ชาหวานบอกมายมิ้นท์อย่างยิ้มแย้มขึ้นว่า “ประธานมายมิ้นท์คะ ลาเต้อยู่ข้างหน้าค่ะ”
มายมิ้นท์พยักหน้า “ฉันได้ยินเสียงแล้ว ไปกันเถอะ พวกเราไปกันเถอะ”
“ผมเข็นเอง” ราเม็งยื่นมือมา มารถเข็นเอง
ชาหวานยักไหล่เล็กน้อย แล้วถอยที่ว่างออกให้เขา
เขาอยากเข็นก็เข็นไปซิ พอดีเลยเธอจะได้สบายขึ้นมาหน่อย
ทั้งสามคนเดินไปทางลาเต้
พอมาถึงตรงหน้าลาเต้ ลาเต้ก็จ้องมองมายมิ้นท์ “ยาหยี ไม่เลวเลยนี่ สามารถพาเจ้าเด็กราเม็งนี่กลับมาได้ด้วย”
ราเม็งเบือนหน้าไปทางอื่น ไม่อยากสนใจ
มายมิ้นท์ยิ้มแล้วก็ตอบขึ้นว่า “ก็ต้องพากลับมาอยู่แล้วซิ จะปล่อยเขาไปโดยไม่สนใจได้ยังไง อ๋อใช่แล้วลาเต้ เรื่องจิตแพทย์ที่ให้นายไปหา หาไปถึงไหนแล้ว?”
“ยังต้องหาอีกเหรอ? ก็ให้การันต์มาดูให้ก็พอแล้ว เขาก็เป็นจิตแพทย์เหมือนกัน” ลาเต้พูดขึ้นอย่างไม่จริงจังอะไร
มายมิ้นท์ขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย
พอลาเต้มองเห็นแล้ว ก็ถามขึ้นมาอย่างระมัดระวังว่า “ยาหยี คุณไม่พอใจที่การันต์จะมาเป็นจิตแพทย์ของเจ้าเด็กนี่เหรอ?”
“เปล่า ก็ให้เขามาเป็นนะแหละ” มายมิ้นท์ส่ายหน้าตอบกลับไป
ที่จริงในตอนแรก เธอก็ไม่ค่อยอยากจะให้การันต์มารักษาจริง ๆ
เพราะคนอย่างการันต์ เป็นคนที่แปลกประหลาดอยู่หน่อย ๆ ถ้าจะให้เขามาเป็นจิตแพทย์ของราเม็ง เธอก็รู้สึกไม่ค่อยวางใจเท่าไหร่
แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่าการันต์นั้น เป็นจิตแพทย์ที่ดีมาก ๆ คนหนึ่ง เพราะฉะนั้นให้การันต์มาลองรักษาดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร
“ก็ได้ งั้นเดี๋ยวผมติดต่อเขาไปนะ” พูดแล้ว ลาเต้ก็มองไปทางราเม็ง “เจ้าเด็กน้อย รับการรักษาให้ดี ๆ นี่มันเป็นความหวังดีต่อแก ไม่งั้นถ้ายังปล่อยไว้แบบนี้ต่อไป ตัวแกจะโดนตัวเองทำลายไปแล้วนะ”
ดวงตาของราเม็งสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นก็เบือนหน้าหนีไปอีกทางหนึ่ง “ผมรู้แล้ว”
“รู้ก็ดีแล้ว ไปกันเถอะ รถจอดอยู่ด้านนอก” ลาเต้ยื่นมือไป ลากกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งที่อยู่ในมือชาหวานมา
ชาหวานมองเขาอย่างซาบซึ้งไปทีหนึ่ง “ประธานลาเต้ คุณนี่เป็นคนดีจริง ๆ รู้จักช่วยแบ่งเบาภาระให้ฉันด้วย”
ลาเต้หัวเราะเหอะ ๆ ให้เธอสองคำ “ถ้าต่อไปคุณไม่เอาผมไปล้อเล่นละก็ ผมจะดีกับคุณยิ่งกว่านี้อีกนะ”
แล้วคนทั้งกลุ่มก็พูดคุยเฮฮากันไปและเดินที่ลานจอดรถ
ไม่นาน ก็มาถึงโรงพยาบาลนิวเวอร์
ลาเต้ส่งตัวราเม็งเข้าไป แล้วก็มอบให้กับการันต์ไป
มายมิ้นท์ไม่ได้ไปด้วย นั่งรออยู่ในรถ
รอไปประมาณสิบกว่านาที ลาเต้ก็กลับออกมาแล้ว
พอมายมิ้นท์ได้ยินเสียงเขาขึ้นมานั่ง ก็ถามขึ้นว่า “เป็นยังไงบ้างคะ?”
