บทที่ 1147 ได้มาแบบไม่เปลืองแรง

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

บทที่ 1147 ได้มาแบบไม่เปลืองแรง โดย Ink Stone_Fantasy

ผ่านไปไม่นาน เขาก็พบว่าความคิดของตัวเองเกิดความผิดพลาดแล้ว ขณะที่ตัวอยู่บนฟ้าสูง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนของดาวดำเนินเซียน พอลองนับดูคร่าวๆ ก็พบว่าไม่มีเผิงไหลแค่สามพัน ถ้าหาแบบนี้ต่อไปก็เป็นเรื่องที่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เป็นไปไม่ได้ที่จะพบคำตอบ

ยังคงเป็นประสบการณ์หาสมบัติที่ดาวสองขั้วที่ชี้เบิกทางสว่างให้ ดูว่าจะสามารถหาสภาพพื้นที่ไหนที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนได้หรือเปล่า

หลังจากตัดสินใจแบบนี้ได้แล้ว เหมียวอี้หยุดนับเผิงไหลสามพัน ทิ้งเรื่องจำนวนภูเขาเอาไว้ก่อน แล้วเริ่มจ้องสำรวจดาวดำเนินเซียนว่ามีสถานที่ไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ เหาะวนรอบดาวดำเนินเซียนรอบแล้วรอบเล่า

ไม่รู้ว่าใช้วิธีการนี้ถูกหรือผิด แต่หลังจากใช้วิธีการนี้เป็นครั้งที่สาม จู่ๆ เหมียวอี้ก็หยุดอยู่บนท้องฟ้า พบว่าจุดดำที่ลอยอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกตรงบางแห่งด้านล่างเหมือนจะกระจุกตัวกันเยอะกว่าที่อื่นนิดหน่อย จึงพยายามใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองลงไป

เป็นอย่างที่คาดไว้ เหมือนกับสถานที่อื่นๆ เป็นภูเขาที่ลอยอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ แต่ภูเขาลูกนี้ไม่เหมือนกับที่อื่น บนภูเขาแต่ละลูกล้วนสร้างตึกรามบ้านช่องเอาไว้ สิ่งปลูกสร้างมากมายขนาดนี้ล้วนก่อสร้างอยู่บนยอดเขา คนที่สร้างผลงานใหญ่ขนาดนี้ได้ เหมียวอี้สงสัยว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าตรงนี้จะเป็นปราสาทดำเนินเซียน

เขาอยากจะลงไปสืบดูสักหน่อยว่าเป็นอย่างไรกันแน่ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนความคิด ถ้าล่วงล้ำเข้าไปในปราสาทดำเนินเซียน ดีไม่ดีอาจจะถูกไล่ออกไปจริงๆ ก็ได้ ยอดฝีมือของปราสาทดำเนินเซียนมีเยอะเหมือนเมฆบนท้องฟ้า เขาไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว

เมื่อมองสำรวจลักษณะเฉพาะข้างล่างอีกครั้ง ถ้ามสังเกตก็คงไม่เห็น พอสังเกตแล้วเห็นรางๆ ว่า ภูเขาที่กระจุกตัวอยู่เบื้องล่างเหมือนจะกระจายตัวเป็นรูปน้ำวน กระจายตัวค่อนข้างมีระเบียบ มีแค่ภูเขาที่รวมตัวกันบริเวณนี้ที่เป็นแบบนี้ การกระจายตัวของภูเขารอบข้างไม่ได้เป็นระเบียบแบบนี้

หลังจากเหมียวอี้ลอยตัวคุรุ่นคิดอยู่บนฟ้าพักหนึ่ง ก็เริ่มใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์นับภูเขาที่กระจายตัวเป็นรูปน้ำวนบริเวณนั้น

สุดท้ายปรากฏว่านับได้สามพันสามร้อยกว่าลูก จำนวนนี้ทำให้เหมียวอี้ค่อนข้างพูดไม่ออก เพราะเกินสามพันไปแล้ว ไม่รู้ว่าแบบนี้จะเรียกว่าเผิงไหลสามพันได้หรือเปล่า

หลังจากหยุดอยู่ที่เดิมครู่เดียว เขาก็เริ่มวนค้นหารอบๆ ดาวดำเนินเซียนอีกครั้ง ปรากฏว่าพอวนบนฟ้าของดาวดำเนินเซียนไปรอบหนึ่ง ก็ไม่พบสถานที่ที่โดดเด่นอะไรอีก ต่อให้เป็นสถานที่ที่โดดเด่นขึ้นมาหน่อย แต่พอนับดูแล้วถ้าไม่น้อยกว่าสามพันมากๆ ก็เยอะกว่าสามพันมากๆ กลับเป็นสถานที่บริเวณปราสาทดำเนินเซียนที่ค่อนข้างสอดคล้องกันพอดี

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนค้นหาสมบัติที่ดาวดำเนินนภา จุดศูนย์กลางในการหาสมบัติก็อยู่ที่ปราสาทดำเนินนภา อย่าบอกนะว่าที่นี่ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน?

