พิธีรีตองที่น่าหวาดกลัว
หลังจากรถม้าผ่านแนวเนินเขาเตี้ยๆ สองเนินก็หยุดลง มีคนรับใช้หยิบม้านั่งเตี้ยๆ มาวางไว้ข้างๆ รถม้าเพื่อรอให้แขกลงจากรถ สวี่จิ้งจงวางมือลงบนไหล่ของคนรับใช้อย่างสง่างาม เหยียบลงบนม้านั่งเตี้ยๆ ลงจากรถ ราวกับร่างทั้งร่างหมดแรงอ่อนระทวย พฤติกรรมเช่นนี้ทำให้อวิ๋นเยี่ยรู้สึกขยะแขยง
ยังไม่ทันได้รอให้พ่อบ้านชาวเผ่าหูที่มาต้อนรับอวิ๋นเยี่ยได้เอ่ยปากพูด อวิ๋นเยี่ยก็ตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า เขาเห็นเมืองเมืองหนึ่งที่สร้างขึ้นจากอูฐ อูฐนับพันตัวนั่งคุกเข่าหมอบอยู่บนพื้น โดยใช้เชือกผูกต่อกันเป็นวงกลมขนาดใหญ่ ด้านหลังอูฐเป็นกำแพงที่สร้างขึ้นจากหนังอูฐ หนังอูฐแต่ละผืนถูกตอกติดกับท่อนซุงขนาดใหญ่ซึ่งดูแข็งแรงมาก ตั้งอยู่ในทุ่งหญ้าเช่นนี้ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปนำท่อนซุงจำนวนมากมาจากที่ใด
สวี่จิ้งจงรู้สึกสติหลุดลอยเล็กน้อย เขาอยู่ในที่ราบภาคกลางมาเป็นเวลานาน ยังไม่เคยเห็นบรรยากาศของทะเลทราย เมืองอูฐที่อยู่ตรงหน้าทำให้เขาตื่นตระหนกตกใจมาก
“แขกผู้สูงศักดิ์ นี่เป็นพระราชฐานชั่วคราวของกษัตริย์ของเรา อาจดูหยาบกระด้างไปบ้าง เทียบไม่ได้กับทิวทัศน์อันรุ่งโรจน์ของที่ราบภาคกลาง ขออย่าได้หัวเราะเยาะเลย แต่เมืองอูฐแห่งนี้ก็พอจะมีประโยชน์ในทุ่งหญ้าทะเลทรายแห่งนี้อยู่บ้าง หากใช้ในการป้องกันพายุทรายก็ถือว่าวิเศษมากเลย”
ก็ไม่รู้ว่าเจ้าของที่นี่ไปหาคนเช่นนี้มาจากที่ไหน เป็นชาวเผ่าหูแท้ๆ แต่พูดภาษาฉางอันได้ดีกว่าอวิ๋นเยี่ยเสียอีก ทั้งยังหยิบยกเรื่องราวที่เป็นเอกลักษณ์ทำให้นึกถึงทิวทัศน์อันโดดเด่นของฉางอันเป็นระยะๆ ถึงกับมีจุดชมทิวทัศน์ที่ขึ้นชื่อบางแห่งของฉางอันที่อวิ๋นเยี่ยได้ยินเป็นครั้งแรกด้วย
ฉวยโอกาสที่พ่อบ้านสั่งให้คนเตรียมเกี้ยวหาม อวิ๋นเยี่ยถามสวี่จิ้งจงว่า “อะไรคือชื่นชมทิวทัศน์เมืองท้องนา ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาเป็นชาวต้าถังหรือข้าเป็นชาวต้าถังกันแน่”
“ฮ่าๆ อวิ๋นโหว ที่ว่าชมทิวทัศน์นั้นหมายถึงที่ราบเล่อโหยวหยวน เมื่อยืนอยู่บนที่ราบเล่อโหยวหยวนแล้วมองทิวทัศน์ของฉางอัน ถนนสิบสองสายจะแบ่งเมืองฉางอันออกเป็นชิ้นๆ อย่างเท่าๆ กัน ซึ่งก็เป็นระเบียบเท่ากันเหมือนกับสวนผักของชาวนา ทิวทัศน์อันโด่งดังนี้มีชื่อเสียงเทียบเคียงกับทิวทัศน์ฝนฤดูใบไม้ผลิแห่งชวีเจียงเชียวนะ! ” แต่ไหนแต่ไรมาสวี่จิ้งจงไม่เคยปล่อยให้โอกาสแสดงความรู้ของเขาหลุดลอยไป
