ตอนที่ 556 กวนเสี่ยวซี
ด้านหลังของด่านชีผานคือที่ตั้งของกองกำลังรักษาการณ์ ห่างออกไปเพียงมิกี่ลี้มีชุมชนเล็ก ๆ แห่งหนึ่งตั้งอยู่
บรรดาพ่อค้าที่มาจากทั่วทุกสารทิศ โดยมากจะพักที่ด่านชีผานแห่งนี้ หลังจากเติมสินค้าเรียบร้อยแล้วถึงจะออกเดินทางต่อ
กวนเสี่ยวซีเดินลงจากภูเขา ในมือหิ้วกระต่ายที่ยิงได้ 2 ตัว
เขาเดินเข้ามายังชุมชนแห่งนี้อย่างสบายอารมณ์ แต่กลับพบว่ามีบางอย่างผิดปกติไป
ร้านค้าต่าง ๆ ในชุมชนแทบจะปิดหมดทุกร้าน อีกทั้งบนถนนก็มีผู้สัญจรน้อยมากเสียจนแทบมิได้ยินเสียง… หรือชาวบ้านจะหนีไปอยู่ที่อื่นหมดแล้วกัน ?
กวนเสี่ยวซีรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาทันใด เดิมทีคิดว่าจะสอบถามคนแถวนี้ดูเสียหน่อยว่าเกิดอันใดขึ้น แต่ให้ตายเถอะ… บัดนี้ เขายืนอยู่กลางถนนอันว่างเปล่า มองไปยังตรอกซอกซอยที่ถูกหมอกปกคลุม แล้วจึงตกอยู่ในภวังค์
ทันใดนั้นเอง หน้าต่างบานหนึ่งที่อยู่เหนือศีรษะก็เปิดออก
สตรีนางหนึ่งใช้ไม้ไผ่ค้ำบานหน้าต่างเพื่อเปิดมันทิ้งไว้ ทว่าไม่ทันระวังจึงทำไม้ไผ่นั้นตกลงมา
ช่างบังเอิญเสียจริงที่ไม้ไผ่นั้นตกลงไปกลางศีรษะของกวนเสี่ยวซีเข้าพอดี
“โอ๊ย… ! ” กวนเสี่ยวซียกมือขึ้นลูบศีรษะของตนแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
แม่นางผู้นั้นก็ชะโงกหน้าออกมาดูเช่นกัน
กวนเสี่ยวซียกยิ้มขึ้นมาทันใด ใบหน้าของนางแดงระเรื่อเอ่ยอย่างเขินอายว่า “ข้าน้อย… มิได้ตั้งใจ ขออภัยท่านใต้เท้าด้วยเจ้าค่ะ”
กวนเสี่ยวซีหยิบไม้ค้ำนั้นขึ้นมา แล้วเงยหน้าขึ้นมองนาง “แม่นางอย่าโทษตนเองเลย จะให้ข้ายื่นไม้นี้ขึ้นไปให้หรือไม่ ? ”
“ถ้าเยี่ยงนั้นคงต้องรบกวนท่านแล้วเจ้าค่ะ”
กวนเสี่ยวซียื่นไม้ค้ำขึ้นไปด้านบน ส่วนแม่นางผู้นั้นกำลังจะยื่นมือมารับ กวนเสี่ยวซีจึงหดมือกลับ ทำให้นางคว้าได้เพียงอากาศ เขาหัวเราะขึ้นมาเสียงดังทำให้แม่นางผู้นั้นกัดริมฝีปากแล้วทำหน้าบูดบึ้ง ใบหน้าของนางขึ้นสีเเดงระเรื่อร้อนผ่าวเสียจนกวนเสี่ยวซีใจสั่น
“แม่นาง หรือข้าจะนำขึ้นไปให้ข้างบนดี ? ”
นางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากและทำสายตาหวานหยดย้อย จากนั้นก็ปิดหน้าต่างแล้วยืนพิงกำแพงไว้ ใช้มือตบหน้าอกของตนเองสองสามที นางรู้สึกว่าร่างกายช่างรุ่มร้อน แปลกจริง ! เตาผิงในห้องก็มิได้มีไฟลุกโชนเสียหน่อย
เขาจะกล้าขึ้นมาหรือไม่ ?
หากเขาขึ้นมาจริง ๆ นางควรทำเยี่ยงไร ?
หลินเม่ยเอ๋อรู้สึกประหลาดใจ นางเป็นอันใดไปกัน ? ขุนนางผู้นั้นมองดูแล้วมิคุ้นตา แต่ช่วงนี้ที่ด่านชีผานก็ได้มีขุนนางหน้าใหม่มามากมาย หรือเขาจะเป็นทหารที่มาออกรบกัน ?
นับจากกองทัพของเซวี๋ยติ้งชานยึดครองด่านชีผานได้แล้ว หอหยุนเฟิงซึ่งเป็นหอนางโลมเพียงแห่งเดียวของด่านชีผานก็ได้ปิดตัวลง
ท่ามกลางสงคราม มีผู้ใดยังอยากไปเที่ยวหอนางโลมกันอีกเล่า ?
