ตอนที่ 759-760

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.759 – ผู้ต้องอาญา
  “นี่เจ้า!”
  เฉาหยินเฉาหยินห่าว และชายจมูกแดงร้องตะโกนด้วยความตกใจขึ้นมาพร้อมกัน พวกเขามิอาจหยุดสงสัย…
  นี่คือผู้ต้ออาญาที่พวกเขาตามหาตัวใช่หรือไม่?เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?
  และผู้เฒ่าเหลียวยังไปยืนด้านหลังราวกับข้ารับใช้น่ะรึ?
  ทั้งสามหัวใจเต้นแรงความคิดที่ไม่กล้าคาดคิดโพล่งขึ้นมาในใจ
  เป็นชายแก่จากตระกูลหยวนผู้นี้รึที่บงการผู้เฒ่าเหลียว?
  “เจ้าเป็นใคร?”
  เฉาหยินห่าวถามสีหน้าของเขามืดมัว
  ซือหยูก้มลงมองอย่างลึกซึ้งแววตาของเขาทำให้ทั้งสามหวาดกลัว
  พวกเขาต่างคิดว่ามันคือแววตาของราชาผู้ยิ่งใหญ่บรรยากาศของเขาไม่เหมือนผู้ใด
  “ข้าก็แค่คนแก่…”
  ซือหยูตอบ
  เขาหันไปมองผู้เฒ่าเหลียวด้านหลัง
  “พวกมันมาถึงแปล้วเจ้าควรพูด…”
  ผู้เฒ่าเหลียวโค้งคำนับและหยิบเอาม้วนภาพจากกระเป๋าส่งให้ซือหยู
  “นายน้อยโปรดดูสิ่งนี้”
  ซือหยูเปิดดูม้วนภาพและตกใจกับสิ่งที่เห็นม้วนภาพมีภาพคนเขียนเอาไว้ แต่ที่ทำให้เขาตกใจก็คือภาพนั้นเหมือนกับเขาทุกประการ! ในภาพมีข้อความคำโตเขียนเอาไว้ด้วย
  ผู้ต้องอาญาแก้วสิบล้านดวงจะเป็นรางวัลแก่ผู้ที่สังหารได้
  “นี่คือภาพผู้ต้องอาญาที่ตำหนักชิงวิญญาณส่งมาให้ข้าเมื่อห้าวันก่อนข้าถูกสั่งให้หาตัวคนผู้นี้ทันที…”
  “เฉาหยินบอกว่าเคยพบท่านแต่ท่านอยู่ใต้การคุ้มครองของตระกูลหยวน เขาจึงไม่อยากจะให้ศัตรูรู้ตัวก่อน ดังนั้นจึงมาขอท้าประลองเพื่อที่จะเอาตัวท่านกลับไปตำหนักชิงวิญญาณ”
  ผู้เฒ่าเหลียวส่ายหน้าเขาพูดด้วยความเสียใจ
  “นายน้อยตอนนั้นข้าจำท่านไม่ได้ โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
  ผู้เฒ่าเหลียวอยากจะสาปแช่งคนเหล่านี้…พวกโง่ในตำหนักคิดจะส่งข้ามาตายหรืออย่างไร?
  ซือหยูสงสัยเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีเพราะเขาจำได้ว่าเขาไม่เคยอยู่ที่ตำหนักชิงวิญญาณสักหนเดียว
  “ราชาเขตกลางกระจายคำสั่งมารึ?”
  ซือหยูถาม
  ผู้เฒ่าเหลียวพยักหน้าไม่แน่ใจว่าจะพูดอย่างไร
  “แต่ข้าจำได้ว่าดินแดนพรสวรรค์มีข้อบาดหมางกับเขตกลางใยราชาเขตกลางจึงออกหมายจับมาถึงตำหนักชิงวิญญาณได้?”
