ตุ๊กตากระดูกศพ

แค่สามกระบวนท่า

การประลองของซิวหลัวก็จบลงที่พ่ายแพ้และได้รับบาดเจ็บหนัก

เมื่อซิวหลัวถอยออกมากับอาการบาดเจ็บ ทั่วบริเวณก็ค้างแข็ง ไม่เพียงแต่เหล่าจอมยุทธ์จากอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะตะลึงค้างไป แม้แต่กองทัพต่างๆ จากแดนร้อยสงครามก็มีสีหน้าตกตะลึงด้วยเช่นกัน

เห็นชัดว่าผลลัพธ์ของการประลองอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาไปไกลมาก

ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของซิวหลัวจะโด่งดังไปทั่วอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แต่รวมถึงแดนร้อยสงครามด้วย แม้ว่าซือหลิงจะมีฝีมือไม่ธรรมดา แต่ทุกคนก็คิดว่าการดวลกันยกนี้จะต้องดุเดือดเลือดพล่านมากกว่าคู่ซุ่ยนอนและอสูรพิลาลสเสียอีก…

แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับทำให้ทุกคนจังงังไปหมด

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้…” ใบหน้าของถังปิงซีดเผือดขณะมองซิวหลัวที่ถอยกลับมาด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส อดไม่ได้ที่จะรำพึง

มู่เฉินเองก็มีสีหน้าน่าเกลียดเมื่อมองไปบนท้องฟ้า สายตาของเขาจับจ้องร่างที่ปกคลุมด้วยผ้าพันแผลสีดำซึ่งปลดปล่อยรังสีน่าขนลุกผิดปกติออกมารอบตัว

ขณะที่ซิวหลัวสู้กับซือหลิง พลังยุทธ์ของพวกเขาก็ถูกเผยออกมาจนหมด

ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ด!

ไม่ว่าจะเป็นซิวหลัวหรือซือหลิง พลังของพวกเขาล้วนอยู่ในขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดเหมือนกัน ในสำนักพวกเขานับว่าเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับผู้บัญชาการ มากจนขนาดที่ว่าพลังของพวกเขาเทียบเคียงกับระดับจอมพลได้เลยทีเดียว

พูดโดยทั่วไปก็คือเมื่อสองจอมยุทธ์อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเหมือนกัน พวกเขาก็น่าจะสู้กันได้สูสี หากพวกเขาไม่มีไพ่ตายซ่อนอยู่ ก็มีโอกาสที่ผลการประลองจะออกมาเสมอกัน

แต่เมื่อทุกคนจมอยู่ในความคิดเช่นนั้น เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

ทุกคนเห็นได้ว่าเมื่อทั้งคู่แลกกระบวนท่าไปสองครั้ง ซือหลิงก็ถอยออกมาพลางสะบัดมือวูบหนึ่ง ศพแห้งกรังสีดำก็ปรากฏขึ้นที่ด้านข้างเขา

ศพนั้นมีแต่กระดูกปกคลุมด้วยลวดลายสีดำประหลาด เหมือนจะมีรังสีน่าขนลุกชวนอึดอัดแผ่ออกมาเบาบาง

นี่คือทักษะลับเฉพาะของสำนักศพปีศาจ—ศพปีศาจ!

จอมยุทธ์ในสำนักศพปีศาจมีความสามารถพิเศษในการบำรุงศพที่สามารถควบคุมได้เพื่อใช้ในการต่อสู้ ดังนั้นพูดโดยทั่วไปแล้วจอมยุทธ์สำนักศพปีศาจมีความเชี่ยวชาญในการใช้พลังของซากศพเพื่อต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามด้วยความได้เปรียบด้านจำนวนที่เพิ่มขึ้น

ดังนั้นทุกคนจึงบอกได้ว่าศพปีศาจสีดำก็คือศพปีศาจประจำกายของผู้บัญชาการซือหลิง

หลังจากซือหลิงเรียกใช้ศพปีศาจ ผ้าพันแผลสีดำบนร่างกายก็ขาดสะบั้นหลุดร่วงออกมา จากนั้นเลือดเนื้อจำนวนมหาศาลก็แยกออกจากกายของเขาติดตรึงอยู่กับศพปีศาจ

