บทที่ 41 แดนกายลวงตา (2)
ร่างกายจริง ๆ สามารถเข้าไปแดนมายาได้ !
การมองเห็นจูเซียนเหยามองเห็นพร่ามัวไปชั่วขณะ
นางไม่เข้าใจสักนิด
“ร่างกายจริงจะเข้าไปอยู่ในโลกมายาได้อย่างไร ?” จูเซียนเหยาถาม
ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าบอกไม่ได้เช่นกัน มันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจนัก ขาปี่เอ๋อซือนี่สมชื่อจริง ๆ สามารถเชื่อมความจริงกับมายาเข้าด้วยกันในแดนกายลวงตาได้”
ซูเฉินเอ่ยเสียงชื่นชม นัยน์ตาเป็นประกายระยับ
บัณฑิตขั้นสูง มีแต่บัณฑิตขั้นสูงด้วยกันเท่านั้นที่จะเข้าใจได้
ไม่แน่อาจมีเพียงซูเฉินและฉือไคฮวงที่จะเข้าใจว่าสิ่งที่ขาปี่เอ๋อซือสรรค์สร้างขึ้นมานั้นยิ่งใหญ่เพียงไหน ถึงซูเฉินอธิบาย จูเซียนเหยาก็อาจไม่เข้าใจ
จูเซียนเหยาตอบตามตรง “ข้าไม่เข้าใจว่ามันจะมีประโยชน์ตรงไหน”
“มีประโยชน์ตรงไหนหรือ ?” ซูเฉินเอ่ย “ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง เอาเป็นว่าจิตของคนเราเป็น ‘สิ่งลวงตา’ ส่วนร่างกายนั้นเป็นของจับต้องได้ เผ่าจิตวิญญาณทมิฬสามารถเปลี่ยนพลังจิตเป็นร่างกายจับต้องได้ผ่านเครื่องมือกลายวิญญาณ นั่นคือกระบวนการเปลี่ยนสิ่งลวงตาให้กลายเป็นวัตถุ หรือก็คือ การเปลี่ยนภาพลวงตาเป็นวัตถุจับต้องอาจไม่มากเท่าไร แต่ก็นับว่าเป็นการสร้างเผ่าพันธุ์ใหม่ขึ้นมาทีเดียว !”
จูเซียนเหยาชะงักไป “เจ้าจะบอกว่าแดนลวงตาที่เปลี่ยนเป็นของจริงนี่สามารถสร้างอีกเผ่าที่คล้ายคลึงกับเผ่าวิญญาณได้งั้นหรือ ?”
“ไม่ใช่ ข้าพูดว่าสิ่งประดิษฐ์ที่ดูไร้ค่าก็สามารถมีความสำคัญได้ในระยะยาวต่างหาก ประโยชน์ของการเปลี่ยนโลกมายาเป็นโลกจับต้องได้อาจยังเห็นไม่ชัดเจนในตอนนี้ อาจเพราะเกี่ยวพันถึงเรื่องที่ว่าจะสามารถเปลี่ยนโลกมายาได้มากเท่าไหร่ด้วย แต่มั่นใจได้เรื่องหนึ่งเลยว่ามันเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมมาก”
“เปลี่ยนโลกมายาได้มากเท่าไหร่หรือ ?” จูเซียนเหยาดูสับสน
“ถูกต้อง แดนกายลวงตาของขาปี่เอ๋อซือยังไม่สำเร็จดี” ซูเฉินว่า
“เจ้ารู้ได้อย่างไร ?”
“เพราะเผ่าวิญญาณไม่ได้มีวิชาเช่นนี้ ขาปี่เอ๋อซือเป็นผู้นำเผ่าวิญญาณ หากเขาทำสำเร็จ เขาไม่มีทางเก็บมันไว้ไม่ประกาศแน่ ซึ่งนี่หมายความว่าความพยายามของเขาไม่ประสบผล”
“แล้วมันล้มเหลวตรงไหนกัน ?”
