จูเสวียนเอ๋อ เจ้ากระต่ายและหนูทองคำถูกเรียกออกมาจากหอคอยทมิฬ จากนั้นกลุ่มของพวกเราก็เริ่มเดินทางกลับ
ในระหว่างที่เดินทางกลับ หลิงฮันก็พยายามทำความเข้าใจรูปแบบอาคมมังกรน้ำแข็งทลายปฐพี
นี่คือรูปแบบอาคมระดับสิบไม่ผิดแน่ ตามหลักแล้วจากพลังบ่มเพาะของหลิงฮันในตอนนี้ไม่มีทางฝึกฝนมันได้ แต่หลิงฮันนั้นเคยศึกษารูปแบบอาคมของดาบสังหารมาก่อน ซึ่งรูปแบบอาคมของดาบสังหารนั้นทรงพลังกว่ารูปแบบอาคมมังกรน้ำแข็งทลายปฐพีเสียอีก
เขาเป็นคนที่ฉลาดและเป็นอัจฉริยะ ในชีวิตที่แล้วเขาเคยพบเจอและทำลายรูปแบบอาคมระดับเก้าตามโบราณสถานต่างๆมานับไม่ถ้วน ดังนั้นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบอาคมระดับสิบของเขาจึงเป็นไปอย่างราบรื่นและรวดเร็ว
นอกจากนี้ตั้งแต่ที่เดินทางมาถึงภูมิภาคเหนือเขาก็รวบรวมแร่เหล็กหลากหลายชนิดอยู่เช่นกัน
เขากว้านซื้อแร่เหล็กทุกชนิดที่เขาพบเจอ
อย่าดูถูกทรัพยากรทางการเงินของเขาเชียว!
ในหอคอยทมิฬมีสมุนไพรปลูกเอาไว้มากมาย ถ้าเขานำโสมโลหิตราชามังกรทรราชออกมาขาย เกรงว่าแม้แต่นิกายใหญ่ของจอมยุทธระดับตัวอ่อนวิญญาณในภูมิภาคเหนือคงต้องขุดบ้านของตัวเองขึ้นมาขาย แต่แน่นอนว่าหลิงฮันไม่คิดจะขายโสมโลหิตราชามังกรทรราชที่เขามีอยู่
เขาหาเงินโดยการหลอมเม็ดยาขาย ถ้าหากไม่มีเวลาเขาก็นำสมุนไพรที่มีอยู่จำนวนมากออกมาขายแทน จากนั้นเงินที่ได้มาทั้งเขาเปลี่ยนพวกมันให้กลายเป็นแร่เหล็ก
ภายในหอคอยทมิฬ หลิงฮันนำชามพลิกสวรรค์ออกมาและหลอมแร่เหล็กให้บริสุทธิ์
ระดับหนึ่งเปลี่ยนเป็นระดับสอง ระดับสองเป็นระดับสาม ระดับสามเป็นระดับสี่… หลิงฮันใช้ชามพลิกสวรรค์หลอมแร่เหล็กจำนวนมากให้กลายเป็นแร่เหล็กที่มีระดับสูงขึ้น
เวลาผ่านไปไม่นาน นิกายตาข่ายพงไพรก็เลือกที่จะยอมจำนน จากนั้นก็ตามด้วยนิกายอสูรจักรพรรดิ ขุมอำนาจเดียวที่เหลืออยู่คือขุมอำนาจของหุบเขาโลหิตจรัสแสง
หลังจากใช้จ่ายไปเป็นเงินมหาศาล ในที่สุดหลิงฮันก็หลอมแร่เหล็กระดับสิบได้สำเร็จ เขาคาดการณ์คร่าวๆว่าแร่เหล็กทั่วทั้งภูมิภาคเหนือคงถูกเขากว้านซื้อมาเกือบครึ่งแล้ว การกระทำเช่นนี้แม้แต่นิกายใหญ่ของภูมิภาคเหนืออย่างนิกายจันทราครึ่งเสี้ยวและนิกายจันทราเหมันต์ก็ไม่อาจทำได้
หลิงฮันหลอมแร่เหล็กระดับสิบให้กลายเป็นดาบสั้นหนึ่งร้อยแปดเล่ม ที่จริงแล้วเขาก็อยากจะหลอมให้ดาบมีขนาดปกติ แต่แร่เหล็กระดับสิบมีปริมาณน้อยเกินไปจนเขาต้องลดขนาดของดาบลง
ที่ต้องเป็นหนึ่งร้อยแปดเล่มก็เพราะมันคือจำนวนที่ต้องใช้สำหรับรูปแบบอาคมมังกรน้ำแข็งทลายปฐพี
ขั้นตอนต่อไปคือกุญแจสำคัญ เขาต้องสลักรูปแบบอาคมลงไปที่ดาบสั้นเหล่านั้น
หลิงฮันยังไม่เข้าใจหลักของรูปแบบอาคมมังกรน้ำแข็งทลายปฐพี ถ้าเขาฝืนสลักมันลงไป รูปแบบอาคมที่ไม่สมบูรณ์จะไม่สามารถชักนำพลังจากสวรรค์และปฐพีได้ ดาบสั้นเหล่านั้นก็จะไม่ต่างอะไรกับฝักดาบที่ไร้วิญญาณดาบ ตอนนี้หลิงฮันทำได้แค่เพียงรอให้ตนเองเชี่ยวชาญรูปแบบอาคมก่อนถึงจะสลักมันได้
หลิงฮันมั่นใจในตัวเองมาก เขาเชื่อว่าเวลานั้นอีกไม่นานจะต้องมาถึง
กลุ่มของพวกเขามุ่งหน้าไปยังหุบเขาโลหิตจรัสแสง ผู้นำที่มีพลังบ่มเพาะเพียงตัวอ่อนวิญญาณไม่ใช่เรื่องยากที่พวกเขาจะสยบ แต่กลับกันมันถือว่าเป็นอะไรที่เสียเวลาด้วยซ้ำ เพราะภูมิภาคเหนือก็ไม่ใช่เล็กๆแต่พวกเขาต้องเสียเวลาเดินทาง
ในระหว่างการเดินทางพวกเขาไม่ได้หยุดพักกินอาหารแม้แต่น้อย ฮูหนิวทนไม่ไหวและบอกให้หลิงฮันหยุดพักกินข้าว หลิงฮันคำนวณคร่าวๆว่าพวกเขาน่าจะเดินทางถึงหุบเขาโลหิตจรัสแสงในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นหากจะหยุดพักคืนนี้ก็ไม่เสียหายอะไร
‘ตูม!’