ภาพนองเลือดสุดสยองนี้ทำให้คนมองขนลุกเกรียว

เมื่อเลือดเนื้อจำนวนมหาศาลแยกออกจากร่างซือหลิงรวมเข้ากับศพปีศาจ เพียงสะบัดแขนเสื้อ ซากนั่นก็พุ่งเข้าหาซิวหลัว หลังจากนั้น…ก็ระเบิด

พูดให้ลึกลงไปก็คือหลังจากดูดซับเลือดเนื้อจากซือหลิงแล้ว พลังของมันก็อยู่ในระดับจื้อจุนขั้นเจ็ดเช่นกัน เมื่อเกิดการระเบิดอย่างบ้าคลั่ง พลังนี้ก็เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ระดับจอมพลเทียนจิ้วยังทำได้เพียงหลีกเลี่ยงเท่านั้น

ศพปีศาจระเบิด ซิวหลัวก็งัดวิธีการที่มีทั้งหมดออกมาป้องกันตัวเอง แต่ก็ยังจบลงด้วยการได้รับบาดเจ็บสาหัสจนพ่ายแพ้!

ผลลัพธ์กะทันหันเกินไป จนผู้คนไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ทุกคนอึ้งตะลึงค้าง จินตนาการไม่ได้เลยว่าซือหลิงจะบ้าระห่ำได้ถึงขนาดนี้

ศพปีศาจประจำตัวจะเชื่อมโยงกับร่างกายของเขาอย่างแน่นแฟ้น แม้เขาจะไม่ตายจากการระเบิดของซากศพ แต่ก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสแบบนึกไม่ถึงเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องยากในการฝึกศพปีศาจประจำตัว ตอนนี้ซือหลิงตัดสินใจระเบิดทิ้งไปแล้ว แม้จะได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่คุ้มค่ากับการสูญเสียในระยะยาว

ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ตะลึงไปกับการกระทำบ้าคลั่งของซือหลิง

ชัยชนะเช่นนี้ได้มาด้วยราคาแพงเกินไป…

ฮา

มู่เฉินสูดหายใจลึกสุดปอดขณะมองร่างของซือหลิงที่อยู่ภายใต้ผ้าพันแผลสีดำ เลือดสดไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง คลื่นหลิงที่ผันผวนรอบกายก็ลดฮวบลงไปมาก เห็นได้ชัดว่าการระเบิดศพปีศาจทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส

“ไอ้บ้า….” นี่คงเป็นความคิดของทุกคนที่มีต่อซือหลิงในเวลานี้

ฟิ้ว!

เทียนจิ้วทะยานออกไปคว้าร่างซิวหลัวที่ได้รับบาดเจ็บหนัก สายตาเย็นเยือกลงเมื่อมองซือหลิง “วิธีโหดเหี้ยมนัก แต่เจ้าไม่กลัวหรือว่าราคาที่ต้องจ่ายจะมากไป?”

ซือหลิงที่ถูกห่อหุ่มด้วยผ้าพันแผลสีดำก็เผยสายตาน่าขนลุกสาดเสียงหัวเราะเย็นเยือก จากนั้นเขาก็ชูฝ่ามือที่สั่นสะเทือนขึ้นมา ในมือเป็นตุ๊กตามนุษย์ที่มีแต่กระดูก แต่ตอนนี้ตุ๊กตาตัวนี้กลับเต็มไปด้วยรอยแตกร้าว

“ตุ๊กตากระดูกศพ?”

เมื่อเทียนจิ้วเห็นสีหน้าก็เปลี่ยนไป ตุ๊กตากระดูกศพเป็นวัตถุชั่วร้าย ว่ากันว่าสามารถทนรับอาการบาดเจ็บถึงชีวิตของคนคนหนึ่งในฐานะตัวแทน แต่วิธีในการชำระวัตถุเช่นนี้น่าสยดสยองนัก ดังนั้นจึงมีไม่กี่คนที่สามารถครอบครองได้ แต่ใครจะคิดว่าซือหลิงจะมีสมบัติเช่นนี้อยู่? การมีตุ๊กตากระดูกศพรับอาการบาดเจ็บถึงชีวิตแทนเขา ทำให้เขาไม่ทุกข์ทรมานหลังจากศพปีศาจระเบิด มิน่าทำไมเขาถึงกล้ากระทำการบ้าคลั่งขนาดนี้ได้