ซูเฉินเหลือบมองรอบข้าง “แดนกายลวงตานี้ตั้งอยู่ในภาพฉายพลังงานสูญ หมายความว่ามันอาจต้องพึ่งพาคุณลักษณะอันเป็นเอกลักษณ์ของภาพฉายพลังงานสูญเพื่อทำให้แดนมั่นคงอยู่ได้ หรือก็คือขาปี่เอ๋อซือยังไม่ผ่านจุดที่สำคัญที่สุดไป… คิดดูแล้วเขามายอมแพ้ตรงนี้ เขาอาจรู้ดีอยู่แล้วว่าโครงการนี้คงไม่อาจทำสำเร็จได้”
จูเซียนเหยาหัวเราะเสียงเย็น “ความจริงก็คือความจริง ภาพลวงอย่างไรก็คือภาพลวง หากภาพลวงกลายเป็นความจริงได้ เช่นนั้นอย่างไรภาพลวงก็ยังเป็นภาพลวงไม่ใช่หรือ ? ข้าว่าหัวหน้าเผ่าวิญญาณคงจินตนาการไปเรื่อยเท่านั้น”
ซูเฉินเหลือบมองด้วยความสมเพช “เจ้านี่ราวกับกบก้นบ่อ(1)”
จูเซียนเหยาโต้ด้วยเสียงโกรธ “เจ้าว่าอะไรนะ ?”
ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าบอกว่าเจ้าไม่มีทางเข้าใจจิตใจของคนที่มีความมุ่งมั่นหมายจะกลืนทั้งโลกได้หรอก แม้แผนการเปลี่ยนโลกมายาเป็นสิ่งจับต้องได้นี้จะล้มเหลว แต่การค้นคว้าของขาปี่เอ๋อซือในเรื่องนี้ก็ไม่ได้ไร้ค่า ข้ามั่นใจว่าแนวคิดการแผ่พลังของเขาก็มีพื้นฐานมาจากสิ่งนี้”
“เจ้าจะบอกว่าการบงการจิตทาสเกี่ยวกับการทดลองนี่หรือ ?” จูเซียนเหยาตกตะลึง
การบงการจิตทาสของเผ่าวิญญาณนับเป็นฝันร้ายของตระกูลจู ซึ่งก็เข้าใจได้เมื่อนึกถึงเรื่องเว่ยเหลียนเฉิงและบุตรชาย ตระกูลจูสามารถทำได้ผ่านสายเลือดจักรพรรดิอสูรเท่านั้น ทว่าเผ่าวิญญาณทุกคนกลับสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
และมันก็เป็นเพราะขาปี่เอ๋อซือ — หรือจะให้ถูกคือขาปี่เอ๋อซือและมั่วเนี่ยลาซือร่วมมือกัน จนวางรากฐาน ทำให้เผ่าวิญญาณน่าเกรงขามเช่นนี้
“ไม่เลว เจ้าเข้าใจแล้วหรือ ?” ซูเฉินจ้องจูเซียนเหยาด้วยสายตาเวทนา “แม้จะเป็นการทดลองที่ผิดพลาด แต่มันก็มีเหตุผลเบื้องหลัง”
พูดจบ เขาก็ยื่นแขนไปด้านหน้าแล้วทำท่าคว้าบางอย่าง ของสิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ มันคือกาน้ำชา
ทว่าฝากาน้ำชานั้นเต็มไปด้วยอักขระค่ายกล มันคือเครื่องมือต้นกำเนิดเป็นแน่
จูเซียนเหยาชะงักไป “เจ้านั่นมาจากไหนกัน ?”
“จากตรงนี้ไง” ซูเฉินหัวเราะ “ข้าบอกแล้วนี่ ? ที่นี่คือที่ที่ภาพมายาและวัตถุจริงผสมปนเปกัน ความลับทั้งหลายของขาปี่เอ๋อซือล้วนอยู่ตรงหน้าเรา อยู่ที่จะเห็นหรือไม่ก็เท่านั้น”
พูดไปเขาก็เก็บเครื่องมือต้นกำเนิดไป
จูเซียนเหยาเองก็ลองทำท่าจับของเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะขยับแขนอย่างไรก็คว้าได้แต่ลม
นางหันไปมองซูเฉิน ทุกครั้งที่เขาทำท่าคว้า ก็จะมีของปรากฏขึ้นในมือทุกครา
ของประหลาดทั้งหลายปรากฏขึ้นมาเช่นนี้ — เครื่องมือต้นกำเนิด หินต้นกำเนิด ตำรา วัตถุดิบหายาแปลกประหลาดทั้งหลาย ทรัพยากร ยา เครื่องราง คัมภีร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ทั้งยังมีของที่จูเซียนเหยาไม่รู้จักมาก่อนอีกมาก
จูเซียนเหยาไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผันผวนพลังรุนแรงจากของเหล่านี้เลย หมายความว่ามันไม่ได้ทรงพลังอะไรนัก ทว่านางก็ยังถูกภาพคนตรงหน้าที่คว้าของออกมาเรื่อย ๆ ทำให้แทบคลั่งเพราะนางไม่อาจทำเช่นนั้นได้เลย
“เกิดอะไรขึ้น ? ทำไมข้าไม่รู้สึกอะไรเลย ?” จูเซียนเหยาตะโกนขึ้น
“เพราะเจ้าจะใช้ตาธรรมดามองไม่ได้” ซูเฉินว่า “ใช้พลังงานจิตสิ”
พลังงานจิต ?
จูเซียนเหยาชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ก่อนนางจะหลับตาแล้วปล่อยพลังงานจิตออกมาให้แรงที่สุด และเมื่อใกล้ถึงขีดจำกัด นางก็สัมผัสได้ถึงวงแสงจาง ๆ ที่ล้อมกายนางอยู่ วงแสงเหล่านี้ลอยขึ้นลงทั้งบนและล่าง เปลี่ยนตำแหน่งอยู่ทุกครา
พลังงานจิตนางอ่อนแอนัก นางจึงทำให้แค่ให้สิ่งของปรากฏขึ้นมาเท่านั้น แต่พลังงานจิตของซูเฉินนั้นทำให้เขาเห็นทุกอย่างได้แจ่มชัด ดูเหมือนพวกมันจะถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบอยู่ตรงหน้าเขาเสียด้วย
“มุ่งพลังงานจิตไว้ จากนั้นเจ้าลองเอื้อมมือคว้ามันดู”
จูเซียนเหยาลองทำตาม นางยื่นมือออกไป คว้าเอาของสิ่งหนึ่งมาได้ ทำเอานางตื่นเต้นนัก เมื่อเห็นว่าเป็นขวดยาธรรมดา นางก็ดูห่อเหี่ยวลง
ซูเฉินหัวเราะ “อย่าเพิ่งหมดกำลังใจสิ ที่นี่ก็ไม่ได้มีของดีอะไรมากอยู่แล้ว ถึงจะเป็นห้องทดลองของขาปี่เอ๋อซือ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาต้องทิ้งของดีเอาไว้ ของที่เหลือก็มีแต่ขยะเท่านั้น… เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รีบร้อนจากไปนัก”
จูเซียนเหยาหน้าคว่ำ “เช่นนั้นเขาจะส่งสายสืบเผ่าวิญญาณมาทำไมกัน ?”
“เพราะพวกเขาไม่ได้คิดจะมาเอาสมบัติอยู่แล้ว พวกเขาอาจจะมาเพราะวิชากายลวงตา” ซูเฉินถอนใจ
สำหรับเผ่าวิญญาณที่มีกายไร้ตัวตน วิชากายลวงตานี้นับว่ามีค่ามหาศาล
หลังจากขาปี่เอ๋อซือตายไป วิชาแดนกายลวงตาก็ไม่ได้ถูกส่งต่อเพราะมันเป็นวิชาที่ค้นคว้าไม่สำเร็จ แต่มั่วเนี่ยลาซือหรือเผ่าวิญญาณชั้นสูงคนอื่น ๆ อาจไม่คิดเช่นนั้น อาจเพราะพวกเขาเชื่อว่าวิชาที่ผิดพลาดนี้ยังอาจพัฒนาได้ต่อยังมีคุณค่า ยังมีหนทางให้ค้นหาอีกมาก
ดังนั้นเผ่าวิญญาณจึงพากันเดินทางมายังที่แห่งนี้เพื่อค้นหาแดนกายลวงตา
“มิน่าเจ้าถึงใจดีนัก คงรู้แต่แรกแล้วสิ ?” จูเซียนเหยาตวัดตามองซูเฉิน
“เจ้าอย่าพูดเช่นนั้นสิ อย่างน้อยหินข้างนอกก็มีค่านะ” ซูเฉินว่าพลางเพิ่มความเร็วในการเก็บของ เน้นพวกตำรา บันทึกการทดลอง และวัตถุดิบเป็นสำคัญ หลักการของแดนกายลวงตาล้วนอยู่ในของเหล่านี้
“ยังไงก็ไม่ใช่ของข้านี่” จูเซียนเหยากอดอกเอ่ยเสียงขุ่น
“หากข้าให้เจ้าเล่า ?” ซูเฉินโต้กลับ
“เอ๋ ? แล้วทำไมเจ้าต้องใจดีเช่นนั้น ?” จูเซียนเหยาถามด้วยความประหลาดใจ
ก่อนซูเฉินจะได้ตอบ พลันมีเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้น “เพราะไม่นานที่นี่จะสลายลงแล้ว ไม่เหลือสิ่งใดไว้อีก”
(1) กบก้นบ่อ : คนมีความรู้น้อย