ในฐานะนางโลมเลื่องชื่อของหอหยุนเฟิง หลินเม่ยเอ๋อมิใช่สตรีบริสุทธิ์ผุดผ่อง นางใช้เรือนร่างแลกกับเงินทอง เดิมทีลูกค้าส่วนมากเป็นพ่อค้าที่เดินทางมาพักผ่อน หรือไม่ก็เป็นทหารรักษาการณ์ ณ ด่านชีผาน
แต่บัดนี้ สหายได้พากันไปจากที่นี่แล้ว กล่าวว่าจะไปวางแผนชีวิตใหม่ในเจี้ยนเหมิน นางเองก็เตรียมตัวจะจากไปเช่นกัน เนื่องจากเวลาเนิ่นนานมาแล้วที่มิได้ทำการค้าขาย คาดมิถึงว่าไม้ค้ำหน้าต่างจะหล่นไปโดนท่านขุนนาง เขาช่างหล่อเหลากำยำยิ่ง อีกทั้งยังทำให้จิตใจของนางหวั่นไหว หรือฤดูใบไม้ผลิของนางใกล้มาถึงแล้ว ?
ในยามที่นางกำลังจินตนาการไปต่าง ๆ นานา ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา นางสะดุ้งตกใจแล้วรีบมองซ้ายมองขวา ก่อนจะวิ่งไปจัดแจงผ้าห่มให้เรียบร้อย ยัดชุดชั้นในไว้ใต้หมอนแล้วเอ่ยว่า “มาแล้วเจ้าค่ะ…”
นางเดินไปยังประตูแล้วเปิดมันออก เอนศีรษะมองแล้วก็ต้องหน้าแดงขึ้นมาอีกครา
กวนเสี่ยวซียืนยิ้มอยู่หน้าประตู ในมือถือไม้ค้ำหน้าต่างเอาไว้
“ผู้ใดตอบตกลงให้ท่านขึ้นมากันเล่า ? ”
กวนเสี่ยวซียกยิ้มขึ้น “เอ่ยไปแล้วแม่นางอาจจะมิเชื่อ ข้าได้ยินเสียงร้องเรียกจากใจของแม่นางส่งมาถึงข้า เสียงนั้นดุจเสียงแห่งธรรมชาติและนำพาจิตวิญญาณข้ามาที่นี่ ข้าเพียงมาตามหาจิตวิญญาณเท่านั้น แม่นางเห็นบ้างหรือไม่ ? ”
หลินเม่ยเอ๋อกลอกตาแล้วเปิดประตู “เช่นนั้น เชิญท่านเข้ามาค้นหาเองเถิด”
กวนเสี่ยวซีก้าวเข้าไปแล้ววางไม้ค้ำหน้าต่างเอาไว้ด้านข้าง ก่อนจะมองไปรอบห้อง อืม ! นับว่าสะอาดสะอ้านดีทีเดียว อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
เขานั่งลงข้างเตาผิงแล้วโยนกระต่ายสองตัวไว้บนพื้น “แม่นางก็มานั่งด้วยกันเถอะ”
หลินเม่ยเอ๋อปิดประตูแล้วค่อย ๆ เดินตรงเข้ามา “ท่านหาจิตวิญญาณพบหรือไม่ ? ”
สายตาของกวนเสี่ยวซีจับจ้องไปยังหน้าอกที่นูนออกมาของหลินเม่ยเอ๋อ ก่อนจะยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “จิตวิญญาณของข้าซ่อนอยู่ในนี้”
“เหอะ… ! ” หลินเม่ยเอ๋อก้มหน้าลง กวนเสี่ยวซีจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ได้ยินมาว่าที่แห่งนี้มีทหารอยู่มากมาย เหตุใดข้าถึงมิค่อยพบเห็นเลยเล่า ? ”
“ทหารเหล่านั้นมิได้อาศัยอยู่ที่นี่ พวกเขาพำนักอยู่ที่ค่ายในด่านชีผาน เมื่อวานได้ยินว่ามีผู้คนจำนวนมากเดินทางมานับแสนคน แต่พวกเขามิได้หยุดพัก ที่ด่านนั้นจึงคาดว่าจะมีทหารหลงเหลืออยู่ราว 20,000 นายเท่านั้น… ท่านมิได้มารบหรอกหรือ ? ”
เหลือทหารเพียง 20,000 นายคอยรักษาด่านชีผานเยี่ยงนั้นหรือ ?