“การันต์ยอมรับราเม็งเป็นคนไข้แล้ว แล้วก็จะเริ่มให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจให้กับเขาตั้งแต่วันนี้เลย ที่สำคัญการันต์บอกว่า ปัญหาทางจิตของราเม็งค่อนข้างรุนแรง จนเกือบจะถึงขั้นเป็นโรคหลายบุคลิกแล้ว เพราะฉะนั้นเวลาที่ใช้ในการรักษาก็อาจจะค่อนข้างนานหน่อย ที่สำคัญยังต้องเข้าสู่กระบวนการรักษาอีกหลายขั้นตอน จึงอาจจะต้องใช้เวลาสองถึงสามปีถึงจะรักษาหายได้” ลาเต้นวดหัวคิ้วเล็กน้อย แล้วพูดพึมพำไป
มายมิ้นท์ถอนหายใจ “สองสามปีนี่ก็นานจริง ๆ แต่ถ้าสามารถรักษาหายได้ก็ถือเป็นเรื่องดี ก็ค่อยเป็นค่อยไปละกัน”
“ก็คงทำได้แค่แบบนี้แหละ” ลาเต้พยักหน้า จากนั้นก็เริ่มขับเคลื่อนรถยนต์ออกไป “ยาหยี คุณจะกลับไปที่โรงพยาบาลเรด้า หรือว่ากลับคอนโดพราวฟ้า?”
“กลับคอนโดพราวฟ้าเถอะ ตอนนี้หัวฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เหลือแต่ตามองไม่เห็นเท่านั้น คงจะไม่ต้องไปนอนที่โรงพยาบาลตลอดหรอก ไว้ไปตรวจตามเวลานัดก็พอแล้ว เต้ เดี๋ยวนายช่วยไปที่โรงพยาบาลเรด้า แล้วไปช่วยฉันทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลหน่อยนะ” มายมิ้นท์รวบรวมความคิดกลับมาแล้วตอบกลับไป
ลาเต้หมุนพวงมาลัยไป “ได้ แล้วทางด้านเจินเจิน คุณกะว่าจะจัดการเมื่อไหร่กัน?”
“วันนี้แหละ ยิ่งเร็วยิ่งดี” มายมิ้นท์หรี่ตาลง แล้วพูดเสียงเย็นขึ้น “รูปวาดของเจินเจินที่นายส่งมาให้ฉัน ฉันได้ส่งให้กับทางตำรวจแล้ว หลังจากที่ทางนั้นตามตัวพนักงานของนายไปสอบปากคำแล้ว ก็คงจะไปตามเจินเจินที่บ้านตระกูลภักดีพิศุทธิ์แล้วล่ะ”
“คุณส่งให้ตำรวจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ลาเต้สงสัย
“ตอนที่นายส่งราเม็งเข้าไปในโรงพยาบาลนิวเวอร์ไง” มายมิ้นท์ตบกระเป๋าที่อยู่บนขาเล็กน้อย
ชาหวานที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งข้างคนขับหันหน้ามาพูดแทรกขึ้น “ฉันช่วยประธานมายมิ้นท์ส่งไปเองค่ะ”
“ใช่” มายมิ้นท์ยิ้มเล็กน้อย
ไม่นาน ก็มาถึงคอนโดพราวฟ้าแล้ว
ลาเต้และชาหวานพยุงมายมิ้นท์เข้าไปในบ้าน
อยู่ ๆ ลาเต้ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วก็เสนอขึ้นว่า “ยาหยี หรือไม่เดี๋ยวผมช่วยหาแม่บ้านมาให้คุณสักคนเถอะนะ ก่อนที่ตาคุณจะหายดี ให้อยู่ช่วยดูแลคุณที่นี่ก่อน ไม่งั้นคุณอยู่ตัวคนเดียว ผมไม่วางใจเลย”
“ความคิดนี้ของประธานลาเต้ไม่เลวเลยค่ะ” ชาหวานเองก็เห็นด้วย
มายมิ้นท์นั่งลงบนโซฟา “ฉันรู้ ฉันก็เคยคิดอยู่เหมือนกัน แต่ว่ายังไม่ได้ติดต่อกับบริษัทจัดหาแม่บ้านเลย”
อาการที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้ จำเป็นที่จะต้องหาแม่บ้านมาสักคนจริง ๆ
ช่วงนี้ เธอไปบริษัทไม่ได้ จึงต้องอยู่บ้านเท่านั้น ถ้าไม่มีแม่บ้าน เธอก็ไม่ทางที่จะดูแลตัวเองได้เลย
จะให้ชาหวานหรือว่าคนอื่น ๆ มาคอยดูแลเธออยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้หรอก?
