียงของตัวเองเจอ จึงเอ่ยถามว่า “วันนี้ได้ยินมาว่าเจ้าทำอาหารที่เรียกว่าหม้อไฟให้ไทเฮาเสวย นั่นเป็นอาหารชนิดใดกัน?”
“เจ้าอยากรู้หรือ” อวี้อาเหราเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจ ก่อนจะตกใจขึ้นมา “แต่วันนี้เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าทำหม้อไฟ เจ้าแอบดูข้ามาตลอดเลยหรือ?”
“ข้าแอบดูเสียที่ไหน” ฉู่ป๋ายหัวเราะเพราะคำพูดของนาง “หากข้าจะดู เหตุใดจะต้องแอบมองอยู่ทางด้านนอกด้วยเล่า ข้าก็เข้าไปดูซึ่งๆ หน้าเลยสิ”
“เจ้าก็พูดมีเหตุผลไม่ใช่น้อย” อวี้อาเหราฟังแล้วก็พยักหน้า แต่นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยอยู่ดี “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าทำหม้อไฟให้ไทเฮา อย่ามาบอกข้าว่าเจ้าเดาไปเรื่อยเปื่อย ข้าไม่เชื่อหรอก”
หม้อไฟเป็นอาหารที่มีเฉพาะในยุคปัจจุบัน ฉู่ป๋ายไม่มีทางรู้แน่ นอกเสียจากว่าเขาจะรู้เพราะว่านางทำหม้อไฟให้ไทเฮา
แต่ตอนนั้นมีเพียงจวินเสวียนจีและจวินไหวโหรว และยังมีเหล่านางกำนัลและขันทีกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่มีทางเอาไปพูดส่งเดชแน่ และจากนั้นก็ไม่มีใครได้ยินเรื่องหม้อไฟมาก่อนเลย ทว่าฉู่ป๋ายกลับรู้จัก หากไม่ใช่ว่าเขาแอบดู เช่นนั้นก็คงมีคนที่เห็นแล้วไปบอกเขา
ฉู่ป๋ายไม่ได้ตอบคำของนาง ทำเพียงยิ้มน้อยๆ
ดูแล้วเขาก็คงมีหูมีตาอยู่ในวังหลวงเป็นแน่ หรือไม่ก็เป็นคนในตำหนักรู่หวง นางพูดถึงหม้อไฟเป็นครั้งแรกที่ตำหนักรู่หวง แม้ตอนนางเดินไปที่ห้องครัวนางก็ไม่ได้พูดถึงเลยแม้แต่ครึ่งคำ เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะตัดคนที่อยู่ในห้องเครื่องหลวงออกไปได้เลย
อวี้อาเหรามองเขา ในใจก็เข้าใจขึ้นมา
ฉู่ป๋ายหัวเราะ “ได้ยินมาว่าหม้อไฟอะไรนั่นอร่อยยิ่งนัก กำลังคิดว่าครั้งหน้าจะให้เจ้าลองทำให้ชิมเสียหน่อย”
“เหตุใดข้าต้องทำให้เจ้ากินด้วย?” อวี้อาเหรากลอกตามองค้อน
ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วขึ้น “ไม่ใช่ทำให้ข้า แต่เกอเอ๋อร์นั้นชอบกินของเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร และหม้อไฟนี้ยังส่งกลิ่นหอมชวนกิน หากทำให้นางกิน แน่นอนว่านางจะต้องชอบมาก”
อวี้อาเหราสบถออกมา แม้ว่าจะบอกว่าให้เห็นแก่หน้าของฉู่เกอ นางก็ไม่เห็นว่าจะมีความจำเป็นใด
ฉู่ป๋ายชะงัก “จริงสิ ได้ยินว่าเจ้าทะเลาะกับองค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” อวี้อาเหราชะงักไปอีกครั้ง ราวกับว่านางไม่อาจปิดบังอะไรให้พ้นไปจากสายตาของเขาได้เลย ในวังมีคนเป็นหูเป็นตาให้เขากี่คนกันแน่ เขาก็ช่างมีอำนาจลึกล้ำเกินกว่าที่นางจะจินตนาการได้
รอยยิ้มของฉู่ป๋ายบางเบา “เรื่องที่ข้าอยากรู้ ข้าก็หาวิธีจนรู้จนได้นั่นล่ะ”
อวี้อาเหรามองเขาด้วยความสงสัย มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาเข้ามาถึงตำหนักรู่หวง แล้วยังถามขึ้นมาในฉับพลัน
ฉู่ป๋ายว่า “วันนี้ฝ่าบาทมีเรื่องด่วนจึงเรียกข้าเข้าวัง หลังจากนั้นตอนที่กำลังจะกลับ ก็คิดถึงเจ้าที่ถูกไทเฮาเรียกตัวเข้ามาเรียนศิลปะสตรีอยู่ที่ตำหนักรู่หวง เช่นนั้นจึงคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ได้ไปถวายพระพรไทเฮาเสียนานแล้ว เช่นนั้นจึงลองไปดูสักครั้ง จะได้ถือโอกาสดูด้วยว่าเจ้าเรียนถึงไหนแล้ว”
“อ้อ” อวี้อาเหราเข้าใจ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
หลังจากนั้นนางก็จ้องเขาตาโต เหตุใดนางถึงต้องถูกบังคับให้เรียนดีดพิณเล่า ส่วนเขากลับเดินกร่างไปทั่ว เขาถูกฝ่าบาทกักบริเวณอยู่มิใช่หรืออย่างไร? เช่นนี้ไม่ยุติธรรมเลยแม้แต่น้อย!