ประเดี๋ยวเมื่อพวกเราพูดถึงเรื่องของอาหรับ ไม่เชื่อว่าเจ้าจะมีความรู้สิ่งเหล่านี้ด้วย คนซีเป่ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนซีเป่ยที่พอจะมีความรู้เล็กน้อย มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการศึกษาหาความรู้ในประวัติศาสตร์ของซีเป่ย ตั้งแต่รัฐบาลในยุคปัจจุบันเปิดหอจดหมายเหตุแล้ว มันได้กลายเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งของคนเหล่านี้ในการพลิกค้นหาเหตุการณ์ในอดีตที่ถูกฝุ่นปกคลุมจากกองกระดาษเก่าๆ อวิ๋นเยี่ยโชคร้ายมาก คุณป้าผู้ดูแลหอจดหมายเหตุเตะกระสอบผ้าป่านออกมากระสอบหนึ่งด้วยความรำคาญและบอกเขาว่า สิ่งที่เขาต้องการหาอยู่ข้างใน หากอยากจะค้นหาก็ค้นเอาเอง อย่ามารบกวนเวลาดูละครรักรันทดของเธอ กำลังร้องไห้อย่างเต็มที่อยู่เลย
กระสอบของประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการของศาสนาในซีเป่ย นี่ไม่ใช่สิ่งที่อวิ๋นเยี่ยต้องการ อยากจะนำไปเปลี่ยน เมื่อเห็นคุณป้าร้องไห้ฟูมฟายอยู่จึงหยุดความคิดนี้ไว้ เข้าคิวรออยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เพราะไม่ต้องการให้ถูกตัดสิทธิ์ จึงได้แต่ตรวจสอบด้วยความเบื่อหน่าย คิดไม่ถึงว่ายิ่งอ่านยิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้น อ่านอยู่ทั้งวันจนถูกไล่ออกจากหอจดหมายเหตุจึงได้ยอมเลิกรา
ชาวเผ่าหูเหล่านี้ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นชาวอาหรับหรือพวกเปอร์เซียเสียหน่อย พวกเขาก็ไม่ใช่ชาวเผ่าทูเจวี๋ย เมื่อดูรูปลักษณ์ของพวกเขา เส้นผม สีของดวงตานั้นสามารถเป็นได้เพียง ‘เก้าสกุลแห่งเจาอู่[1]’ กล่าวกันว่าบรรพบุรุษของพวกเขาคือชาวต้าเย่ว์จือ[2] หลังจากถูกชาวเผ่าซยงหนูฆ่าล้างชนเผ่า สายเลือดของพวกเขาก็เริ่มสับสน สีผมแบบไหน สีของดวงตาเช่นไรล้วนแล้วแต่มีหมด ตามมุมมองทางพันธุกรรม การผสมพันธุ์ค่อนข้างสับสน แต่ให้ตายสิ ผู้ชายกลับรูปร่างหน้าตาดี ผู้หญิงก็หน้าตางดงาม ไม่มีเหตุผลจริงๆ