  ซือหยูหรี่ตาถาม
  ผู้เฒ่าเหลียวมองเฉาหยินกับอีกสองคนและตอบเบาๆ
  “ตำหนักชิงวิญญาณของพวกเราตั้งอยู่ที่ขอบแดนทั้งสองเจ้าตำหนักอยากให้พวกเราเป็นมิตรกับทั้งสองฝ่าย”
  เรื่องนี้สำคัญและชัดเจนนั่นหมายความว่าตำหนักชิงวิญญาณนั้นติดต่อกับสองด้าน สุดท้ายก็จะเข้ากับด้านที่ให้ผลประโยชน์มากกว่า
  “แล้วม้วนภาพนี้ล่ะ?มันเขียนภาพปัจจุบันของข้า แต่ราชาเขตกลางเคยเห็นแค่รูปลักษ์หนุ่มของข้าเท่านั้น ไม่มีทางที่มันจะรู้รูปลักษณ์ของข้าได้…”
  ซือหยูวิเคราะห์
  ผู้เฒ่าเหลียวหน้าแดงด้วยความละอาย
  “ภาพวาดโดยเจ้าตำหนักชิงวิญญาณเขามีพรสวรรค์วิชาโบราณ สามารถบอกได้ว่ารูปลักษณ์ของคนเมื่อผ่านไปหลายสิบปีจะเป็นอย่างไร ตราบเท่าที่ได้มองภาพวัยหนุ่ม เขาก็ทำนายรูปลักษณ์ในปัจจุบันได้ง่ายๆ”
  เจ้าตำหนักชิงวิญญาณรึ?ซือหยูแววตาดุร้าย
  “เจ้าสุนัขรับใช้นั่นยอมลงแรงขนาดนี้ติดสินบนราชาเขตกลางเชียวรึ!”
  “ภาพนี้ถูกกระจายไปมากเท่าใด?”
  ซือหยูถามด้วยความหนักใจดูเหมือนว่าเขาจะต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์อีกครั้ง
  ผู้เฒ่าเหลียวส่ายหน้าตอบ
  “ไม่มากนักตำหนักชิงวิญญาณยังคงเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนพรสวรรค์ ยังต้องติดต่อกับตำหนักโลหิต ผู้คนไม่กล้าจะช่วยราชาเขตกลางตามหาท่านอย่างเปิดเผย”
  เขาพูดต่อ
  “มีแค่ไม่กี่คนในตำหนักเท่านั้นที่มีภาพเขียนท่านข้าเป็นแค่ผู้เฒ่าศิษย์นอกคนเดียวที่รู้เรื่องนี้ คนที่รู้ก็มีเพียงผู้เฒ่าศิษย์ในทั้งเก้ากับเจ้าตำหนัก ส่วนคนอื่นนั้นยังไม่ทราบเรื่อง”
  ผู้เฒ่าเหลียวหายใจเข้าลึก
  “เราแอบหาท่านอย่างลับๆเราไม่กล้าจะบอกศิษย์ เพราะหากเรื่องกระจายออกไป ตำหนักชิงวิญญาณคงจะถูกฝั่งดินแดนพรสวรรค์ดูถูกว่าเป็นสุนัขของเขตกลาง เจ้าตำหนักโลหิตเองก็คงจะเข้าละเลงเลือดตำหนักของเรา!”
  ตามที่คำนวญคงจะมีไม่มากกว่าสิบคนในตำหนักชิงวิญญาณที่รู้ข่าว และไม่มีใครกล้าบอกศิษย์ของตน เพราะเมื่อข่าวแพร่งพราย ชะตาอันมืดมิดก็จะรอเขาอยู่ นั่นก็คือการล้างสังหารจากตำหนักโลหิต!
  ตำหนักโลหิตคือหนึ่งในสองสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งดินแดนพรสวรรค์ดังนั้นพวกเขาจึงปกครองทุกสำนักในอาณาเขต ตำหนักชิงวิญญาณก็เป็นส่วนหนึ่ง และถ้าหากสำนักย่อยของตำหนักโลหิตเป็นสำนักที่เลือกวิถีอสูร การปฏิบัติต่อกันก็ย่อมไร้เมตตา
  ดูเหมือนว่าจะมีไม่กี่คนที่รู้เรื่องประกาศจับนี้ซือหยูสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย ตราบเท่าที่เขาไม่เจอผู้เฒ่าศิษย์ในตำหนักชิงวิญญาณ เขาก็ปลอดภัย
  แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจ้าตำหนักชิงวิญญาณร่วมมือกับราชาเขตกลางการเขียนภาพของเขาทำให้ซือหยูตกอยู่ในอันตราย ซือหยูไม่อภัยให้แน่
  สุดท้ายเขาจึงได้รู้ว่าเพราะเหตุใดเฉาหยินจึงทำให้เขาไม่สบายใจมากนักเป็นเพราะว่าทุกอย่างถูกเปิดโปงออกมาแล้ว และอันตรายก็อยู่ตำตา!
  แต่ตราบใดที่ซือหยูไม่เข้าใกล้ตำหนักชิงวิญญาณคนเหล่านั้นก็มิอาจพบเจอเขาได้ คนในเทือกเขาครามที่รู้เรื่องนี้ก็มีอยู่ไม่มาก…นั่นก็คือผู้เฒ่าเหลียว เฉาหยินกับพ่อ ชายจมูกแดง กับเหล่าคนอารักขา
  ผู้เฒ่าเหลียวสั่นไปทั้งตัวเขาหน้าซีด ไม่กล้าแม้จะหายใจเมื่อรอคำสั่งจากซือหยู
  “เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไร?”