ตอนที่ 562 นอนในที่ไม่คุ้น
นางกำหมัดแน่น หลังจากผ่านไปสักพัก นางก็พยายามที่รวบรวมสติแล้วถามขึ้น “ในเมื่อเจ้าพูดว่าจะไปถวายพระพรไทเฮา แล้วเหตุใดไม่ไปเล่า”
เมื่อได้ยินดังนั้น ฉู่ป๋ายก็หันหน้ามาในทันที มองมาด้วยสายตางุนงงแฝงแววค้นหาอยู่เป็นนาน แววประหลาดที่ไม่รู้ความหมายกำลังรวมตัวอยู่ในสายตาของเขา ราวกับเป็นพลังงานระเบิดที่ก่อตัวขึ้นแล้วพร้อมจะระเบิดออกอย่างไรอย่างนั้น แต่มันก็มีอยู่เพียงชั่วครู่ เมื่อเขากะพริบตาแล้ว สายตาเขาก็คืนสู่สภาพปกติ
“เจ้าจ้องข้าทำไมกัน ข้ากำลังถามเจ้าอยู่นะ” อวี้อาเหราถูกมองเสียจนทำตัวไม่ถูก
มุมปางของฉู่ป๋ายยกโค้งขึ้นน้อย แล้วค่อยๆ ราบเรียบเช่นเดิม “ก็ไม่อยากไป”
อวี้อาเหราไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไรดี เมื่อคิดถึงภาพที่นางถูกจวินฉางอวิ๋นตรึงเอาไว้ที่กำแพงแล้วฉู่ป๋ายเข้ามาเห็นพอดีนั้น ตอนนั้นสีหน้าของฉู่ป๋ายดูดุร้ายไม่น่ามองยิ่งนัก อีกทั้งยังทำให้บรรยากาศรอบๆ ตัวเย็นขึ้นอีกด้วย เหมือนกับในตอนนี้ที่นางสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บที่แผ่ออกมาจากที่ใดก็ไม่ทราบ
ฉู่ป๋ายดูไม่เหมือนคนที่กำลังโกรธเลย แต่ยิ่งเขานิ่งสงบเช่นนี้ ยิ่งไม่พูดไม่จาเช่นนี้ บรรยากาศกลับยิ่งเย็นเยียบลงกว่าเดิม
อวี้อาเหราส่ายหน้าออกมา พยายามไล่ความคิดเมื่อครู่นี้ให้ออกไป
เมื่อเห็นท้องฟ้าด้านนอก นางก็เอ่ยถามเสียงเบาว่า “ผมแห้งแล้วหรือยัง”
“แห้งแล้ว” น้ำเสียงของเขาแผ่วบางกว่านางหลายเท่า อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความเหน็บหนาวเย็นชา
อวี้อาเหรารู้ตัวว่าปัญหาของจวินฉางอวิ๋นนี้ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรอจนฉู่ป๋ายเช็ดผมนางจนแห้งแล้ว นางจึงค่อยลุกยืนขึ้นจากตั่งที่นั่ง จากนั้นฉู่ป๋ายเองก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน นางเข้าใจจุดมุ่งหมายของเขาในทันที สีหน้าของนางเปลี่ยนไป “เจ้าก็นอนตรงนี้เถอะ”
“ไม่” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า “ข้าชินกับการนอนที่เตียง”
เขาตอบออกมาอย่างจริงจัง ราวกับทุกอย่างนั้นเป็นไปตามที่เขาพูดจริงๆ
อวี้อาเหราคร้านที่จะสนใจเขาเสียแล้ว จากนั้นก็เดินไปทางเตียงนอน