“อวิ๋นโหว ก็เพียงแค่บางส่วนของเก้าสกุลชาวเผ่าหูเลือดผสมเท่านั้นเอง ทำไมต้องประหลาดใจด้วย รูปร่างหน้าตาดีเพียงไรก็เป็นแค่ลูกผสมเท่านั้น หากท่านพาพวกนางกลับบ้านสักคนสองคน จะให้บรรพชนของท่านเอาหน้าไปไว้ไหน บางทีอาจไม่ต้องให้ท่านพูดอะไรเลยเล่าฮูหยินที่บ้านท่านก็จะส่งพวกนางไปใช้แรงงานแน่ ตอนนี้มีความสุขก็พอ”
สิ่งที่สวี่จิ้งจงกล่าวมาเป็นความจริงอย่างที่สุด เหล่าจวงที่ยืนอยู่ข้างๆ อวิ๋นเยี่ยเต็มไปด้วยสีหน้าที่ดูถูกเหยียดหยาม ไม่ว่าหญิงสาวจะสวยงามเพียงไหน เมื่อผ่านหน้าไป เขากลับไม่แม้แต่จะขยับเปลือกตาขึ้น
สายเลือดของตระกูลหลี่นั้นก็คงไม่ได้ดีไปกว่าคนเหล่านี้เสียเท่าไรกระมัง ไม่น่าแปลกใจว่าตระกูลใหญ่แห่งซานตงยินดีจะให้ลูกสาวแต่งงานกับชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ก็ไม่ยอมให้แต่งงานกับหลี่ซื่อหมิน ความเกลียดชังที่รุนแรงของหลี่ซื่อหมินที่มีต่อตระกูลใหญ่แห่งซานตงอาจจะมีเรื่องนี้เป็นต้นเหตุกระมัง
คราวก่อนที่เห็นเกี้ยวหามคือเกี้ยวหามของหลี่หยวน เขานั่งอยู่บนนั้นให้หญิงร่างกายแข็งแรงแบก ไม่คิดว่าครั้งนี้ตัวเองจะมีโอกาสได้นั่งสิ่งนี้ด้วย คุณภาพดีกว่าของหลี่หยวนมากนัก เป็นหญิงงามของแท้แต่เรี่ยวแรงมหาศาล เพียงยกขึ้นเบาๆ อวิ๋นเยี่ยก็แทบลอยไปข้างหน้า ใช่เลย มันลอยจริงๆ ไม่รู้สึกว่าโคลงเคลงแม้แต่น้อย ไม่น่าแปลกใจที่หลี่หยวนชอบนั่งมาก
“อวิ๋นโหวอย่าได้เห็นว่าเกี้ยวหามนั้นเรียบง่าย การแบกสิ่งนี้ไม่ใช่ว่ามีเพียงกำลังมากพอก็สามารถแบกได้ ปกติจะต้องฝึกด้วยการวางน้ำเต็มชามหนึ่งใบไว้ด้านบน โดยมีเงื่อนไขว่าไม่ว่าจะขึ้นเนินเขาหรือลงบันไดห้ามให้น้ำหกออกมาแม้แต่หยดเดียว จึงจะถือว่าผ่านเกณฑ์” ตอนนี้นับว่าได้เรียนรู้เรื่องการเข้าใจจิตใจผู้อื่นของสวี่จิ้งจงแล้ว ความสามารถในการสังเกตพฤติกรรมผู้อื่นพี่ชายคนนี้ถือเป็นที่หนึ่งในใต้หล้านี้เลย
พื้นดินในเมืองอูฐเมื่อมองดูจะเห็นว่าเป็นการกระทุ้งดินให้แน่น ราบเรียบเหมือนกระจกไม่เห็นวัชพืชแม้แต่ต้นเดียว ตรงกลางใช้ไม้ก่ออาคารขึ้นสูงเหนือพื้นดินกว่าสามฟุต อาคารทั้งหลังถูกหุ้มด้วยผ้าดิ้นเงินดิ้นทอง ดูแล้วยิ่งคล้ายกับกล่องขนมสีสันละลานตระการตาดูแล้วชวนให้ตาลาย