  ซือหยูถามหลังจากจิบชาอึกใหญ่
  ผู้เฒ่าเหลียวกัดฟันตอบ
  “ฆ่าพวกมันไม่ให้ข้อมูลแพร่งพราย!”
  ซือหยูตอบอย่างใจเย็น
  “เจ้ารู้อยู่แล้วว่าต้องทำอย่างไรแล้วเหตุใดยังไม่จัดการอีก? จงจำไว้ว่าอย่าให้ใครนอกจากเจ้ารอดชีวิต!”
  คำพูดสุดท้ายทำให้ผู้เฒ่าเหลียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะมันสื่อว่านายน้อยของเขาจะไว้ชีวิตเขา ความหวาดกลัวถูกวาดบนใบหน้าเฉาหยินห่าวและคนที่เหลือ เพราะสถานการณ์ในตอนนี้เป็นที่ชัดเจนแล้ว!
  “เราต้องหนี!เร็วเข้า! ผู้เฒ่าเหลียวย้ายข้างแล้ว เราจะต้องไปบอกตำหนักชิงวิญญาณเดี๋ยวนี้!”
  เฉาหยินห่าวหวาดกลัวมาก
  ชายแก่ที่ให้บรรยากาศไม่เหมือนผู้ใดคนนี้เคยต่อสู้กับราชาเขตกลางมาก่อนนั่นหมายความว่าเขาคือหนึ่งในราชาที่เคยปกครองทั้งเก้าเขต!
  ฟึ่บ!
  ทั้งสามรีบพุ่งออกจากโถงหลักไปในคนละทิศทางมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะบอกข่าวได้ทันเวลา! ผู้เฒ่าเหลียวเป็นกังวลเมื่อมองคนทั้งสามที่หนีไป
  สถานการณ์ค่อนข้างเป็นปัญหาเขาไม่แน่ใจว่าจะจัดการทุกคนอย่างไร เพราะเฉาหยินห่าวกับชายจมูกแดงก็มิอาจประมาทได้
  แต่แสงสีเลือกกลับเปล่งประกายออกมาเฉาหยินห่าวกับอีกสองคนที่เพิ่งจะหนีถูกย้ายตัวกลับมาที่เดิมด้วยพลังมิติ
  “พลังมิติ?”
  ผู้เฒ่าเหลียวตกใจกลัวเขาไม่รู้เลยว่าซือหยูมีกระบวนท่าเช่นนี้อยู่! แต่เขาก็สบายใจแล้วเพราะทั้งสามคนที่เขาต้องฆ่าได้หมดทางหนี
  เฉาหยินห่าวกับอีกสองคนขนลุก…นี่มันพลังเทพอะไรกัน?
  เฉาหยินห่าวกัดฟันมองผู้เฒ่าเหลียวและพุ่งเข้าใส่
  “มาสู้กันซะ!ถ้าขวางได้จนคนข้างนอกรู้ตัว พวกนั้นก็จะส่งกำลังเสริมมา เขาจะเอาชนะได้!”
  ผู้เฒ่าเหลียวขมวดคิ้วเขาไม่มั่นใจเลยว่าจะสังหารทั้งสามได้ก่อนกำลังเสริมจะมาหรือไม่
  “เร็วสิ!”
  ซือหยูที่นั่งอยู่กับที่พูดอย่างใจเย็น
  ผู้เฒ่าเหลียวรู้สึกขมขื่นในใจ…ซือหยูจงใจทำให้เขาเจอกับเรื่องยาก!
  แต่ผู้เฒ่าเหลียวไม่มีเวลาให้คิดนักเพราะต่อมาก็ได้มีแสงสีม่วงฉายมาจากด้านหลัง มันกระจายทั่วพื้นที่ กักขังเวลาของทุกสิ่งภายใน แม้แต่ฝุ่นก็หยุดนิ่งในโดยพลัน
  เฉาหยินกับอีกสองคนยังคงทำท่าป้องกันตัวอย่างเดิมทั้งสามขยับไม่ได้ราวกับหุ่นเชิด! พวกเขาติดอยู่ในห้วงการไหลของเวลา
  “ลังเลอะไรอยู่?”