“งั้นเดี๋ยวผมติดต่อให้เอง ตระกูลภูวดินทร์ทำเรื่องเกี่ยวกับบริษัทจัดหาแม่บ้านอยู่ แล้วไอ้อ้วนชินก็เป็นเพื่อนนักเรียนของผม เดี๋ยวผมไปหาเขาเอง เขาจะต้องจัดหาคนที่มีประวัติใสสะอาดให้แน่นอน ที่สำคัญยังเป็นแม่บ้านซื่อสัตย์อีกด้วย แบบนี้พอคุณเอามาอยู่ด้วยแล้ว ก็ไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องปัญหาแม่บ้านเลย” ลาเต้ตบหน้าอกพูดอย่างรับประกันขึ้นมา
มายมิ้นท์รับแก้วน้ำที่ชาหวานยื่นมาให้ “ก็ได้ งั้นก็ฝากนายด้วยนะ”
“เรื่องเล็ก อย่างช้าที่สุดก็คงช่วงหัวค่ำ แม่บ้านก็คงจะมาถึงแล้ว” ลาเต้พูดขึ้น
พอคำพูดของเขาจบลง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา
ลาเต้ล้วงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วจ้องมองเล็กน้อย แล้วก็ยิ้มขมขื่นขึ้นมาคำหนึ่ง “ยาหยี ผมคงจะต้องขอตัวกลับก่อนนะ เดี๋ยวต้องไปงานสังคมงานหนึ่งน่ะ”
“งั้นก็ไปเถอะ ที่นี่ฉันยังมีชาหวานอยู่ นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” มายมิ้นท์ดื่มน้ำไปคำหนึ่งแล้วก็พูดขึ้นมา
ชาหวานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถือรีโมตเปลี่ยนช่องทีวีไป พอได้ยินคำพูดนี้ก็พยักหน้าขึ้นมา “ใช่ มีฉันอยู่ ก่อนที่แม่บ้านจะมา ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนประธานมายมิ้นท์ตลอดเลยค่ะ”
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็วางใจแล้ว ยาหยี ผมไปก่อนนะ” ลาเต้เก็บโทรศัพท์ให้เรียบร้อย แล้วก็จากไปเลย
มายมิ้นท์หันหน้ามา เปิดปากพูดกับชาหวานที่อยู่ข้าง ๆ ขึ้นว่า “ช่วยโทรศัพท์หาทามทอยให้ฉันหน่อยซิ”
ชาหวานรับโทรศัพท์ไป แล้วค้นหาเบอร์โทรของทามทอยออกมาแล้วก็กดโทรออกไป “ได้แล้วค่ะ”
“ขอบใจ” มายมิ้นท์รับโทรศัพท์มา แล้วเอามาวางแนบหูไว้
พอโทรติดแล้ว เสียงทามทอยกำลังหาวก็ดังลอยเข้ามา “มายมิ้นท์ โทรหาผมมีเรื่องอะไรเหรอ?”