แต่มันก็ไม่เสมอไป เพราะที่ดาวแมกไม้ไม่ใช่แบบนี้ ถึงอย่างไรระหว่างนั้นก็มีประโดดไปที่ดาวสองขั้วด้วย

เขากลัวว่าความทรงจำของตัวเองจะผิดพลาด จึงนำแผนที่ซ่อนสมบัติออกมาตรวจดูลักษณะพื้นที่บนนั้นอีก แต่เครื่องหมายที่ทำไว้บนนั้นก็มีแค่ลักษณะพื้นที่สูงต่ำ ไม่ได้ทำเครื่องไว้ตรงจุดที่โผล่ในทะเลเมฆ แผนที่ไม่ได้ระบุจุดเด่นของลักษณะพื้นที่ไว้ละเอียดขนาดนั้น ถ้าพูดจากอีกมุมมองหนึ่งมันคือแผนที่ที่สร้างขึ้นมาแบบค่อนข้างหยาบ เหมือนทำเสร็จภายใต้ความรีบร้อน ระบุเครื่องหมายไว้คร่าวๆ เท่านั้น ทั้งภาพมีเพียงรูปของสตรีทะยานฟ้าที่ค่อนข้างใช้ความทุ่มเท สลักออกมาได้สมจริงราวกับมีชีวิต

แต่หลังจากมีประสบการณ์ในการหาสมบัติก่อนหน้านี้ เหมียวอี้ก็รู้เช่นกัน ว่าแผนที่นี้ไม่เพียงแค่เป็นจุดซ่อนสมบัติที่ไม่แน่นอน แต่กลับมีข้อสงสัยที่โน้มนำให้คนเข้าสู่เส้นทางที่ผิดด้วยซ้ำ คนที่ไม่ได้ ‘กุญแจ’ ในการเปิดใช้งานแผนที่ ก็ไม่มีทางไขปริศนาบนแผนที่นี้ได้เลย ถ้าต้องการตามหาโดยอิงจากแผนที่จริงๆ ต่อให้หาจนตายเจ้าก็หาไม่พบ ตอนปราสาทดำเนินนภาค้นหาสมบัติที่ดาวแมกไม้ ก็เคยเสียเปรียบในด้านนี้มาแล้ว

หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง ก็ตัดสินใจจะไปสืบดูที่ปราสาทดำเนินเซียน แต่การที่เขาจะไปคนเดียวก็เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะสม ไปคิดหาทางกับจงหลีค่วยดีกว่า

เมื่อมีความคิดนี้แล้ว เขาถึงได้เหาะวนรอบดาวดำเนินเซียนอีกครั้ง หาสถานที่เหาะลงจากฟ้า

เขากลับมาเหยียบลงตรงยอดเขาที่เริ่มออกเดินทาง เห็นเพียงหวงฝู่จวินโหรวกำลังยืนยิ้มอย่างสนิทสนมอยู่ใต้ต้นสน พอแจอกันก็เข้าไปต้อนรับและมองสำรวจศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง “ไปมาตั้งนาน ทั้งยังออกไปนอกท้องฟ้า เจ้าไปทำอะไรมา?”

เหมียวอี้ถือโอกาสยื่นมือไปลูบไล้ก้นนาง “ไปดูอะไรเรื่อยเปื่อย”

หวงฝู่บิดก้นออกจากมือเขา “เจ้านี่ลามกจริงๆ ทำไมชอบลูบไล้ก้นของข้าอยู่ได้”

“จะบอกความลับเจ้าอย่างหนึ่ง” เหมียวอี้กระซิบข้างหูนาง “ก้นของเจ้าน่ะสุดยอด…”

“เชอะ!” พอฟังจบหวงฝู่จวินโหรวก็สบถ แต่ก็ยังหันกลับไปมองก้นของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่หันคอไปข้างหลังไม่ได้ ย่อมมองไม่เห็นอะไรอยู่แล้ว กะว่ากลับไปจะไปส่องกระจกดูดีๆ สักหน่อย นางถามว่า “มันดึงดูดเจ้าขนาดนั้นจริงๆ เหรอ? เจ้ารู้ได้ยังไงว่ามันสวยกว่าของผู้หญิงคนนี้ เจ้าบอกมาแต่โดยดี เจ้าเคยเห็นก้นของผู้หญิงมาแล้วเท่าไรกันแน่?”

“เจ้าเดาสิ!” เหมียวอี้ยิ้มอย่างคลุมเครือ

“เรื่องลามกประเภทนี้ ข้าขี้เกียจจะเดา! อย่ามาเปลี่ยนเรื่องเลย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้ามาชมทิวทัศน์ที่ดาวดำเนินเซียน เจ้ามาทำอะไรกันแน่? เจ้าถือภารกิจลับอะไรมา?”

“ถ้าเจ้าไม่เชื่อ ข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ไม่พูดแล้ว กลับไปหาจงหลีค่วยกัน!”

ตอนที่กลับไปถึงจวนถ้ำเปลี่ยนเวรของหวังเยี่ยนถง ก็เห็นได้ชัดว่าเขากับจงหลีค่วยไม่มีเรื่องอย่างอื่นทำ เล่นหมากล้อมกันอีกแล้ว เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมา หวังเยี่ยนถงก็พยักหน้ายิ้ม ส่วนจงหลีค่วยก็หันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “ทิวทัศน์เป็นยังไงล่ะ?”

“เป็นทำเลทองที่หาพบได้น้อยมากในโลก” เหมียวอี้ตอบ แล้วคืนป้ายคำสั่งให้หวังเยี่ยนถง จากนั้นก็ถามจงหลีค่วยว่า “ไหนๆ ก็มาแล้ว ดูก็ดูไปแล้ว มาละลาบละล้วงที่นี่ข้ารู้สึกไม่สงบใจ ลุงหนวด พวกเราควรไปเยี่ยมคารวะเจ้าของปราสาทดำเนินเซียนหน่อยมั้ย?”

มือที่ถือตัวหมากของจงหลีค่วยหยุดชะงัก ได้เจอกับหวังเยี่ยนถงแล้ว นับว่าได้ทักทายแล้วเช่นกัน เขาเป็นเพียงศิษย์รุ่นสี่ของปราสาทดำเนินนภา ไม่นับว่ามีลำดับอาวุโสสูง จะไปหรือไม่ไปปราสาทดำเนินเซียน ที่จริงก็ไม่สำคัญเลย ไปแล้วก็อาจจะไม่ได้เจอบุคคลสำคัญที่แท้จริงของปราสาทดำเนินเซียนก็ได้ แต่เหมียวอี้กล่าวออกมาต่อหน้าหวังเยี่ยนถง เขาจึงไม่สะดวกที่จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องไปคารวะ เพราะพูดแบบนั้นเสียมารยาทเกินไป กลัวว่าจะทำให้คนเข้าใจผิดว่าเขาดูถูกปราสาทดำเนินเซียน

หวังเยี่ยนถงยิ้มบางๆ ที่จริงเขาเองก็รู้สึกว่าไม่จำเป็น แต่เขาก็ไม่สะดวกที่จะพูดเหมือนกันว่า ‘แค่เจอหน้าข้าก็พอแล้ว ไม่ต้องไปหาอาจารย์ข้า’ ถ้าพูดแบบนี้ออกมาจริงๆ เขาก็จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าสามมารถเป็นตัวแทนปราสาทดำเนินเซียนได้ เขาไม่ได้วางมาดใหญ่โตขนาดนั้น

หวงฝู่จวินโหรวเหล่ตามองเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย มองเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย

ถ้าไม่ได้พูดออกมาต่อหน้าเจ้าของบ้านหลังนี้มันจะตายรึไง? เจ้าจะไม่รู้จักสถาะของตัวเองเชียวหรือ ต้องถ่อไปโดนเปิดโปงตัวตนก่อนถึงจะพอใจเหรอ? จงหลีค่วยแอบด่าเหมียวอี้ในใจ แต่หลังจากวางหมากแล้ว ปากก็ยังกล่าวอย่างร่าเริงว่า “เจ้าพูดถูก ควรจะไปเยี่ยมคารวะสักหน่อย”