  เสียงดังมาจากด้านหลังผู้เฒ่าเหลียวเขาสั่นไปทั้งกาย
  เขาแทบจะไม่เชื่อว่าซือหยูสร้างมิติที่เวลากับมิติหยุดนิ่งได้!นี่คือพลังที่อสูรเนรมิตรครอบครองเท่านั้น และเขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีคนที่มีพลังควบคุมเวลา!
  ความหวาดกลัวต่อซือหยูพุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดเขาไม่หวังจะเป็นอิสระจากซือหยูอีกแล้ว
  ผู้เฒ่าเหลียวพุ่งเข้าใส่ทั้งสามคนขณะตะโกน
  “พวกเจ้าตายก็ยังดีกว่าข้าตาย!ขอโทษ แต่ข้าไม่มีทางเลือก…”
  ปั้ง!
  ผู้เฒ่าเหลียวรวมพลังอสูรที่ปลายดัชนีตัดคอทั้งสามคนหัวของทั้งสามกระเด็นลอย!
  พลังเวลาสลายไปหัวทั้งสามที่ลอยค้างมองรอบๆอย่างหวาดกลัว ไม่นานสติพวกเขาก็หลุดลอย พวกเขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ในพริบตา ผู้นำทั้งสองแห่งพันธมิตรปรุงยาพร้อมลูกชายได้หมดลมหายใจ!
  ซือหยูยืนขึ้นเดินออกจากโถงแต่ละย่างก้าวหลงเหลือเพียงเงาร่าง ไม่นานทั้งโถงก็เต็มไปด้วยเงาร่างของเขา
  สายลมพัดปลิวเงาร่างทั้งหมดหายไป แม้แต่ซือหยูเองก็หายไปด้วย เหลือเพียงเสียงเบาๆลอยตามลม
  “กำจัดคนที่เหลือที่รู้เรื่องให้หมด”
  เมื่อได้ฟังคำสั่งสายตาผู้เฒ่าเหลียวเยือกเย็นขึ้น เขาเตรียมจะฆ่าล้างพันธมิตร…
  ตระกูลหยวนรอคอยใจจดจ่อท้องนภาเหนือตำหนักเต็มไปด้วยยอดฝีมือนับไม่ถ้วน ด้านในตำหนักมียอดฝีมืออีกหลายคนที่คุ้มกันเรือนของหยวนหยิงหยิง แม้แต่แมลงก็มิอาจผ่านทางได้
  ทั้งตระกูลหยวนตึงเครียดเพราะรู้ว่ากำลังจะต้องทำสงครามครั้งใหญ่ทุกคนตั้งแต่เจ้าตระกูลจนถึงข้ารับใช้รอคอยอย่างเป็นกังวลต่อพันธมิตรปรุงยาที่จะมาล้างแค้น
  พวกเขาได้ข่าวว่าพันธมิตรปรุงยารวบรวมยอดฝีมือจำนวนมากและจะมาจู่โจมพวกเขายามย่ำค่ำนี่เป็นเหตุใหญ่เพราะทั้งสองขุมกำลังมิได้ทำสงครามกันมาเกินกว่าร้อยปี! ค่ำคืนนี้จะเป็นคืนที่มิอาจนอนหลับและลืมเลือนได้ต่อคนเทือกเขาคราม
  ถนนทุกสายเงียบเชียบทุกคนหนีไปหาที่ซ่อนอันปลอดภัยเพื่อหลบเลี่ยงสงครามระหว่างสองสำนัก ถนนขณะนี้รกร้างมีเพียงเสียงหวิวลม
  บรรยากาศของตำหนักหยวนเงียบราวป่าช้าไม่นานแสงตะวันก็ได้หายลับไปแทนที่ด้วยความมืด กองเพลิงถูกจุดขึ้นในตำหนักหยวน มันส่องแสงสว่างไปทั่วทุกที่
  ผู้คนรอคอยการต่อสู้อันโหดร้ายและยาวนานพวกเขารอคอยไปอีกสามชั่วยาม เมื่อถึงเวลานี้ ความเป็นค่ำคืนได้จางหาย สุริยากลับมาบนขอบนภาอีกครั้ง
  “ท่านเจ้าตระกูลมีบางอย่างแปลกๆ ข้าไม่เห็นความเคลื่อนไหวในคืนนี้เลย พวกมันใช้วิธีประหลายทำให้พวกเราไม่ทันระวังตัวหรือไม่?”
  ทหารคนหนึ่งถาม
  กล้ามเนื้อบนใบหน้าเจ้าตระกูลหยวนกระตุกเขารออย่างหงุดหงิด เขาตบกำปั้นบนโต๊ะอย่างแรงมาหลายครั้งแล้ว
  “หุบปาก!พวกเจ้ารอเงียบๆไม่ได้เรอะ?”