แต่ในตอนที่พวกเขากำลังพักผ่อนอยู่นั่นเอง คลื่นลมอันน่าสะพรึงกลัวก็พุ่งจู่โจมใส่หลิงฮัน
จังหวะในการลอบโจมตีครั้งนี้เหมาะเหม็งเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่หลิงฮันกำลังกินอาหารอยู่ แต่เขายังอยู่ในช่วงอารมณ์ที่ผ่อนคลายที่สุดด้วย พลังทำลายล้างของการลอบโจมตีน่าสะพรึงกลัวมาก มันรุนแรงๆพอๆกับการโจมตีของระดับสวรรค์ขั้นปลาย
‘พรึบ’ ร่างของหลิงฮันกลายเป็นสายฟ้าและหลบหลีกการลอบโจมตี
‘ปัง ปัง ปัง’ เขาไม่สามารถหลบหลีกได้ทั้งหมด ซี่โครงซ้ายของเขาได้รับบาดเจ็บ เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดและมองเห็นรอยนิ้วสีดำเกิดจากการโจมตี ไม่เพียงแค่รอยนิ้วทั้งห้านี้จะมีสีดำแต่มันยังส่งกลิ่นแปลกๆออกมาราวกับมีพิษ
“ใครกัน!” ร่างเล็กๆของฮูหนิวพุ่งเข้าใส่พุ่มหญ้าพุ่มหนึ่ง
‘ฟุบ ฟุบ’ ร่างสองร่างกระโจนออกมา หนึ่งร่างคือร่างเล็กๆของฮูหนิว อีกร่างคือชายร่างสูงที่สวมชุดคลุมสีดำ ออร่าของเขานั้นราวกับว่าจะสามารถกลมกลืนและผสานเข้ากับความมืดได้
ชายชุดดำตรงหน้าไม่ใช่ภาพลวงตา ไม่เช่นนั้นด้วยสัมผัสสวรรค์ของหลิงฮันและฮูหนิว เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้ตัวว่ามีใครเคลื่อนที่เข้ามาใกล้พวกเขาเช่นนี้ นอกเสียจากว่าชายตรงหน้าจะเป็นตัวตนระดับทลายมิติ แต่เห็นได้ชัดว่าชายตรงหน้านั้นไม่ได้มีพลังบ่มเพาะระดับทลายมิติ
จอมยุทธระดับทลายมิติไม่จำเป็นต้องลอบโจมตีพวกเขา ตัวตนเช่นนั้นสามารถจัดการพวกเขาได้เพียงแค่หนึ่งฝ่ามือ
หลิงฮันเรียกฮูหนิวให้กลับมาก่อนจะกล่าว “เจ้าดักรอพวกเรามานานแล้ว?”
“เก้าวันเต็ม” ชายชุดคลุมดำกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งและแหบแห้งอย่างที่ไม่สามารถอธิบายความรู้สึกออกมาได้
“มีความอดทนเสียจริง!” หลิงฮันกล่าวชม แม้อีกฝ่ายจะหวังสังหารเขา แต่การที่อีกฝ่ายรอคอยจังหวะที่ดีที่สุดในการลงมือนั้นแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายมีความอดทนขนาดไหน “ไม่รู้ว่าข้าจะเรียกเจ้าว่าอะไรดี?”
ชายชุดคลุมดำดึงผ้าคลุมหัวออกเผยให้เห็นใบหน้าอันอ่อนเยาว์ แต่หลิงฮันมีความรู้สึกแปลกๆ นั่นเพราะกลิ่นอายที่อีกฝ่ายปลดปล่อยออกมานั้นดูเหมือนกับชายชราไม่ผิดเพี้ยน แถมแขนของอีกฝ่ายก็ยังเต็มไปด้วยรอยย่นอีก
“ชื่อของข้าคือศพที่สอง” ชายชุดคลุมดำกล่าว
ศพที่สอง? ชื่อประหลาดนั่นมันอะไรกัน?
“เจ้ามาจากนิกายพันศพ?” หลิงฮันถามอีกครั้ง
ศพที่สองยิ้มและกล่าว “ชื่อของข้าช่างเลวร้ายเสียจริง เมื่อพูดออกไปใครๆก็เดาได้ว่าข้าเป็นใคร”
“งั้นเจ้าก็เปลี่ยนซะสิ” หลิงฮันหัวเราะ
“ลืมไปเถอะ ไม่ว่าใครจะรู้ข้าก็ไม่สน” ศพที่สองกล่าวอย่างไม่สนใจ
จากการสนทนาของทั้งสอง ใครจะไปนึกว่าเมื่อครู่ศพที่สองคือคนที่ลอบโจมตีเพื่อหวังสังหารหลิงฮัน