สวี่จิ้งจงลูบหนวดที่สั้นเตียนและพูดว่า “ในตอนนั้นสือฉงและหวังข่ายแข่งกันโอ้อวดความมั่งคั่ง เคยใช้ผ้าดิ้นเงินดิ้นทองแขวนบนต้นไม้ยาวถึงห้าสิบลี้ ซึ่งได้ถูกเรียกว่าหรูหรา การที่เจ้าบ้านได้คลุมอาคารด้วยผ้านี้ก็มีผลเช่นเดียวกับการแขวนผ้าไว้บนต้นไม้ วันนี้ข้าสวี่จิ้งจงโชคดีได้เห็นความหรูหราของโลกนี้ ถือว่าได้พึ่งใบบุญของอวิ๋นโหวจริงๆ สถานที่ที่ร่ำรวยเช่นนี้หากต้องตายที่นี่ก็ตายตาหลับ”
เหล่าจวงลูบคลำอัญมณีที่ตกแต่งอยู่บนเกี้ยวหาม ก็หน้ามืดตาลายตกตะลึงเช่นกัน มีเพียงอวิ๋นเยี่ยเท่านั้นที่มองดูการตกแต่งที่เหมือนซาลาเปายัดไส้เช่นนี้แล้วเกือบหัวเราะออกมา นี่คือความหรูหราบ้าบออะไรกัน นำผ้าดิ้นเงินดิ้นทองคลุมอาคารไว้ก็ถือว่าล่ำซำแล้ว อย่าได้ให้คนรุ่นหลังได้รับรู้อย่างเด็ดขาด หากให้รู้เข้าคงต้องถูกหัวเราะเยาะจนตาย กบในกะลา! กบที่อยู่ในกะลาของกะลาใบใหญ่จริงๆ ก่อนหน้าส่งทาสไปตายเพื่อเชิญแขก ต่อมาใช้อูฐสีขาวส่งจดหมาย หญิงสาววัยเยาว์อุ่นเท้าด้วยทรวงอก เมืองอูฐและเกี้ยวหามหากทั้งหมดล้วนทำให้อวิ๋นเยี่ยประหลาดใจละก็ เช่นนี้อาคารบ้านๆ หลังนี้ที่ถูกคลุมด้วยผ้าไหมได้ทำให้อวิ๋นเยี่ยมีความมั่นใจอย่างมากขึ้นมาในทันที แม้ว่าเจ้าของจะมั่งมีเพียงใด ก็คงเป็นกบที่อยู่ในกะลาที่ค่อนข้างใหญ่เท่านั้น
แววเยาะเย้ยจางๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า พ่อบ้านชาวเผ่าหูที่ลอบมองอยู่แอบตกใจ ร่ำรวยถึงเพียงนี้ โหวเหยียท่านนี้ยังคงรู้สึกว่าธรรมดาหรืออาจพูดได้ว่าค่อนข้างดูแคลน ไม่รู้ว่าที่ฉางอันเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างไรหลังจากที่เขาออกจากที่นั่นมานานสิบกว่าปี
อวิ๋นเยี่ยเห็นเด็กหญิงสกปรกคนหนึ่งนอนหมอบอยู่บนแผ่นไม้กระดานขนาดใหญ่ ในปากของนางคาบหนังไว้เส้นหนึ่ง สวมเสื้อผ้าที่เหมือนถุงกระสอบเพียงชิ้นเดียว ศีรษะถูกยึดติดอยู่ที่แท่นหนีบไม้ ร่างกายก็สั่นเทาอยู่ตลอดเวลา ด้านข้างยังมีชายร่างใหญ่สองคน หนึ่งในสองคนกำลังใช้หมึกดำวาดเส้นอยู่บนหน้าผากของหญิงคนนั้น อีกคนหนึ่งมือถือสิ่วเทียบขนาดบริเวณศีรษะของหญิงสาวไม่หยุด ดูเหมือนว่าต้องการจะผ่าศีรษะของหญิงสาว
“แขกผู้สูงศักดิ์ ท่านเดินทางมาจากแดนไกล เจ้านายของข้าป่วยอยู่ไม่สามารถออกมาต้อนรับได้ เพื่อชดเชยการเสียมารยาทนี้ ดังนั้นจึงต้องการใช้พิธีสูงสุดของชนเผ่าเรา ‘จอกเหล้าหญิงบริสุทธิ์’ เพื่อต้อนรับการมาเยือนของท่าน
