นางหยิบน้ำแข็งขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้ววางบนหน้าอกของยอมิน
“เย็นหน่อยนะเพคะ”
“…ไม่เป็นไร” ยอมินตอบกลับอย่างนิ่งๆ
ก้อนน้ำแข็งเย็นละลายอย่างรวดเร็วบนหน้าอกที่แสบร้อนและฉีกขาด โบจินมองดูรอยเล็บข่วนที่ยุ่งเหยิงบนหน้าอกของยอมินด้วยสีหน้าเศร้าโศก
“พระชายาอย่าทรงเจ็บปวดไปนะเพคะ ได้โปรด” โบจินสะอึกสะอื้นพร้อมกับถูน้ำแข็งไปด้วย
ยอมินพิงร่างกายของนางไว้ในอ้อมแขนของโบจิน และปล่อยตัวไปตามการปลอบโยนของนาง
โบจินนำน้ำเย็นที่ตัวเองเอามาป้อนให้กับยอมิน น้ำเย็นๆ นั้นทำให้ภายในที่เดือดพล่านเย็นลง และน้ำแข็งที่โบจินนำมานั้นก็ทำให้หน้าอกที่เจ็บปวดเหมือนจะระเบิดออกนั้นบรรเทาลงได้ หยดน้ำจากน้ำแข็งทำให้บาดแผนแสบร้อน แต่ความแสบร้อนแค่นี้ก็หาได้สะเทือนสิ่งใดไม่ และดูเหมือนว่ามนัจะทำให้ยอมินให้ได้สติเสียด้วยซ้ำ
“โบจิน”
“เพคะ”
“…ไม่มีอะไร” ยอมินหยุดพูด แต่ว่าเสียงร้องไห้และคำพูดที่โบจินเปล่งออกมานั้นวนเวียนอยู่ในหัวของนาง คนทำผิดต้องได้รับโทษ
ถือเป็นสัจธรรมที่แน่นอน แต่ยอมินก็ไม่เคยคิดถึงมันเลย สิ่งที่แน่นอนเช่นนี้ตนกลับไม่เคยคิดถึงมันเลย
***
ยอมินมุ่งหน้าไปที่พระราชวังตะวันออก
ทุกอย่างเป็นความผิดของนางเพียงคนเดียว รูแฮอยู่ข้างๆ ตนเสมอแม้มันจะเป็นแค่ภาพลักษณ์ภายนอก แต่รูแฮก็คอยอยู่ข้างๆ ตนจนกระทั่งนางโผล่มา ตอนนี้รูแฮไม่เข้าใกล้ตนเลย ยอมินไม่สามารถทนใช้เวลาคนเดียวได้อีกต่อไป หากอยู่คนเดียวมาตั้งแต่แรกก็คงจะไม่เป็นอะไร ทว่าเคยอยู่ด้วยกันสองคนแล้วต้องมาอยู่คนเดียว ความเสียใจมันก็ยิ่งมากขึ้น
เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
ฝีเท้าของยอมินเร็วขึ้นนางมุ่งหน้าไปยังพระราชวังตะวันออกพร้อมกับโบจิน เมื่อยอมินถึงวังตะวันออกและกำลังจะก้าวข้ามประตูทางเข้าของตำหนักดงบี
“คิดว่าเป็นผู้ใด ที่แท้ก็เป็นพระชายาฮวางเซจานี่เอง”
ยอมินหันหลังไปหาเสียงที่เรียกตนเอง มีสตรีนางหนึ่งเดินเข้ามาหายอมินโดยไม่มีข้ารับใช้ นางคือสนมเอกซานั่นเอง
“สนมเอกซาหรือเพคะ ได้เจอกันที่พระราชวังตะวันออกกันหมดเลยนะเพคะ” ยอมินทักทายด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นไว้ได้ สนมซาที่เดินเข้ามาใกล้ยอมิน ดึงมือของยอมินเข้ามาตน
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะเพคะ ไปคุยกันหน่อยดีหรือไม่เพคะ”
ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั้นยอมินรู้สึกว่าคำพูดนี้ไม่ใช่การเชิญชวน มือของสนมซาที่กำข้อมือของตนอยู่นั้นมีแรงไม่น้อยเลยทีเดียว ยอมินเคยรับรู้มาว่าสนมซามีความสัมพันธ์สนิทชิดเชื้อกับกโยซึล หรือว่านางรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ยอมินรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว พระราชวังแห่งนี้ช่างสกปรกเสียจริง รู้ถึงความเสื่อมทรามนี้ดีแต่ก็ยังปกปิดและปกป้อง หน้าตาที่ดูเมตตาของสนมซานั้นช่างน่ารังเกียจ และเวลาที่นางมองหน้ายอมิน นางก็ยังคงไว้ซึ่งรอยยิ้มนั้น สนมซาพายอมินไปที่สวนด้านหลังวังตะวันออกที่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักดงบี นางทั้งสองนั่งลงคู่กันที่ศาลาในสวน สนมเอกซาจับยอมินนั่งลง แล้วนิ่งเงียบไปสักพัก แน่นอนว่ายอมินไม่เอ่ยปากพูดก่อน นางมัวแต่ควบคุมจิตใจที่โกรธแค้น มัวแต่อดทนกับท้องใส้ที่ปั่นป่วนจึงทำให้ไม่มีกำลังวังชา