  ทหารก้มหน้าด้วยความอับอายและไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้นเขาไม่อยากจะมองตาเจ้าตระกูลหยวนในตอนนี้เลย
  “รอต่อไปก่อนอย่าได้ประมาท พวกมันจะลงมือหลังจากที่เราคิดว่าตัวเองปลอดภัย”
  เจ้าตระกูลหยวนกล่าว
  หลังพูดจบผู้คนก็เห็นด้วยกับเขา พวกเขาทำได้แค่รักษากระบวนทัพและรอคอยอย่างอดทน
  ทันใดนั้นเองคนผู้หนึ่งได้ปรากฏบนถนนอันว่างเปล่าและเงียบเชียบ ทหารที่คอยสอดส่องบนฟ้าเห็นการมาของเขาในทันที
  ทุกคนในตระกูลหยวนตั้งท่าพวกเขาสงสัย…
  ใครกันที่ปรากฏตัวในตอนนี้?เรื่องนี้ไม่น่าวางใจ…
  “ดูเหมือนจะเป็นชายแก่คนนั้นนะ…คนที่นายหญิงสองพามา!”
  เขารึ?เจ้าตระกูลหยวนกลอกตา
  “ให้เขาเข้ามาเมื่อวานหยิงหยิงเป็นห่วงเขาจนเกือบจะร้องไห้อยู่แล้ว”
DND.760 – ชางก่วนหยุนซื่อ
  ข้ารับใช้ตระกูลหยวนนับถือและอิจฉาข้ารับใช้ของนายหญิงสองในอดีต ตอนที่นายหญิงสองโดนดูถูก พวกเขาไม่เคยริษยาชายแก่คนนี้มาก่อน ไม่ว่านางจะปฏิบัติต่อเขาดีอย่างไร
  นั่นก็เพราะตระกูลมิได้สนใจนางพวกเขาไม่ได้ประโยชน์ในการรับใช้นาง แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว เพราะนายหญิงสองได้กลายเป็นยอดฝีมือที่เปล่งประกายที่สุดในตระกูล มีความเป็นไปได้ว่านางจะเป็นศิษย์ในของตำหนักชิงวิญญาณ
  ตอนนี้ทั้งตระกูลปฏิบัติต่อนางดั่งองค์หญิงเลอค่าตำแหน่งของข้ารับใช้นางย่อมสูงขึ้นมากกว่าเหล่านายน้อยจากตระกูลรอง
  ซือหยูที่เป็นจุดสนใจเข้าไปที่ตำหนักตระกูลหยวน
  “เมื่อคืนเจ้าไปไหนมา?”
  เจ้าตระกูลหยวนถามเขาด้วยความโกรธแต่เขาก็ยั้งใจตัวเองเอาไว้เพราะไม่กล้าจะตำหนิซือหยูมากนัก เพราะซือหยูได้อยู่กับลูกสาวของเขาในตอนที่นางถูกเหยียดหยาม
  ซือหยูตอบ
  “ข้าแค่ไปจัดการธุระให้นายหญิง”
  เขาหันไปมองเหล่ายอดฝีมือที่กระวนกระวาย
  “ที่นี่เกิดอะไรขึ้นรึ?พวกเจ้าเจอผีมารึไง!”
  เจ้าตระกูลหยวนมองเขาที่ยังมีอารมณ์พูดแบบนั้นในสถานการณ์ตึงเครียดด้วยความรำคาญ
  “รีบเข้ามาเร็วพันธมิตรปรุงยากำลังจะมาแล้ว”
  ซือหยูตกใจ
  “อะไรกัน?พันธมิตรปรุงยารึ? ข้าเพิ่งได้ยินว่ามันยุ่งเหยิงไปหมด นักปรุงยาชั้นต้นของพันธมิตรแบกของมีค่าหนีไปแล้ว!”
  เจ้าตระกูลหยวนอยากจะบีบคอซือหยูให้ตาย…ชายแก่ผู้นี้ไม่มีความคิดถึงขั้นนี้เลยรึ? นี่ไม่ใช่เวลาจะมาเล่นตลกพูดพล่อยๆ!
  ซือหยูส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง
  “ข้าไม่เคยโกหก…”
  เจ้าตระกูลหยวนไม่สนใจเขาและโบกมือ
  “รีบเข้ามาซะ!”