“คุณกำลังนอนอยู่เหรอ?” มายมิ้นท์ขมวดคิ้วถามขึ้น
ทามทอยหัวเราะเบา ๆ คำหนึ่ง “ก็ใช่นะซิ เมื่อคืนงานยุ่งจนถึงเช้า นี่เพิ่งจะนอนตอนสิบเอ็ดโมงสาย ๆ นี่เอง”
ช่างสาย ๆ สิบเอ็ดโมง แล้วตอนนี้ก็เพิ่งจะบ่ายสองโมงกว่า
ซึ่งก็หมายความว่า เขาเพิ่งได้นอนไปสามชั่วโมงกว่าเอง
“ขอโทษด้วยนะ ทำคุณตื่นเลย” มายมิ้นท์ขอโทษขึ้นมาอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
ทามทอยลุกขึ้นมานั่งจากเตียง “ไม่ใช่หรอก ผมก็ควรจะตื่นได้แล้วล่ะ อีกเดี๋ยวยังมีงานอื่นต้องไปทำอีก มีเรื่องอะไรก็พูดมาเถอะ”
“คืออย่างนี้ ฉันอยากสิ้นสุดแผนการสอดแนมตระกูลภักดีพิศุทธิ์แล้ว เพราะว่าฉันอยากขจัดเจินเจินทิ้ง” มายมิ้นท์เม้มเรียวปากแดงไว้แน่น แล้วพูดด้วยเสียงขรึม
ทามทอยกะพริบตาขึ้นอย่างตกตะลึง “ทำไมล่ะ? พวกเรายังไม่ได้เริ่มให้เจินเจินทำอะไรเลย ทำไมถึงจะสิ้นสุดแผนการนี้แล้วล่ะ?”
“เพราะว่าเจินเจินหนอนบ่อนไส้คนนี้ ได้หักหลังพวกเราแล้ว ในตอนแรกที่พวกเราส่งเธอเข้าไปในบ้านตระกูลภักดีพิศุทธิ์นั้น ลืมนึกไปว่าคนเราต้องมีความโลภกันทั้งนั้น ในช่วงที่เจินเจินอยู่ในบ้านตระกูลภักดีพิศุทธิ์มานี้ ก็ได้โดนชีวิตที่ร่ำรวยสุขสบายทำให้ลุ่มหลงไป เธอจึงไม่พึงพอใจที่จะเป็นแค่ชวนชมตัวปลอมอีกแล้ว เธออยากจะอยู่ในตระกูลภักดีพิศุทธิ์ตลอดไป และอยากจะเป็นชวนชมตัวจริงแล้ว”
“อะไรนะ?” ทามทอยโดนคำพูดชุดนี้ของมายมิ้นท์ ทำให้ตกใจจนทั้งตัวโง่ไปเลย “เธอ……นี่เธอมีความคิดแบบนี้เหรอ มายมิ้นท์ คุณรู้ได้ยังไง?”
“ตอนแรกฉันก็ไม่รู้หรอก จนฉันสืบหาจนชัดเจนแล้วว่า แผลบาดเจ็บที่หัวฉันนั้น เธอเป็นคนลงมือตีเอง ฉันถึงรู้เรื่องนี้ขึ้นมา” มายมิ้นท์พูดขึ้นมา
มาคราวนี้ ทามทอยเชื่อเธออย่างสนิทใจเลย
เพราะว่าเธอไม่มีเหตุผลที่จะมาปรักปรำเจินเจิน แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาปรักปรำเจินเจินด้วย
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า เจินเจินได้หักหลังพวกเขาไปแล้วจริง ๆ
“สมควรตายจริง ๆ!” ทามทอยทุบขอบเตียงไปอย่างโกรธจัดทีหนึ่ง สีหน้าดูย่ำแย่มาก เหมือนกับว่ามีคนมาตบหน้าเขาแรง ๆ ฉาดหนึ่งยังไงอย่างงั้น
มันก็โดนคนตบหน้าจริง ๆ ไม่ใช่เหรอ?
เพราะว่าเขาเป็นคนหาตัวเจินเจินมาเอง แผนการสอดแนมนี้ เขาก็เป็นคนเสนอออกมา แต่ปรากฏว่าการสอดแนมยังไม่ทันได้เริ่มต้นเลย ก็มาหักหลังพวกเขาซะแล้ว
นี่จะให้เขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน!