กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 933

ค่ายกลรักษาเผ่าที่เหล่าผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนลงมือสร้างขึ้นมากับมือกลับถูกคนโง่คนหนึ่งทำลายเสียอย่างนั้นรึ?

สรุปแล้วเขาโง่หรือว่าพวกเขาโง่กันแน่?

นั่นเป็นค่ายกลที่แม้แต่ระดับเจ็ดยังมิอาจทำลายได้ และเป็นหนึ่งในค่ายกลรักษาเผ่าอันยิ่งใหญ่ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของตระกูลไป๋หลี่ของพวกเขาด้วย กลับสูญสิ้นไปเช่นนี้

ทั้งยังสูญเสียผู้อาวุโสอีกยี่สิบสี่คนอีก

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่อยากกระอักเลือด

เหล่าผู้อาวุโสสูงสุดเองก็อยากกระอักเลือดเช่นกัน

หากมิใช่ว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญละก็ พวกเขาพุ่งออกไปตั้งนานแล้ว

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่เดือดดาล

บริเวณห่างออกไป พวกเขายังได้ยินเสียงร้องทรมานของคนในเผ่า รวมถึงกลิ่นคาวเลือดที่ลอยมากับสายลม

ในเขตหวงห้ามมีผู้เฒ่าผมขาวนั่งขัดสมาธิ ดวงตาปิดลงเล็กน้อย ท่าทางสุขุมอยู่คนหนึ่ง

เขายกมุมปากขึ้นเบาๆ ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลย

“นำจิตในการรับรู้สำคัญที่สุด สงบนิ่ง”

หัวใจของผู้ดูแลลุกเป็นไฟ และกล่าวต่อไปอย่างเร่งรีบว่า “ผู้นำตระกูล ผู้อาวุโสสูงสุด กำลังเสริมยังมาไม่ถึงสักคน หากพวกท่านยังไม่ทำอะไรสักอย่าง เกรงว่า…เกรงว่าตระกูลไป๋หลี่จะถูกอสุรกายพวกนั้นทำลาย…เอื๊อก…”

ยังไม่ทันกล่าวจบ และไม่รู้ว่าผู้เฒ่าผมขาวคนนั้นโจมตีอย่างไร ผู้ดูแลคนนั้นก็ได้พบกับราชาแห่งนรกเสียแล้ว

“น่ารำคาญ”

ผู้อาวุโสสูงสุดไป๋หลี่เฉิงหยวนยังคงกล่าวอย่างเย็นชา “แค่อสุรกายพรรค์นี้ยังสู้ไม่ได้ จะเก็บไว้ทำอะไร? ตระกูลไป๋หลี่จะถูกทำลายก็ตามแต่ เพียงแค่นำจิตในการรับรู้ของนางมาได้ยังกลัวว่าต่อไปตระกูลไป๋หลี่จะไม่สามารถรวมตัวและยืนอยู่จุดสูงสุดของดินอดนวิญญาณเยือกแข็งอีกอย่างนั้นหรือ?”

เหล่าผู้อาวุโสสูงสุดสงบนิ่งร่ายคาถาต่อไป เพื่อเอาจิตในการรับรู้นั่นมาโดยไวที่สุด

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่รวมถึงผู้อาวุโสที่มาช่วยรักษาค่ายกลกับพวกเขาพอใจอย่างมาก

สามารถหาวิญญาณของระดับเจ็ดขั้นสูงสุดได้นั้นเป็นเรื่องสมควรปิติยินดีจริงๆ

เพราะผู้นำไป๋หลี่มีวิชาลับ สามารถดึงเอาจิตในการรับรู้ของคนที่ตายแล้วมาใช้ประโยชน์ได้

เพียงแค่สามารถนำจิตในการรับรู้ของนางออกมาได้ ยังต้องกลัวว่าจะไม่สามารถฝึกเป็นผู้ไร้เทียมทานได้อย่างนั้นหรือ

ผู้เฒ่าไป๋หลี่เฉิงหยวนและผู้อาวุโสสูงสุดเหล่านี้ต่างก็มีอายุแล้ว

พวกเขาไม่สามารถทำลายได้โดยเร็ว อายุขัยของพวกเขาเองก็ใกล้จะถึงแล้ว

หากไม่ทำลายอีก พวกเขาคงต้องพบกับราชาแห่งนรกสถานเดียว

ดังนั้น พวกเขาจึงอยากต้องจิตในการรับรู้ขอวววิญญาณนั้น

สำหรับวัยของพวกเขานั้น อย่างอื่นล้วนเป็นเมฆหมอกเท่านั้น สามารถเพิ่มพูนอายุขัยและวรยุทธ์ได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด

เพื่ออยากมีชีวิตต่ออีก พวกเขาไม่สนใจว่าจะต้องสูญเสียคนในตระกูลไป๋หลี่ไปเท่าใด

จิตใจเช่นนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน

ตระกูลไป๋หลี่ขึ้นอยู่กับผู้นำ

ช่วยพวกเขารักษาค่ายกลนั้นเป็นเรื่องใหญ่

ออกไปจัดการเรื่องใหญ่ก็เป็นเรื่องใหญ่เช่นกัน

เขาควรจะเลือกแบบไหนดี?

“จะสำเร็จแล้ว ทุกคนสงบนิ่งไว้ นำจิตในการรับรู้ออกมาสำคัญที่สุด”

“ขอรับ…”

ผู้คนส่วนใหญ่เห็นด้วย คนที่เหลือจึงทำได้เพียงเห็นด้วยตาม

นานแค่ไหนแล้ว กี่ร้อยปีแล้วสินะ

ทั้งดินแดนวิญญาณเยือกแข็งไม่เคยปรากฏคนที่อยู่ระดับเจ็ดมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่อยู่ระดับเจ็ดขั้นสูงสุดเลย

พวกเขาจะทิ้งโอกาสนี้ไปได้อย่างไร

บริเวณไม่ไกลจากไปตรงนอกเขตหวงห้าม

กู้ชูหน่วนถูกค่ายกลอีกกลหนึ่งทำให้ลำบากเข้าแล้ว

ตระกูลไป๋หลี่มีค่ายกลมากเกินกว่าที่นางคิดไว้ ทั้งแต่ละกลแก้ยากกว่าแต่ละกลอีก

นางมองไปที่กำแพงหิน ในใจมีความรู้สึกหมดหนทาง

“ค่ายกลนี้ซับซ้อนนัก ข้าต้องใช้เวลาอย่างน้อยเจ็ดวันในการทำลายมัน”

เจ็ดวันนั้นนานเกินไป

ไม่มีใครรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

กู้ชูหน่วนมองไปทางผู้คนที่ถูกเข่นฆ่าด้านนอก แล้วมองไปทางส่วนลึกของเขตหวงห้าม จากนั้นถามซือม่อเฟย “ค่ายกลนี้เจ้าทำลายได้หรือไม่?”

จอมมารตอบอย่างมึนงง “พี่หญิงอยากทำลาย อาม่อก็จะช่วยพี่หญิงทำลาย”

“ค่ายกลนี้ยากมาก หากไม่ระวังจะถึงแก่ชีวิตได้”

“ไม่หรอก ง่ายมาก นี้ไง…ตรงนี้แล้วก็ตรงนี้กดลงไปก็พอแล้ว”

“ปังๆๆ…”

ตามด้วยเสียงปังๆ ที่ดังขึ้น ท่ามกลางอากาศก็มีหมอกควันดอกบัวระเบิดออกมา ยอดเยี่ยม ค่ายกลถูกทำลายแล้ว

เหล่าอสุรกายต่างยกมือยกเท้าของพวกมันขึ้น กล่าวด้วยความน่าทึ่งว่า “ท่านเก่งกาจมาก พวกข้าขอนับถือท่าน”

ซือม่อเฟยไม่เข้าใจภาษาอสุรกาย ได้ยินเพียงกลุ่มอสุรกายพวกนี้ส่งเสียงแต่ละตัวออกมา

กู้ชูหน่วนอธิบาย “พวกเขาชมว่าเจ้าเก่งน่ะ อาม่อ เจ้าเก่งจริงๆ”

จอมมารเขินอายจนลูบๆ ที่ผมดำข้างหู

“ข้า…ข้าหลงทางตลอด ทุกคนต่างชอบด่าว่าข้าโง่เขลา มีเพียงพี่หญิงเท่านั้นที่ชมว่าข้าเก่ง”

“เด็กที่หลงทางเป็นสิน่ารัก นี่เป็นจุดเด่นของเจ้า”

อสุรกายต่างปิดหน้า

นางทำได้อย่างไรที่พูดเช่นนี้ออกไปโดยไม่หน้าแดงเลย

“ยังห่างจากเขตหวงห้ามอีกเท่าใด?”

“ใกล้แล้ว อยู่ตรงนั้น”

อสุรกายชี้ไปทางข้างหน้า

บริเวณด้านหน้าเป็นถ้ำขนาดใหญ่

หน้าถ้ำมีประตูหินอยู่บานหนึ่ง หน้าประตูหินเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่ผู้เฝ้าประตู ดูไม่ออกว่าเป็นเขตหวงห้ามที่ถูกคุ้มกันไว้แน่นหนา แต่กลับดูเหมือนถ้ำธรรมดาที่ถูกปล่อยให้ร้างเป็นเวลานานอย่างไรอย่างนั้น

กู้ชูหน่วนพยักหน้า นำผู้คนมาถึงหน้าประตูถ้ำ แล้วถามว่า “อาม่อ ข้างหน้ายังมีค่ายกลอีกกี่ค่ายกล?”