หึ ๆ คงจัดการได้มิยาก
“ข้าเองก็มาออกรบเช่นกัน อยากทราบว่าแม่ทัพของที่นี่คือผู้ใดกัน ? ”
“เรื่องนี้ข้าน้อยมิทราบ เมื่อมิกี่วันก่อนได้ยินชาวบ้านเอ่ยว่าเป็นผู้มีอำนาจ…” หลินเม่ยเอ๋อเงยหน้ามองกวนเสี่ยวซี นางครุ่นคิดแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าน้อยอยากจะเอ่ยเตือนท่านสักเล็กน้อย อย่าได้เข้ามาข้องเกี่ยวเลยจะดีกว่า ! ”
“เพราะเหตุอันใดกัน ? ”
หลินเม่ยเอ๋อกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำกว่าเดิม ร่างของนางเอนเข้าไปหากวนเสี่ยวซีเล็กน้อย “ข้าน้อยได้ยินมาว่า พวกเขาเป็นกบฏ ! ชาวบ้านส่วนมากก็ได้หนีไปหมดแล้ว ข้าเองก็เตรียมตัวออกเดินทางในวันพรุ่งนี้”
นางหยุดชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ท่านลองคิดตามเถิด ฝ่าบาทต้องส่งทหารมากวาดล้างกบฏเหล่านี้เป็นแน่ พวกเขาจะต่อสู้กับทหารของฝ่าบาทได้เยี่ยงไร หากท่านเข้าไปข้องเกี่ยวด้วย หลังจากพ่ายแพ้…มีโทษถึงประหารเชียว ! ”
แม่นางผู้นี้รู้ดียิ่ง กวนเสี่ยวซียิ้มเจ้าเล่ห์ “แม่นางมิกลัวว่าข้าจะเป็นทหารฝ่ายกบฏเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลินเม่ยเอ๋อเหล่ตามองเขา “มองดูแล้วท่านมิเหมือนเลยแม้แต่น้อย”
“เช่นนั้นแล้ว แม่นางเห็นข้าเหมือนอันใดกัน ? ”
“เหมือน… เหมือนพวกที่คิดจะขโมยหัวใจแต่มิกล้า ! ”
เมื่อกวนเสี่ยวซีได้ยินดังนั้นก็ได้รีบลุกขึ้นยืนทันที เขาอุ้มหลินเม่ยเอ๋อแล้วเดินไปยังเตียงนอน ก่อนจะตบก้นนาง แล้วเอ่ยว่า “หากแม่นางมิเอ่ย ข้าคงลืมไปแล้วอย่างแท้จริง บัดนี้ข้าจะพิสูจน์ให้ดูว่าข้ากล้าหรือไม่ ! ”
หลินเม่ยเอ๋อตื่นตกใจมากยิ่งนักจึงรีบคว้าคอของกวนเสี่ยวซีเอาไว้ ทั้งสองคนล้มลงบนเตียงเสียงดัง ตุ้บ !
เมฆหมอกด้านนอกหนาทึบ มุ้งแดงในห้องช่างแดงเสียจริง
หมอกหนาลอยไปตามทิศทางของลม มุ้งแดงเสมือนธงที่กำลังโบกสะบัด
……
……
“แม่นางจงลงจากภูเขาไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เถอะ และอย่าได้ไปที่เจี้ยนเหมินเลย”
“เหตุใดจึงรีบร้อนนัก ? ”
“แม่นางมิได้กล่าวว่ามีทหารของฮ่องเต้หรอกหรือ ? พวกเขาอาจจะมาจากท้องนภาก็เป็นได้ หากทหารของฝ่าบาทมาถึงในวันนี้ แม่นางจะทำเยี่ยงไร ? ”
หลินเม่ยเอ๋อยกมือขึ้นปิดปากแล้วหัวเราะ
“เจ้าหัวเราะอันใดกัน ? ”
“ท่านเป็นห่วงข้า”
“อย่าได้คิดมาก ข้าเพียงมิต้องการให้เจ้าตายเปล่าก็เท่านั้น”
“ท่านมิต้องเป็นห่วงเป็นใยข้าหรอก ข้าเป็นเพียงนางโลมเท่านั้น”
“ข้ารู้เพียงแต่มนุษย์ทุกคนล้วนมีความเท่าเทียม อาชีพนี้มิดีเท่าใดนัก ต่อจากนี้ก็จงหาอาชีพอื่นทำเถอะ”
กวนเสี่ยวซีสวมใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็หันไปมองหลินเม่ยเอ๋อ “แม่เทพธิดาตัวน้อย เจ้าขโมยวิญญาณของข้าไปจริงด้วย เอาล่ะ ! ข้าไปก่อน… ไว้พบกันใหม่ ! ”
เขาหันหลังแล้วเดินออกไปจากห้อง ปิดประตูหายลับไปทันที
หลินเม่ยเอ๋อยกยิ้มออกมา แต่ทว่าน้ำตาของนางกลับไหลรินออกมาสู่หลังมือที่กำผ้าห่มเอาไว้แน่น นางยกมือขึ้นปาดน้ำตาจนแห้ง จากนั้นก็สวมใส่อาภรณ์ แล้วเดินไปเปิดหน้าต่างอีกคราหนึ่ง
หมอกจางลงมามากแล้ว แต่ทว่าในใจของนางยังคงมืดสลัว…