  ตอนนั้นเองชายสวมชุดสีน้ำเงินได้บินมาจากบนฟ้า เขาคือหนึ่งในสายลับที่ส่งไปยังพันธมิตรปรุงยาเพื่อสอดส่องความเคลื่อนไหว
  “ท่านเจ้าตระกูลมันน่ากลัวนัก! เพลิงมอดไหม้ทั่วทั้งตำหนักพันธมิตร ยอดฝีมือของพันธมิตรวุ่นวายไปหมด ตอนที่ข้าออกมา พวกมันยังขโมยของมีค่าก่อนจะหนีอีก!”
  สายลับรายงาน
  “อะไรนะ?เจ้าพูดอีกทีซิ!”
  เจ้าตระกูลหยวนกระชากคอเสื้อสายลับเขามิอาจเชื่อสิ่งที่ได้รับรายงาน
  สายลับที่เดินทางมาโดยตลาดเหนื่อยล้าเมื่อถูกเจ้าตระกูลลากคอก็เกือบจะเป็นลม
  “แค่ก!แค่ก!… พวกมันต่อสู้กันเอง หลายคนหลบหนี”
  ไม่นานก็มีอีกสี่คนบินมาจากคนละทิศทางแต่ละคนมาบอกสิ่งที่เกิดขึ้นในแบบเดียวกัน หลังจากนั้นเจ้าตระกูลหยวนถึงได้เชื่อ
  ถ้าหากมีคนรายงานคนเดียวเขาก็คงจะสงสัย แต่ถ้าหากมีหลายคนมารายงานแบบเดียวกัน มันก็แน่ชัดแล้วว่าพันธมิตรปรุงยากำลังเกิดเรื่อง
  “พวกเจ้าแบ่งคนครึ่งส่วนมากับข้าถ้าหากเป็นเรื่องจริง ตระกูลหยวนของเราจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่”
  เจ้าตระกูลหยวนข่มใจที่เต้นแรงและนำคนไปยังพันธมิตรปรุงยา
  เมื่อไปถึงพวกเขาได้เห็นเหตุการณ์ที่ตรงตามรายงานไม่ผิดเพี้ยน เพลิงมอดไหม้ภายในตำหนักพันธมิตร สมาชิกหลายคนออกหนี บางคนเป็นถึงนักปรุงยาชั้นต้น
  ปึ่บ!
  เจ้าตระกูลหยวนจับตัวนักปรุงยาคนหนึ่งและถามเสียงดัง
  “เกิดอะไรขึ้น?ไอ้แก่สองตัวนั่นอยู่ที่ไหน?”
  นักปรุงยาชั้นต้นตอบอย่างไม่สู้ดี
  “ท่านเจ้าตระกูลหยวนช่วยข้าด้วย!เฉาหยินห่าวกับคนที่เหลือถูกฆ่าตายหมดแล้ว! แม้แต่ญาติหรือคนรับใช้ก็ตายหมด ยอดฝีมือของพันธมิตรถือโอกาสก่อกบฏปล้นของมีค่า คนของข้าถูกสังหารหลายคน มันวุ่นวายไปหมดแล้ว!”
  เจ้าตระกูลหยวนเบิกตากว้าง…พวกนั้นตายหมดแล้วรึ?
  ถ้าไม่เห็นกับตาหรือได้ยินกับหูก็คงไม่เชื่อข่าวนี้!ผ่านไปครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะกลับมาได้สติ เขาตาลุกวาว
  เขาประสานมือหัวเราะชอบใจ
  “ฮ่าๆๆๆๆ…เฉาหยินห่าว…พันธมิตรปรุงยาก็มีวันวิปโยคเหมือนกัน!”
  เขาปล่อยพลังชีวิตออกมาพร้อมตะโกนเสียงดัง
  “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้!ทรัพย์สินกับคนของพันธมิตรปรุงยาทั้งหมดถือว่าเป็นของข้า ใครที่กล้าชิงแก้วไปแม้แต่ดวงเดียวจะถูกตามล่าตัว!”
  “ทหารยึดพันธมิตรปรุงยาซะ ฆ่าทุกคนที่ฝ่าฝืน”
  เจ้าตระกูลหยวนนำยอดฝีมือมากมายเข้าเข่นฆ่าทุกคนที่ขัดขืนขณะที่ปกป้องสมบัติกับจับนักปรุงยาชั้นต้นที่ล้ำค่าเอาไว้ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ในยามเที่ยงวัน พวกเขาควบคุมพันธมิตรได้หมดจด
  “ผู้เฒ่าปั่วจินอยู่นี่ก่อนข้าจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
  หลังเจ้าตระกูลหยวนเข้ามาที่โถงเขาก็เห็นหัวทั้งสามทันที
  เขาเบิกตากว้าง…สามคนนี้…ถูกสังหารในพริบตารึ?