ฉู่ป๋ายเดินตามหลังนางมาทีละก้าวๆ อวี้อาเหราใช้หางตาในการมองสำรวจเขาที่ทำราวกับจะนอนบนเตียงนอนเสียจริงๆ เขาเห็นท่าทีอึดอัดของนางที่กำลังยืนขวางทางเตียงนอนของตัวเอง ก่อนจะเลิกคิ้วมองตน “เจ้าอย่าแม้แต่จะคิด ข้าไม่ยอมให้เจ้านอนบนเตียงของข้าแน่ หากเจ้านอนไม่ได้จริงๆ เจ้าก็กลับจวนเซิ่นอ๋องไปเถิด”
“แต่ข้าเหนื่อยเสียจน…” ฉู่ป๋ายแสร้งทำสีหน้าลำบากใจ
อวี้อาเหราแค่นหัวเราะ “หากเจ้าเหนื่อยเสียจนไม่ไหวแล้ว ข้าจะให้พวกเจาเอ๋อร์ไปตามหานสือมาให้เอง”
“เจ้าไม่กลัวพวกนางจะรู้หรือว่าเมื่อครู่นี้เจ้าโกหก?” ฉู่ป๋ายเลิกคิ้ว พูดขึ้นอย่างขบขัน
อวี้อาเหราทำทีไม่สนใจ “ไม่กลัว ที่ข้าบอกก็คือหานสือจะมารับเจ้า พวกนางไม่มีทางสงสัยแน่ แต่หากพวกนางสงสัย แล้วเจ้าจะทำไมหรือ?”
“ได้ ในเมื่อเจ้าไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย…” ฉู่ป๋ายยังคงยิ้มอยู่ แต่เป็นรอยยิ้มที่แฝงไปด้วยความรำคาญใจ
แม้ว่าจะไม่กลัวแต่นางก็โดนเขากดดันอยู่ดี! อวี้อาเหราคิดในใจอย่างขุ่นเคือง
ฉู่ป๋ายเมินนาง เขานั่งลงที่ตั่งตัวยาว จากนั้นจึงค่อยเลิกคิ้วหนาทั้งสองข้างขึ้น “วันนี้ข้าก็ไม่ยอมไปไหน หากเจ้ามีความสามารถก็ให้คนมาหามข้าไปสิ”
“เหตุใดเจ้าถึงได้ไร้เหตุผลเพียงนี้?” อวี้อาเหราพยายามที่จะอดทนอดกลั้นต่อความโกรธ แล้วเอ่ยถามขึ้นโดยพยายามสงบอารมณ์ลง
“ไร้เหตุผลหรือ? เจ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดเถิด” ฉู่ป๋ายยังคงนั่งอยู่ที่เตียง เมื่อได้ยินคำพูดของอวี้อาเหราแล้วก็ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังถอดรองเท้า และเดินไปนอนลงบนเตียงท่ามกลางสายตาโกรธเคืองของนาง ทั้งยังเอาผ้าห่มคลุมกกายอีกด้วย
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยพูดขึ้นมาอีกว่า “มีทางเลือกให้เจ้าสองข้อ หนึ่งคือมานอนบนเตียง ส่วนข้อสองคือไปนอนที่ตั่งตัวยาว”
“เจ้า!” อวี้อาเหราโกรธเสียจนหัวเราะออกมา นางมองไปยังใบหน้าที่ไร้ยางอายของเขา “นี่เป็นห้องของข้าแท้ๆ แต่เจ้ากลับมายึดไปเช่นนี้ ไม่ยอมไปเสียที ทั้งยังนอนบนเตียงของข้าเสียอีก เจ้าที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ ก็ไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าเจ้าจะเป็นเซิ่นซื่อจื่อที่เขาร่ำลือกันจริงๆ”