บทที่ 432 คุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นหมอ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“เจ้าหนุ่มนี่โผล่มาจากไหนกันแน่? ถึงขั้นใช้การฝังเข็มพลังชี่เป็น?”

“เป็นไปไม่ได้? เขาอายุแค่เท่าไหร่เอง!”

“หรือว่า เขาจะเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์แพทย์ที่ไม่ออกจากเขาอะไรทำนองนั้น?”

ชายชราชุดราชวงศ์ถังพูดทิ้งบอม ทำให้ทุกคนค่อยๆส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันออกมา

ในทางกลับกัน สีหน้าพึงพอใจของลู่โหย่วจื้อได้หายไปแล้ว และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าอึมครึม

เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเย่เทียนไม่เพียงแค่สามารถรักษาอาการป่วยของลุงคนนั้นได้ เขายังรู้จักการฝังเข็มพลังชี่อีกด้วย!

เขาไม่อยากจะเชื่อ แต่เขารู้สถานะของชายชราชุดราชวงศ์ถังดี แม้เขาเป็นศิษย์ของว่านชิงเฟิง ก็ไม่กล้าถามอะไรทั้งนั้น!

จนถึงตอนนี้ในที่สุดเขาก็คิดได้ เข้าใจแล้วว่าทำไมว่านชิงเฟิงถึงเรียกเย่เทียนว่าหมอเทพเย่ คงเห็นถึงฝีมือการฝังเข็มพลังชี่ของเขาแล้ว?

“สารเลว เขาจะใช้การฝังเข็มพลังชี่เป็นได้ยังไง? ถ้าเขาใช้เป็นคงดีมากๆ!”

ลู่โหย่วจื้อคับแค้นในใจ ไม่มีกะจิตกะใจกับการแข่งครั้งนี้แล้ว คิดแค่ว่าอยากออกไปจากที่ที่ทำให้เขาขายหน้าแห่งนี้โดยเร็วที่สุด

เพียงแต่ลู่โหย่วจื้อเพิ่งหันไป ก็เห็นเงาดำๆแวบหนึ่งผ่านหน้า แล้วมีร่างร่างหนึ่งมาขวางทางเขาไว้

จะเป็นใครได้อีกนอกจากเย่เทียน?!

“คุณมายืนทำไมตรงนี้? ยังไม่รีบหลีกให้ผมอีก! ”

ลู่โหย่วจื้อลนลาน แต่ก็กลับมาปกติอย่างรวดเร็ว พลางพูดตำหนิด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“คุณยังมีหน้ามาถามผมอีกเหรอว่าจะทำอะไร?”

เย่เทียนส่ายหัวไปมา กระตุกยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ผมอยากถามคุณว่า เมื่อกี้คุณเห็นผู้ป่วยอาการผิดปกติ ทำไมต้องตะโกนเรียกคนเสียงดังด้วย?”

“ผะ ผมนึกว่าคุณรักษาผิดพลาด ผมกลัวเกิดอะไรขึ้น ก็ต้องเรียกคนให้มาดูสิ!”

ลู่โหย่วจื้อไม่คิดว่าตัวเองผิดสักนิด มีท่าทางว่ามันสมเหตุสมผลแล้ว

“คุณยังคิดว่าตัวเองไม่ผิดอีกเหรอ?”

เย่เทียนเลิกคิ้วพลางพูดเสียงดัง:“ในฐานะที่คุณเป็นหมอคนหนึ่ง พบว่าผู้ป่วยมีอาการผิดปกติ ปฏิกิริยาแรกของคุณไม่ใช่รีบเข้าไปตรวจ แต่กลับจงใจร้องตะโกนเสียงดังให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะผม”

“คุณไม่เห็นเหรอว่าเมื่อกี้ผู้ป่วยหายใจลำบาก? คุณให้คนเข้ามามุงเยอะขนาดนี้ทำให้อากาศถ่ายเทไม่สะดวกหรือเปล่า? พูดมาสิว่าตกลงแล้วคุณผิดไหม?!”