ในเมื่อฝั่งนี้ตัดสินใจแล้ว หวังเยี่ยนถงก็แสดงไมตรีของเจ้าบ้านอย่างเต็มที่ จะส่งพวกเขาไปให้ได้

เมื่อเล่นหมากล้อมจบไปหนึ่งกระดาน หวังเยี่ยนถงก็สั่งอะไรลูกศิษย์ในสำนักไว้นิดหน่อย แล้วพวกเขาก็ออกเดินทางไป

เมื่อมีหวังเยี่ยนถงร่วมเดนิทางไปด้วย ระหว่างทางก็ลดความยุ่งยากได้ไม่น้อยเลย ที่เขตอื่นยังมีคนอื่นเฝ้ารักษาการณ์อยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะรู้จักจงหลีค่วยเหมือนกันหมด ลดความยุ่งยากที่จะโดนสอบสวน คาดว่านี่คงจะเป็นสาเหตุที่หวังเยี่ยนถงต้องการจะไปส่งพวกเขา ไม่ละเลยแขก!

หลังจากถึงจุดมุ่งหมาย ก็เป็นอย่างที่เหมียวอี้คาดไว้ ตอนที่ตัวเองอยู่บนท้องฟ้าก่อนหน้านี้ ก็พบว่าจุดที่มีลักษณะพิเศษอยู่ที่ปราสาทดำเนินเซียนจริงๆ

บนคลื่นเมฆมีภูเขาเซียนหลายลูก สิ่งปลูกสร้างมีชายคาโค้งขึ้น มีสะพานมายาสายรุ้งเซียน สง่างามสดใส สัตว์ปีกสีขาวบริสุทธิ์สูงส่ง เสียงระฆังหยกขาวแสนสงบ ชำระล้างจิตใจ

สถานที่นี้ย่อมบุกเข้าไปไม่ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว หวังเยี่ยนถงออกหน้าให้ผ่านการสอบสวน แล้วพาทั้งสามไปเหยียบลงนอกซุ้มประตูรับแขก

เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นมองคำขวัญคู่บนเสาสองต้นของซุ้มประตูหยก ทำให้ตะลึงค้างทันที

ด้านซ้ายคือ : เผิงไหลสามพัน

ด้านขวาคือ : เขาเซียนหนึ่งแสน

คำขวัญแนวขวางที่สัมผัสกับคำขวัญคู่แนวตรงคือ : ทั้งเช้าทั้งค่ำ

ในสายตาของเหมียวอี้ไม่มีอย่างอื่น จ้องเพียงคำว่า ‘เผิงไหลสามพัน’ ทางด้านซ้าย ในใจรู้สึกมีความสุขเล็กๆ เป็นที่นี่จริงๆ ด้วย

ขณะเดียวกันก็อดสงสัยไม่ได้ ว่าคนที่ซ่อนสมบัติเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงมาชี้แนะที่ซ่อนสมบัติในสถานที่อย่างปราสาทดำเนินนภากับปราสาทดำเนินเซียนได้?

“เหม่อลอยอะไรของเจ้า?” จงหลีค่วยหันกลับมาถาม

หวังเยี่ยนถังมองตามสายตาของเหมียวอี้ แล้วก็หัวเราะเบาๆ คำขวัญต้อนรับแขกของปราสาทดำเนินเซียนค่อนข้างแปลกประหลาดจริงๆ กลอนทางซ้ายทางขวาและแนวขวางล้วนมีสี่คำ แขกผู้มาเยือนที่สนใจสิ่งนี้ไม่ได้มีแค่เหมียวอี้คนเดียว ไม่แปลกอะไร

“ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าตัวอักษรบนนี้เขียนได้ไม่เลวเลย ดูเหมือนจะมีอายุเก่าแก่มาก” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ

จงหลีค่วยมองบันไดที่อยู่ด้านบน แล้วบอกเหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวว่า “พวกเจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะตามพี่หวังไปเยี่ยมคารวะเจ้าสำนัก”

ที่ไม่พาทั้งสองคนไปด้วย ประการแรกเป็นเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าพบเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินเซียนได้ ถึงแม้อาจารย์ของเขาจะรับตำแหน่งเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินนภา แต่เขามาที่นี่ก็มีสิทธิ์แค่คารวะทักทายเท่านั้น ประการต่อมาหากเหมียวอี้กับหวงฝู่โดนเปิดโปงตัวตนขึ้นมา ในฐานะที่ตนเป็นคนพาคนของตำหนักสวรรค์และสมาคมวีรชนมาหลอกตบตาเจ้าสำนักที่ปราสาทดำเนินเซียน แบบนั้นตนก็จะปลีกตัวไม่พ้นแล้วจริงๆ