เมื่อหลิงถง จิ่วโยวและคนอื่นๆ มองเห็นตุ๊กตากระดูกศพ สีหน้าแต่ละคนก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าซือหลิงเตรียมการมาอย่างดี ไม่แปลกใจว่าทำไมแดนร้อยสงครามถึงเลือกที่จะต่อสู้ด้วยวิธีนี้…

หากไม่ใช่เพราะซุ่ยนอนมีฝีมือล้ำลึกยากหยั่งจนคว้าชัยชนะครั้งแรกไป อาณาเขตกงเวทสวรรค์ของพวกเขาคงพ่ายไปแล้วในตอนนี้

“ฮ่าๆ ครั้งนี้แดนร้อยสงครามชนะ” เฒ่าเร้นกระบี่เอ่ยพลางหรี่ตา แต่ในสายตาของจอมยุทธ์ในกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์รอยยิ้มของเขาน่ารังเกียจนัก

แววตาของเทียนจิ้วเย็นเยียบลงขณะพาร่างซิวหลัวที่หมดสติกลับมาแล้วฝากให้สมาชิกคนอื่นเข้ามาดูแล จากนั้นสายตาเขาก็พุ่งตรงไปที่ประมุขที่ยังนั่งนิ่งอยู่บนบัลลังก์

“โฮ่ๆ ชนะหนึ่งแพ้หนึ่ง…”

แสงรอบตัวประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์กระเพื่อมไหวเบาบางขณะที่เสียงหัวเราะเบาๆ ดังออกมา แต่ในน้ำเสียงกลับเจือแววเย็นเยือกอยู่ “ดูเหมือนแดนร้อยสงครามจะเตรียมตัวมาดีนะ”

“ฮ่าๆ ผิดแล้วท่านประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ พลังของแดนร้อยสงครามด้อยกว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ตั้งแต่แรก ดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มเททั้งหมดเท่านั้น” หลิ่วเทียนเต้าที่ไม่เอ่ยอะไรออกมาคลี่ยิ้มบาง

มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนอย่างหลิ่วเทียนเต้าที่ยืนอยู่ตรงนั้น ทำให้ภัยคุกคามของประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ที่พุ่งมายังเฒ่าเร้นกระบี่กับคนที่เหลือบรรเทาเบาบางลง เขายิ้มออกมา “ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ตอนนี้การประลองจบไปสองยกแล้ว ก็ถือว่าเราเสมอกัน… หากประมุขถอนตัวตอนนี้ เราก็จะได้หยุดการประลองยกสามไว้”

แพ้หนึ่งชนะหนึ่งทำให้การประลองรอบที่สามมีความสำคัญขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด จอมยุทธ์คนที่สามที่เป็นตัวแทนจากแดนร้อยสงครามเป็นจอมยุทธ์เก็บตัวที่สุดในบรรดาแม่ทัพของแดนร้อยสงคราม แต่พลังของเขาคือสิ่งที่ทำให้แม้แต่หลิงชิงเฟิงและคนที่มีพลังเสมอกันถอนหายใจอย่างนับถือ มากจนมีหลายคนกล่าวไว้ว่าด้วยความสามารถของฉิงเปย แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ เขาก็ไม่อยู่ในกลุ่มฝีมือธรรมดาอย่างแน่นอน

ขณะที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ส่งแม่ทัพที่มีขุมพลังจื้อจุนขั้นสอง แม้จะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ก็เทียบไม่ได้กับฉิงเปย ดังนั้นการประลองยกที่สาม แดนร้อยสงครามจึงมีความมั่นใจใหญ่มาก ไม่ว่าจะย่ำแย่แค่ไหน ตราบใดที่ฉิงเปยไม่แพ้ การประลองครั้งนี้ก็นับว่าเป็นชัยชนะของพวกเขา เพราะอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยกทัพใหญ่มาอย่างเต็มกำลังบวกกับชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็มากล้นกว่าพวกเขาตั้งแต่ต้น หากขั้วอำนาจท้องถิ่นอย่างพวกเขาสามารถจบการประลองในลักษณะนี้ได้ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะกลายเป็นตัวตลกของภูมิภาคทางเหนือไป

จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนในอาณาเขตกงเวทสวรรค์แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาอดไมได้ที่จะส่งสายตาไปยังชายหนุ่มที่ยืนตรงหน้าหน่วยรบวิหคโลกันตร์ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความจนปัญญา

ตอนแรกพวกเขาคิดว่าหากได้รับชัยชนะในการต่อสู้สองยกแรก ยกที่สามก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะออกมาในรูปแบบนี้…?

การประลองไม่สำคัญกลายมาเป็นจุดที่สำคัญที่สุดแล้ว

การเปลี่ยนแปลงไม่สามารถแก้ไขได้

เผชิญหน้ากับสายตาจนใจนับไม่ถ้วน มู่เฉินก็ทำเพียงยักไหล่มองไปที่ประมุข ตอนนี้ขึ้นอยู่กับคนผู้นี้เท่านั้นว่าเขาจะต้องขึ้นสู้ยกนี้หรือไม่

สายตาที่มองตรงไปยังมู่เฉินเลื่อนไปยังประมุขของตน ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์กลับหัวเราะร่วนราวกับว่าเป็นสิ่งที่คาดคิดไว้แล้ว

“ดูเหมือนสิ่งต่างๆ เป็นไปตามที่ข้าคิดไว้นะ” ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์หัวเราะเบาๆ ทำให้สายตานับไม่ถ้วนจากกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ชะงักค้าง หมายความว่าอะไร? หรือว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์คาดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่แล้ว? แล้วทำไมเขายังเลือกให้มู่เฉินลงสู้ศึกนัดสำคัญที่สุดไปล่ะ? เขามีความมั่นใจในตัวมู่เฉินมากขนาดนั้นเลยหรือ?

ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์เบนสายตามาหามู่เฉินเอ่ยเสียงเบา “เจ้ามีความมั่นใจในการประลองที่จะส่งผลต่อชื่อเสียงของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้าหรือไม่?”

“มู่เฉินจะทำให้ดีที่สุด”

มู่เฉินประสานมือคำนับและตอบรับเสียงเรียบ แม้เขาจะสงสัยว่าทำไมประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ถึงให้ความสำคัญกับคนไม่มีตัวตนอย่างเขามากนัก แต่ในเมื่อศึกอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธ

“ดี”

ประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยิ้ม “งั้นเจ้าก็ขึ้นประลองได้เลย”

ฝั่งกองทัพอาณาเขตกงเวทสวรรค์ จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนยิ้มขื่นขม ดูเหมือนว่าประมุขอาณาเขตกงเวทสวรรค์จะไม่เปลี่ยนใจแน่แล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ต้องพึ่งมู่เฉินแม่ทัพคนใหม่ คอยดูว่าเขาจะทำได้สมกับความไว้วางใจของประมุขหรือไม่

“มู่เฉิน สู้ๆ!” ถังปิงชูกำปั้นส่งเสียงให้กำลังใจมู่เฉิน แม้นางจะไม่รู้ว่าการประลองยกที่สามจะมีผลอย่างไร แต่นางก็สนับสนุนมู่เฉินเต็มที่อยู่แล้ว

มู่เฉินพยักหน้า ขณะที่กำลังจะเดินออกไป เขาก็รู้สึกถึงสายตาคู่หนึ่งพุ่งตรงมา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิ่วโยวมองด้วยสายตาเป็นห่วง

มู่เฉินส่งยิ้มให้จิ่วโยวไม่พูดอะไรอีก เขาเคลื่อนตัวออกไป ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนของเหล่าจอมยุทธ์เขาก็มาปรากฏตัวบนท้องฟ้า เขามองลงไปที่กองทัพแดนร้อยสงคราม ประสานมือคำนับพร้อมกับเปล่งเสียงกลั้วหัวเราะออกมา

“อาณาเขตกงเวทสวรรค์ มู่เฉินจากหอวิหคโลกันตร์ ขอคำชี้แนะด้วย!”