  เฉาหยินห่าวกับชายจมูกแดงเป็นภูติระดับหกทั้งคู่มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แต่สองคนก็ตายไปแล้ว! นั่นทำให้เขาตกใจ
  “ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ใดกันที่มาจู่โจม?”
  เจ้าตระกูลหยวนครุ่นคิด
  “แล้วตระกูลข้าล่ะ?”
  เขาหัวใจเต้นแรงอีกครั้งเขารีบกลับไปยังตำหนักตระกูลและพบบุตรสาวคนโตยืนอยู่ในสวน นางดูน่าสงสารยิ่งนัก
  “หวังปี่เจ้ามาทำอะไรที่นี่? ทำไมไม่ไปช่วยผู้เฒ่าปั่วจัดการทรัพย์สินเล่า? เจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ดีมิใช่รึ…”
  แต่ดูเหมือนหวังปี่จะไม่ได้ยินเขาเลยความชิงชังและความหวาดกลัวกลับปรากฏในดวงตา
  “ฝีมือเขา…เขาทำ…เขาเป็นคนทำ”
  นางเห็นซือหยูเดินไปทางพันธมิตรปรุงยากับตาตัวเองและในคืนเดียวกัน พันธมิตรปรุงยาได้ถูกทำลาย! มันจะเป็นเรื่องบังเอิญรึ? คนที่ทำก็คือเขา!
  นางหวาดกลัวพลังของซือหยูและนางยังโศกเศร้าที่อ่อนแอเกินไปจนมิอาจล้างแค้นได้
  “หวังปี่เจ้าเป็นอะไร?”
  เจ้าตระกูลหยวนจับไหล่นางด้วยความเป็นห่วง
  พอถึงตอนนั้นนางจึงได้สตินางรีบชักสีหน้า
  “ท่านพ่อข้าไม่เป็นไร”
  “ถ้าเหนื่อยก็ไปหาน้องเจ้าสิชื่อเสียงเงินทองถึงล้ำค่า แต่สายสัมพันธ์และความรักในครอบครัวประเมินค่ามิได้…”
  เจ้าตระกูลกล่าว
  สายสัมพันธ์และความรักในครอบครัวประเมินค่ามิได้?หยวนหวังปี่ท่องในใจ นางยังรักพ่ออยู่ แต่ความชิงชังในใจนั้นมีให้แก่หยวนหยิงหยิง
  “ย่อมได้แต่ท่านพ่อ ยังมีเรื่องที่ข้าต้องบอกท่าน ข้าหวังว่าท่านพ่อจะตัดสินใจอย่างหนักแน่น”
  เจ้าตระกูลหยวนตกใจกับน้ำเสียงจริงจังของนาง
  “สิ่งใดรึ?”
  หยวนหวังปี่แววตาเย็นชาขึ้นเล็กน้อย
  “ข้าเคยถูกซือหยูเซี่ยนล่วงเกินข้าไม่เคยบอกใครนอกจากเสี่ยวเถาเพราะไม่อยากให้ตระกูลชางก่วนรับรู้ มิเช่นนั้นการหมั้นหมายคงจบลง”
  ความโกรธปรากฏในแววตาเจ้าตระกูล
  “อะไรนะ?เขาทำแบบนั้นกับเจ้ารึ? ทำไมเจ้าไม่บอกให้เร็วกว่านี้?”
  “ท่านพ่อสิ่งที่ท่านต้องทำตอนนี้คือรับมือกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไป เหตุใดเราไม่กำจัดเขาก่อนข่าวจะแพร่งพรายออกไปเล่า?”
  ความโหดร้ายฉายแววในดวงตาอันเยือกเย็นด้วย
  กำจัดรึ?เพลิงแค้นในแววตาของเจ้าตระกูลดับมอดลง เขามองหยวนหวังปี่และถาม
  “เขาทำอะไรเจ้ากันแน่?ก่อนจะพูดจงจำว่าข้าคือพ่อเจ้า ข้ารู้จักเจ้าดี อย่าคิดโกหกข้า!”