เหมียวอี้กับหวงฝู่จวินโหรวพยักหน้า เข้าใจเจตนาของเขา ได้แต่มองตามหวังเยี่ยนถงกับจงหลีค่วยเดินผ่านซุ้มประตูขึ้นบันไดไปอย่างเป็นระเบียบ

หันกลับมาเห็นหวงฝู่จวินโหรวกำลังจ้องคำขวัญแนวขวางนั้นซ้ำๆ ด้วยสีหน้าสงสัย เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เจ้ากำลังมองอะไร?”

“ข้ากำลังดูว่าเจ้ามองอะไร” หวงฝู่จวินโหรวกล่าว

เหมียวอี้รู้สึกขำ คิดในใจว่าถ้าเจ้ามองออกว่าข้ามองอะไรก็แปลกแล้ว แต่ชั่วพริบตาเดียวก็เกิดความระแวดระวังขึ้นมาในใจ ทำไมถึงรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้พูดจามีความหมายแอบแฝง?

รออยู่ข้างนอกได้ไม่นานเท่าไร เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าสำนักของปราสาทดำเนินเซียน ก็มีสิทธิ์แค่เยี่ยมคารวะเท่านั้น ยังไม่ถึงคราวของเขาที่จะคุยธุระสำคัญอะไร ย่อมต้องกลับมาอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว หวังเยี่ยนถงกลับมาด้วยกัน เป็นเพราะเขาสนิทกับจงหลีค่วย เจ้าสำนักสั่งให้คนอื่นไปแลกเวรเฝ้ายามแทนเขา บอกให้เขาอยู่รับรองแขก

สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้แอบตื่นเต้นประหลาดใจก็คือ สถานที่ที่หวังเยี่ยนถงเตรียมให้พวกเขา เป็นสถานที่ที่ใช้รับราองแขกของปราสาทดำเนินเซียนเช่นกัน เป็นบนภูเขาที่อยู่ตรงใจกลาง ‘น้ำวน’ ตอนที่เขาเห็นเมื่อสำรวจมองจากบนฟ้าพอดี เมื่อครู่เขายังแอบครุ่นคิดอยู่เลยว่าจะเข้าใกล้สถานที่นี้ได้อย่างไร นึกไม่ถึงว่าจมีคนเป็นฝ่ายพาเขามาส่งที่นี่เอง ได้มาแบบไม่เปลืองแรงจริงๆ

เรือนพักที่อยู่บนภูเขารับแขกมีไม่น้อย ปราสาทดำเนินเซียนไม่ได้มีแขกเยอะขนาดนั้น ทั้งหมดล้วนว่างอยู่ หวังเยี่ยนถงให้แขกเข้าพักตามความชอบ

“แขกเชิญพักตามสะดวก!” จงหลีค่วยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

หวงฝู่จวินโหรวก็ยิ้มตอบเช่นกัน “ตามสะดวก”

กลับเป็นเหมียวอี้ที่โบกมือไปยังเรือนพักที่อยู่บนยอดเขาตรงกลางสุด “ที่นั่นสูงดี เป็นสถานที่ชมทิวทัศน์ที่ไม่เลว ข้าพักที่นั่นได้มั้ย?”

จงหลีค่วยกลอกตามองบน ส่วนหวงฝู่จวินโหรวก็เอียงหน้าช้าๆ มองสำรวจเหมียวอี้

คำพูดตามมารยาทของทั้งสองคนสูญเปล่าแล้ว หวังเยี่ยนถงย่อมยื่นมือเชิญ “เชิญ!”

ดังนั้นทั้งสามจึงไปพักบนเรือนที่อยู่บนยอดเขาสูงสุด หวงฝู่จวินโหรวเองก็ไม่เกรงใจ ไม่สนใจแววตาที่แปลกใจของจงหลีค่วย ดันทุรังพักบ้านหลังเดียวกับเหมียวอี้

นางกำลังสำรวจดูในบ้าน แต่เหมียวอี้กลับไปอยู่บนหลังคาเรือนหลักด้านนอก กวาดสายตามองไปรอบๆ เหมือนกำลังใช้สายตาวัดอะไรบางอย่าง

…………………………