ดวงตาสีดำเข้มของเย่เทียนเย็นยะเยือก เขารู้ดีว่า ลู่โหย่วจื้อไม่พอใจตนเอามากๆ แต่เขาไม่ได้แคร์

แต่ลู่โหย่วจื้อกลับไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ป่วย เพียงเพราะอยากเห็นเขาขายหน้า เรื่องนี้เย่เทียนทนไม่ได้จริงๆ!

“คุณพูดอะไร?!”

ลู่โหย่วจื้อมีสีหน้าเคร่งขรึมเข้าไปอีก “ผมเห็นว่าผู้ป่วยอยู่ในสถานการณ์อันตราย ผมกลัวคุณจัดการไม่ได้เลยเรียกทุกคนมานี่ผิดเหรอ?”

“คนที่อยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่คนนอกอะไร เป็นสมาชิกสมาคมแพทย์แผนจีนทั้งนั้น มีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์มากมาย ให้พวกเขาจัดการไม่ดีกว่าเหรอ?”

“มันก็แค่ข้ออ้างของคุณ! ”

“ยังไงผมก็รู้สึกว่าการเป็นหมอคนหนึ่ง ควรมีจิตใจที่เมตตาต่อโลก แต่คุณกลับปล่อยให้ความริษยาในใจมาบดบัง ตัดสินใจอย่างไร้สติปัญญา”

“คนอย่างคุณ ไม่เหมาะที่จะเป็นหมอเลยสักนิด!”

เห็นท่าทีไร้สติของลู่โหย่วจื้อ คิ้วที่ขมวดเป็นปมของเย่เทียนกลับคลายลง

เดิมทีเขาแค่อยากกดความอวดดีของลู่โหย่วจื้อ แต่ใครจะไปคิดว่าลู่โหย่วจื้อไม่กลับใจ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วยังไม่ยอมรับผิด คนที่ไม่กล้ายอมรับผิดแบบนี้คงก่อเรื่องใหญ่เข้าสักวัน!

“คุณเป็นใคร? คุณไม่ใช่สมาชิกสมาคมแพทย์แผนจีนของเรา คุณมีสิทธิ์อะไรบอกว่าผมไม่คู่ควรกับการเป็นหมอ?!”

ลู่โหย่วจื้อชะงัก โกรธจัดเหมือนสุนัขร้อนรนข้ามกำแพงก็ไม่ปาน มองเย่เทียนด้วยตาแดงก่ำ ถ้าฆ่าเย่เทียนได้ เกรงว่าเย่เทียนคงถูกสับเป็นหมื่นๆครั้งแล้ว

คนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนเป็นสมาชิกสมาคมแพทย์แผนจีน แม้แต่ว่านชิงเฟิงอาจารย์ของเขาก็อยู่ด้วย เย่เทียนว่าเขาแบบนี้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เขาก็ขายหน้ามากๆ

“ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเจอกัน คุณก็ไม่พอใจผมแล้ว”

“อย่าคิดว่าผมไม่รู้ว่าเมื่อกี้คุณคิดจะทำอะไร คงอยากให้คนอื่นเห็นผมขายหน้า ถ้าผู้ป่วยเป็นอะไรไป คุณคงแจ้งความเรียกตำรวจให้มาจับผมสินะ?”

“คนอย่างคุณ จะไปมีจรรยาบรรณ? มีคุณสมบัติเป็นหมอได้ยังไง?!”

เย่เทียนยิ้มเยาะไม่หยุด ดุด่าเสียงดัง

ลู่โหย่วจื้อได้ยินเช่นนั้น เดี๋ยวหน้าซีดเดียวหน้าเขียวปั้ด

เมื่อกี้เขาคิดแบบนั้นจริงๆ แต่คิดไม่ถึงว่าเย่เทียนจะเดาใจเขาตรงขนาดนี้ แถมยังพูดออกมาต่อหน้าทุกคนที่จับจ้องอยู่

ไอ้สารเลวนี่รู้ได้ยังไงว่าฉันคิดอะไรอยู่? หรือเขาอ่านใจคนได้?