  เจ้าตระกูลหยวนรู้ว่าบุตรสาวเจ้าอุบายเพียงใดหยวนหวังปี่ก็รู้ว่าพ่อนางชิงชังการโดนหลอกแค่ไหน ดังนั้นหยวนหวังปี่จึงได้แต่ขบริมฝีปาก แม้นางอยากจะบิดเบือนเรื่องราว นางก็เคารพคำสั่งของพ่อและบอกเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
  เมื่อได้ฟังเรื่องราวความโกรธทั้งหมดหายไป เขาครุ่นคิด
  “คงเป็นเรื่องเข้าใจผิดแววตาชายแก่ผู้นั้นสดใสสัตย์ซื่อ คนผู้นั้นมีคุณธรรม มิใช่คนตัณหากลับในสายตาข้า…”
  “ท่านพ่อมิอาจตัดสินคนเพียงรูปลักษณ์…ไม่ใช่รึ…”
  หวังปี่ไม่ยอมลดละ
  แต่เจ้าตระกูลหยวนได้พูดต่อทันที
  “แม้จะเป็นเช่นนั้นนั่นก็หาใช่เหตุผลในการสังหาร! แต่เจ้าสบายใจได้ เดี๋ยวข้าจะไปสืบเรื่องเอง”
  หยวนหวังปี่เป็นกังวล
  “ท่านพ่อเราไม่มีเวลาอีกแล้ว! ถึงจะไม่ฆ่า ท่านพ่อก็ควรไล่เขาออกไป! ถ้าเรื่องความบริสุทธิ์ของข้าถูกทำให้มัวหมองเผยออกไป ข้าก็จะแต่งงานกับตระกูลชางก่วนไม่ได้อีกแล้ว!”
  เจ้าตระกูลหยวนตอบอย่างผิดหวัง
  “ถึงเจ้าจะแต่งงานกับตระกูลนั้นไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเจ้าตระกูลชางก่วนหนักใจกับเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะจะต้องเจอกับการต่อต้านของคนในตระกูลแน่”
  “ส่วนตระกูลหยวนเราขจัดปัญหาหมดสิ้นแล้วเรายังมีคนมากพรสวรรค์อย่างน้องเจ้า ถึงจะไม่แต่งงาน ตระกูลของเราก็ยังรุ่งเรืองต่อไปได้ และแม้หากตระกูลชางก่วนไม่แต่งงานกับเจ้าเพราะเรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อย เช่นนั้นคู่หมั้นผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเจ้า”
  หยวนหวังปี่แววตามืดมน…อนาคตของข้าไม่มีค่าใดต่อท่านพ่อเลยรึ?เขามีแค่หยวนหยิงหยิงในใจหรือไงกัน?
  นางทั้งโกรธและโศกเศร้าเมื่อวิ่งหนีหายไปจากสวน
  เจ้าตระกูลหยวนเป็นห่วงนางเลยสั่งให้ทหารสองคนแอบตามไป
  “ก้าวข้ามเรื่องนี้ให้ได้เถอะหวังปี่…”
  หยวนหวังปี่วิ่งไม่มองทิศทางเมื่อได้สติก็เห็นว่าตัวเองได้ออกมาจากเทือกเขาครามแล้ว ดวงตาแดงก่ำเพราะความชิงชังซือหยู หยวนหยิงหยิง และแม้แต่พ่อตัวเอง ไม่มีใครคิดช่วยนางเลย
  “ซือหยูเซี่ยน…หยวนหยิงหยิง…มันจะไม่จบแบบนี้แน่!”
  หยวนหวังปี่ตะโกนลั่นฟ้า
  คำพูดของนางดังก้องจากนั้นจึงมีเสียงอันอ่อนโยนดังตามมา
  “หึหึคู่หมั้นแห่งตระกูลชางก่วนถูกรังแกจนถึงขั้นนี้เชียวรึ?”
  หยวนหวังปี่ตกใจมากนางหันกลับไปและเบิกตากว้าง
  “นายน้อยชางก่วน?”
  คนที่นางพบคือชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดขาวพร้อมกับมงกุฎหยกเขาดูหล่อเหลาถึงขีดสุด ความสูงส่งของเขาไม่เหมือนผู้ใด เขาเป็นดั่งกระเรียนในหมู่ชายชาตรี
  “เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุอันใดกัน?”
  หยวนหวังปี่มองชายตรงหน้าด้วยความตกใจ
  เขาคือนายน้อยตระกูลชางก่วนและคู่หมั้นของนางชางก่วนหยุนซื่อ เพียงไม่กี่วันเขาก็มาที่เทือกเขาคราม นั่นทำให้นางแปลกใจมาก
  เขายิ้มตอบ
  “ถ้าข้าไม่มาที่นี่ข้าก็คงไม่รู้ว่าคู่หมั้นข้าถูกรังแกจนต้องหนีออกจากเรือน! ตระกูลหยวนดูถูกตระกูลชางก่วนนัก! มากับข้า ข้าจะนำพาความยุติธรรมสู่เจ้า คนเหล่านั้นต้องตอบคำถามว่าเหตุใดถึงกล้าทำกับสะใภ้ตระกูลชางก่วนเช่นนี้!”