“น่าจะเหลือค่ายกลสุดท้ายแล้ว แต่ทว่า…ค่ายกลนี้แปลกนัก ข้าไม่เคยเจอมาก่อน”

สิงโตน้อยกล่าว “กลัวอะไร พุ่งเข้าไปก่อนค่อยว่ากัน”

พูดไปเช่นนั้น สิงโตน้อยกำลังจะพุ่งไปก่อน อยากจะเข้าไปยังเขตหวงห้ามใจจะขาด

กู้ชูหน่วนก็ได้หยุดเขาไว้ทันเวลา “อย่าประมาท รอให้อาม่อทำลายค่ายกลเสียก่อน”

ตระกูลไป๋หลี่มียอดฝีมือระดับหกที่เหลือเชื่อ

หากในค่ายกลมียอดฝีมือระดับหกคนนั้นร่วมด้วย แล้วพุ่งเข้าไปเช่นนี้ พวกเขาทุกคนคงต้องสังเวยให้กับที่นี่

ประตูใหญ่ของถ้ำเปิดออกอย่างง่ายดาย

ทุกอย่างดูราบรื่นจนกู้ชูหน่วนนึกกังวล

นางหยิบเหรียญเงินออกมาจากอกแล้วโยนเข้าไปในถ้ำ รอเป็นเวลานานก็ยังไม่ได้ยินเสียงใดๆ

ปกติหากโยนเหรียญเงินเข้าไป อย่างน้อยก็ต้องได้ยินเสียงดังออกมาถึงจะถูก

“จุดไฟเถิด”

เมื่อจุดไฟ ถ้ำก็สว่างทันที

ถ้ำลึกมาก จึงมองเห็นได้ไม่ไกลนัก ไม่รู้ว่าด้านในมีอะไรกันแน่

กู้ชูหน่วนโยนเหรียญเงินเข้าไปอีกหนึ่งเหรียญ

ภายใต้แสงไฟที่สอดส่อง ทำให้พวกเขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเหรียญเงินนั้นสึกกร่อนกลายเป็นแอ่งผงเงินในทันที

กู้ชูหน่วนหยิบก้อนหินขนาดใหญ่มาหนึ่งก้อนแล้วโยนเข้าไปข้างใน ซึ่งเป็นไปตามคาด ก้อนหินสึกกร่อนเป็นผงร่วงลงมาเช่นกัน

เหล่าอสุรกายทอดถอนหายใจไปเฮือกหนึ่ง

โดยเฉพาะสิงโตน้อย เขาตะลึงงันมาก

ยังดีที่กู้ชูหน่วนสกัดเขาไว้ได้ทัน มิเช่นนั้น…ชีวิตน้อยๆ ของเขานี้คงได้ทิ้งไว้ที่นี่แล้วจริงๆ

“หรือว่านี่ก็คือค่ายกลเช่นกัน?” อสุรกายตนหนึ่งถามขึ้น

อะไรกันที่สามารถทำให้หินขนาดใหญ่สึกกร่อนกลายเป็นผงได้ในทันที นี่ออกจะน่ากลัวไปเสียหน่อยนะ

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว

“หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ นอกเสียจากว่าค่ายกลนี้แข็งแกร่งมากอยู่แล้ว น่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่วมอยู่ด้วย มิเช่นนั้นพลังคงไม่มากเพียงนี้”

“อาม่อ ค่ายกลนี้อาจจะแก้ยากกว่าค่ายกลเมื่อครู่นี้ เจ้ามีวิธีหรือไม่?”

“ข้าต้องดูอย่างละเอียดเสียก่อน”

จอมมารค่อยๆ ก้าวเข้าไปทีละก้าว จนหยุดลงที่ห่างจากประตูใหญ่ของถ้ำเป็นระยะสองเมตร ดวงตาคู่ต่างคู่นั้นมองไปทางแผนผังของถ้ำอย่างต่อเนื่อง ราวกับพบเจอกับข้อยากเข้าแล้ว

จอมมารยังไม่เข้าใจ

เหล่าอสุรกายพวกนั้นก็ยิ่งไม่เข้าใจ

กู้ชูหน่วนมองไปยังแผนผังในถ้ำ แล้วหยิบกิ่งไม้มาหนึ่งกิ่งและวาดบนพื้นไม่หยุด จากนั้นก็ลบทิ้ง พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น

นอกถ้ำ เหวินเส่าอี๋มองทุกอย่างไว้ในสายตา

เมื่อเห็นค่ายกลนี้ก็ยากสำหรับเขาเช่นกัน

เขาเคยเจอค่ายกลมาหลายแบบนัก แต่กลับไม่เคยพบเจอค่ายกลเช่นนี้มาเสียก่อน