ลู่โหย่วจื้อลุกลี้ลุกลน เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลออกจากหน้าผากอย่างควบคุมไม่ได้ “คะ คุณพูดไร้สาระอะไร? ผมไม่ได้ไร้ศีลธรรมอย่างที่คุณพูด!”

“คุณไร้ศีลธรรมหรือเปล่า คุณรู้อยู่แก่ใจดี!”

เย่เทียนส่ายหัวไปมา ถ้าลู่โหย่วจื้อไม่ใช่หมอช่วยชีวิตคน เขาก็ไม่ได้อยากสนใจตัวตลกที่ไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับผิดแบบนี้หรอก!

“สารเลว! คุณกำลังใส่ร้าย! ใส่ร้ายป้ายสี!”

ลู่โหย่วจื้ออยากไปให้สุด“ผมอยากแข่งทักษะทางการแพทย์กับคุณ ถ้าใครแพ้ต้องรีบออกไปจากที่นี่ทันที!”

เย่เทียนได้ยินเช่นนั้นก็กวาดตามองลู่โหย่วจื้อ พลางยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยาม“ผมแข่งกันคุณไม่ได้หรอก”

“ทำไม? คุณกลัวงั้นเหรอ?”

ลู่โหย่วจื้อยิ้มเยาะ แค่พูดตอกกลับไป “กลัวแล้วก็รีบไสหัวออกไปซะ อย่าเที่ยวกัดคนอื่นไปทั่วอย่างกับหมาบ้า ไม่งั้นระวังผมจะฟ้องคุณ!”

“ในฐานะที่เป็นหมอช่วยชีวิตผู้คน พวกเราควรให้ความสำคัญกับการรักษาผู้ป่วย ไม่ใช่มาเปรียบเทียบกัน!”

เย่เทียนถอนหายใจ “นอกจากคุณจะขี้อิจฉาแล้วยังชอบเอาเปรียบด้วย ไม่เหมาะกับการเป็นหมอจริงๆ!”

“แก……”

ลู่โหย่วจื้อโกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา ชี้หน้าเย่เทียนด้วยมือสั่นเทา ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“โหย่วจื้อ! นายวุ่นวายพอรึยัง!”

มาถึงตอนนี้ ในที่สุดว่านชิงเฟิงก็ทนดูต่อไปไม่ได้ ตะโกนออกมาเสียงดัง

“อาจารย์ ยังไงผมก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นะ เขาใส่ร้ายผมนึกจะพูดอะไรก็พูดขนาดนี้ อาจารย์ที่อาวุโสกว่าต้องออกหน้าแทนผมสิ!”

ลู่โหย่วจื้อได้สติกลับมา มองไปยังว่านชิงเฟิงด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความอยุติธรรม

“ออกหน้าแทน? ฉันยังต้องออกหน้าแทนอะไรนายอีก?”

“หมอเทพเย่พูดถูก ก่อนหน้านี้ฉันมองผิดไป คนที่มีจิตใจอย่างนายไม่เหมาะที่จะรักษาผู้ป่วยอีกต่อไป!”

“นายกลับไปก่อนเถอะ! พิจารณาตัวเองให้ดีๆ เมื่อไหร่ที่นายสำนึกผิดได้แล้วค่อยมาหาฉัน!”

สีหน้าว่านชิงเฟิงเปลี่ยนเป็นสีเขียวปั้ด เย่เทียนพูดมีเหตุผล เขายังจะเชื่อลู่โหย่วจื้อได้ที่ไหนกัน?

ลู่โหย่วจื้อใจกระตุกวูบ ปกติที่เขามีหน้ามีตาใหญ่โตได้ขนาดนี้ก็เพราะอาศัยชื่อเสียงของว่านชิงเฟิง

ตอนนี้ว่านชิงเฟิงพูดเช่นนี้ ถ้าเขาไม่ฟัง เกรงว่าได้โดนไล่ออกจากสำนักแน่!

“อาจารย์ งั้นผมขอตัวก่อน”

คิดเช่นนั้น ถึงลู่โหย่วจื้อจะไม่เต็มใจแค่ไหนก็ต้องเก็บเอาไว้ สีหน้าแสดงความเคารพ และออกไปเหมือนสุนัขจนตรอก…