อวิ๋นเยี่ยแทบจะอาเจียนน้ำดีออกมา สิ่งที่เริ่มปรากฏให้เห็นในยุโรปยุคกลาง จะเริ่มปรากฏขึ้นในตอนนี้เลยหรือ ในตำนานที่ว่าเหล่าชนชั้นสูงที่แก่ชราและอ่อนแอ พวกเขาจะใช้กะโหลกศีรษะของสาวบริสุทธิ์เป็นภาชนะสำหรับใส่เหล้าดื่มเพื่อยืดอายุตัวเอง กล่าวกันว่าการทำเช่นนี้สามารถยืดอายุได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือกะโหลกศีรษะถูกนำมาจากศีรษะมนุษย์ทั้งที่ยังไม่ตาย จอกเหล้ากะโหลกศีรษะและคัมภีร์หนังมนุษย์ของทิเบต ต่างก็เป็นเรื่องเน่าเหม็นเผยแพร่ไปทั่วในยุคปัจจุบัน ได้กลายเป็นความอัปยศของมนุษยชาติที่ถูกตรึงตะปูเอาไว้บนเสาแห่งความอัปยศของประวัติศาสตร์ไปตลอดกาล
อวิ๋นเยี่ยอาเจียนไม่หยุด พยายามพูดกับเหล่าจวงว่า “ห้ามพวกเขาที” ท่ามกลางแววตาประหลาดใจของพ่อบ้านและสวี่จิ้งจง อวิ๋นเยี่ยพลิกตัวลงจากเกี้ยวหามและวิ่งไปหาหญิงสาว เขาไม่มีความกล้าพอที่จะสร้างบาปเช่นนี้จริงๆ
เหล่าจวงใช้สันดาบฟาดชายร่างใหญ่สองคนนั้นสลบไปตั้งแต่แรกแล้ว กำลังแก้เชือกให้หญิงสาว อวิ๋นเยี่ยรีบช่วยแก้ปมเชือกหนังในปากของหญิงสาว แต่ศีรษะยังถูกยึดเอาไว้อยู่ หญิงสาวคนนั้นจึงร้องไห้เสียงดัง เสียงนี้คุ้นเคยมาก เมื่อมองอย่างละเอียดแล้ว ที่แท้ก็คือหญิงเลี้ยงแกะคนนั้น
นางตกใจกลัวสุดขีด จับแขนของอวิ๋นเยี่ยไว้ไม่ยอมปล่อย สั่นเทาไปทั้งตัว ฟันสองแถวยังคงกระทบกันไม่หยุด ส่งเสียงดังกึกกักๆ ด้วยอากาศที่หนาวเหน็บแต่เหงื่อก็ไหลจนผ้าป่านบนร่างเปียกโชก อวิ๋นเยี่ยปลดเสื้อคลุมออกให้นางคลุมไว้ แย่งดาบจากมือของเหล่าจวง แล้วฟันลงที่คอของชายร่างกำยำสองคนที่นอนอยู่บนพื้นอย่างแรง เลือดสาดกระเซ็น แต่ไม่เปื้อนร่างเลยแม้แต่หยดเดียว พ่อบ้านชาวเผ่าหูได้ใช้เสื้อคลุมของตนเองกันเลือดที่พุ่งกระฉูดเอาไว้
“ข้าฆ่าคนของเจ้า เจ้าไม่โกรธหรือ” อวิ๋นเยี่ยถอนหายใจพลางถามพ่อบ้าน
“แขกผู้สูงศักดิ์ เห็นได้ชัดว่าท่านฆ่าคนเป็นครั้งแรก ท่านมีจิตใจเมตตาดั่งทูตสวรรค์ นี่คือคุณธรรม ไม่ควรต้องถูกประณาม ควรได้รับการยกย่องและเผยแพร่ไปทั่ว เจ้านายข้าได้สั่งไว้ว่าในเมืองอูฐท่านมีอำนาจเช่นเดียวกับเขา” เมื่อพูดจบก็โค้งกายคารวะเสมือนหนึ่งเป็นผู้รับใช้ แต่ความเย็นชาที่ปรากฏแววตาได้หักหลังเขาแต่แรกแล้ว
“บอกชื่อเจ้านายของเจ้าให้รู้ที พ่อบ้าน ตั้งแต่เริ่มต้นก็ได้วางกับดักข้า บังคับให้ข้ากระโดดลงไปทีละขั้น นี่เป็นหลักการต้อนรับแขกของบ้านเจ้าหรือ” มนุษย์เรามักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานะที่เป็น ชีวิตที่คนคนหนึ่งอยู่เหนือคนอีกคนในช่วงหลายวันนี้ได้ฝึกให้เขากลายเป็นผู้ที่อยู่เหนือผู้อื่นท่านหนึ่งแล้ว เมื่อถามคาดคั้นผู้อื่นขึ้นมาจึงดูน่าเกรงขามขึ้นหลายส่วน
เสียงแหบห้าวดังมาจากด้านในของอาคาร
“อวิ๋นโหวอย่าได้ตำหนิ ด้วยฐานะของข้าไม่สะดวกที่จะพบคนจริงๆ เพียงเพื่อความสับสนในใจแล้วจึงจำต้องทำเช่นนี้ ตอนนี้อวิ๋นโหวให้เกียรติมาเยือน เช่นนั้นเข้ามาสนทนากันด้านในดีกว่า จะถือสาหาความกับพวกชั้นต่ำพวกนั้นไปทำไม หากอวิ๋นโหวไม่พอใจก็ฆ่าเขาได้เลย”
สวี่จิ้งจงเห็นสีหน้าอวิ๋นเยี่ยเต็มไปด้วยความโกรธ เพื่อชีวิตเล็กๆ ของเขาเองจึงตอบเสียงดังว่า “เมื่อครู่อวิ๋นโหวเพียงแค่ไม่สามารถทนดูการฆ่าได้ ทั้งหญิงคนนั้นก็เป็นสหายเก่าอวิ๋นโหวด้วย ดังนั้นจึงอาจเสียมารยาทไปบ้าง ท่านเจ้าบ้านผู้ปราดเปรื่องต้อนรับไม่ขาดตกบกพร่อง ทำให้พวกข้ารู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน จะให้ล่วงเกินได้อีกอย่างไรกัน”
ด้านในอาคารไร้เสียง ดูเหมือนว่าไม่อยากคุยกับสวี่จิ้งจง เอวของพ่อบ้านยิ่งโค้งตัวต่ำลงอีก ผายมือแสดงการเชื้อเชิญให้ขึ้นไปชั้นบน ดูคล้ายกับว่ากำลังขอร้อง
อวิ๋นเยี่ยไม่ใช่ตู้อวี้ เขาทำพฤติกรรมที่ให้เจ้านายฆ่าคนรับใช้ไม่ได้ จึงเดินอย่างผึ่งผายก้าวขึ้นไปชั้นบน หญิงเลี้ยงแกะเดินตามติดๆ แต่กลับถูกพ่อบ้านขวางไว้ อวิ๋นเยี่ยมองหญิงเลี้ยงแกะแล้วบอกกับพ่อบ้านว่า “พานางไปอาบน้ำให้เรียบร้อย หาเสื้อผ้าที่อบอุ่นให้นางใส่ แล้วค่อยพาขึ้นมา”
ในแววตาของหญิงเลี้ยงแกะเต็มไปด้วยคำอ้อนวอน นางไม่กล้าออกห่างอวิ๋นเยี่ย กลัวว่าเมื่ออวิ๋นเยี่ยไปแล้ว คนเหล่านั้นจะใช้สิ่วมาควักศีรษะสมองตนเองอีก
อวิ๋นเยี่ยปลอบโยนเป็นเวลานานและให้เหล่าจวงไปกับนาง นางจึงเดินหนึ่งก้าวหันกลับสามครั้งถึงยอมตามพ่อบ้านออกไป
——-
[1] เก้าสกุลแห่งเจาอู่ หมายถึง เก้าสกุลหรือเก้าแซ่ที่อยู่ในอำเภอเจาอู่ (กันซูในปัจจุบัน) ได้แก่ คัง อัน เฉา สือ หมี่ เหอ หั่วสวิน อู้ตี้และสื่อ
[2] ชาวต้าเย่ว์จือ ในสมัยโบราณอ่านออกเสียงว่า รู่จือ หรือ โร่วจือ เป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ก่อนชาวเผ่าซยงหนู แต่ต่อมาได้พ่ายแพ้ให้กับชาวเผ่าซยงหนู