“หม่อมฉันทรงรู้ดีว่าเหตุใดพระชายาฮวางเซจาถึงได้เสด็จมาที่พระราชวังตะวันออกเพคะ”
การคาดเดาของยอมินนั้นถูกต้อง ยอมินรู้สึกได้ถึงสิ่งที่พยายามกดและอดกลั้นไว้ภายใน กำลังจะพลิกกลับขึ้นมา ในที่สุดนางก็พูดออกมาเสียงดัง
“กฎของพระราชวังนั้นเข้มงวดนัก สนมซาคิดว่านี่เป็นเรื่องที่ควรปล่อยไว้หรือเพคะ”
สนมเอกซาสะดุ้งแล้วมองไปที่ยอมิน นางคาดไม่ถึงว่ายอมินจะพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ดวงตาดำสนิทที่ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว แน่นอนว่าหากยอมินไปพบกโยซึลด้วงสายตาเช่นนี้คงมีใครคนใดคนหนึ่งต้องตายอย่างแน่นอน
สำหรับสนมเอกซาผู้ไม่ค่อยสนิทสนมกับบุตรสาวทั้งสองของตนมาตั้งแต่พวกนางยังเยาว์นั้น กโยซึลเป็นเหมือนดั่งบุตรคนสุดท้องที่ตนคลอดออกมาเอง แม้กโยซึลกับสนมซาจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดแต่ก็ไม่มีใครที่จะไม่หลงรักเด็กสาวที่เอ็นดูคนนั้นได้ ในมุมของสนมซานั้น ตนไม่สามารถทำเป็นไม่รับรู้ที่บุตรสาวของตนเองเจ็บปวดไม่ได้ แม้กโยซึลจะไม่เคยเล่าให้ฟัง แต่มันก็คงน่าขันนักหากสนมซาผู้อยู่ในพระราชวังนี้มาเป็นสิบๆ ปีจะไม่รู้เรื่องเลย ตอนที่ได้เห็นรอยยิ้มอันสดใสของกโยซึลหลังจากที่นางได้พบเจอกับรูแฮ ตนก็ไม่อาจเอ่ยห้ามสิ่งใดออกไปได้เลย และเนื่องจากนางไม่ใช่คนที่ไม่รู้ถึงความเยือกเย็นเข้าไปถึงกระดูกของฮวางแทจา ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่อยากจะให้กโยซึลมีความสุข
ตนไม่อาจปล่อยให้กโยซึลที่อาจต้องใช้ชีวิตอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ดั่งนกที่ตายอยู่ในกรง ต้องได้รับความเจ็บปวดได้
“มนุษย์เยี่ยงเราจะทำอย่างไรกับประสงค์ของสวรรค์ได้เล่าเพคะ”
“นี่มิใช่ประสงค์ของสวรรค์หรอกเพคะ มันเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจที่สวนทางกับวิถีมนุษย์”
“จิตใจของมนุษย์เปลี่ยนไปตามประสงค์ของสวรรค์เพคะ”
“นี่คือรับสั่งจากองค์จักรพรรดิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ มีรับสั่งให้พระชายาฮวางแทจาดูแลปรนนิบัติ
ฮวางแทจา และมีรับสั่งให้ฮวางเซจารับยอมินเป็นชายาเพคะ”
“แต่มิได้มีคำสั่งให้สร้างความผูกพันธ์นะเพคะ”
บทสนทนาที่เป็นเหมือนกับปืนที่ยิงโต้ตอบกันอย่างรวดเร็วที่ดูไม่มีทีท่าว่าจะจบลงนั้น ดำเนินไปสู่ความยุ่งเหยิงของสายตาที่เยือกเย็นดุจน้ำค้างแข็งของทั้งคู่
“หม่อมฉันมิสามารถเข้าใจได้ หากเรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยสนมซาก็คงมิอาจอยู่ได้อย่างสบายดีหรอกเพคะ”
“ช่างน่าเวทนา พระชายาฮวางเซจายังทรงอ่อนเยาว์นัก จนไม่อาจรู้ถึงเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในเงามืดของพระราชวังนี้ได้”
“ทรงหมายความว่าเรื่องที่ผิดต่อศีลธรรมเช่นนี้เป็นเรื่องปกติอย่างนั้นหรือเพคะ”
เมื่อเทียบกับใบหน้าที่แข็งทื่อของยอมินแล้ว สนมซากำลังยิ้มอย่างนุ่มนวล และนางก็พูดออกมาหนึ่งประโยคด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนว่า
“ทรงคิดว่าพระองค์รักฝ่าบาทฮวางเซจา ได้เท่ากับพระชายาฮวางแทจา ไม่สิ ทรงรักฝ่าบาทฮวางเซจา ได้สักครึ่งหนึ่งของพระชายาฮวางแทจาหรือไม่เพคะ”