บทที่ 55 วันที่เขาเกิดเมื่อสิบปีก่อน Ink Stone_Romance
สิบปีก่อน
ลูซิโอซึ่งในตอนนั้นยังเป็นเพียงเจ้าชายรู้สึกตื่นเต้นกับวันเกิดปีที่ 15 ของตนที่ใกล้จะมาถึง แม้เขาจะเป็นหนุ่มน้อยที่อ่อนแอทั้งกายและใจ แต่ถึงอย่างไรวันนั้นก็เป็นวันเกิดของเขา เขาตื่นเร็วกว่าปกติและอวยพรวันเกิดให้ตัวเอง
แม้จะเป็นวันเกิดแต่ก็ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมเป็นพิเศษ หากจักรพรรดิอยู่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่ตอนนี้เขาออกไปทำศึกอยู่ต่างเมือง ส่วนมารดาบังเกิดเกล้าก็ไม่มีทางจัดงานวันเกิดให้เขาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเป็นไปได้สูงว่าวันนี้จะผ่านไปเหมือนวันธรรมดาวันหนึ่ง เขาทำได้เพียงมีความสุขกับการที่วันนี้ได้ชื่อว่าเป็นวันเกิดของเขาเท่านั้น
“องค์ชาย พระจักรพรรดินีทรงเรียกหาเพคะ”
ตอนที่อลิซาเรียกหาเขาคือตอนเที่ยงวันที่ฝนเริ่มตก เด็กหนุ่มรีบมุ่งหน้าไปยังตำหนักจักรพรรดินีด้วยคิดว่าควรจะรีบไปก่อนที่ฝนจะตกหนาเม็ดกว่านี้ ในใจของเขายังคงมีความหวังเล็กๆ ว่าอย่างน้อยวันนี้…นางอาจจะมอบของขวัญให้เขาแทนการทุบตี
อนิจจา เด็กหนุ่มยังเยาว์นัก เขามิได้ตระหนักถึงความเป็นจริงที่กำลังเผชิญอยู่เลยแม้แต่น้อย
ความหวังเล็กๆ นั้นขยายใหญ่ขึ้นเมื่อเขามาถึงตำหนักจักรพรรดินี นั่นเพราะจักรพรรดินีอลิซาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้มผิดไปจากปกติ นางเป็นมารดาที่มักพูดจาโหดร้ายเมื่อเห็นหน้าเขา แต่วันนี้นางกลับต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม ทำให้ความหวังในใจของเด็กหนุ่มงอกเงย
“เสด็จแม่”
“เชิญจ้ะ องค์ชาย วันนี้อากาศดีนะคะ”
เขาคิดว่าคำพูดของนางฟังดูประหลาด แม้จะเป็นการพูดลอยๆ แต่อากาศวันนี้ก็ยากที่จะเรียกว่าดีได้ ทว่า มารดาของเขากลับพูดเช่นนั้น สุดท้ายลูซิโอก็ทิ้งความคิดนั้นไป หากมารดาของเขาบอกว่าอากาศดี มันก็คงจะดีจริงๆ กระมัง ท่านแม่อาจจะพูดออกมาเพราะฝนตกจึงทำให้อากาศสดชื่นขึ้นก็เป็นได้ เขาวิเคราะห์คำพูดของอลิซาตามอำเภอใจก่อนจะตอบ
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ อากาศดีจริงๆ”
“วันนี้เป็นวันเกิดขององค์ชายใช่ไหมจ๊ะ”
คำพูดนั้นทำให้หัวใจของลูซิโอในวัยเด็กเต้นแรง อา ท่านแม่จำวันเกิดของข้าได้! หรือนางจะมอบของขวัญให้ข้ากันนะ เขารีบพยักหน้าด้วยหัวใจที่เต้นแรง
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
“ดังนั้นแม่จึงเตรียมของขวัญไว้ให้ลูกจ้ะ”
นางยิ้มอย่างผิดปกติพลางลุกขึ้น ลูซิโอตาไวสังเกตเห็นท่าทีของอีกฝ่ายที่เหมือนต้องการให้เขาตามไปด้วย เขาจึงเดินตามหลังนางไป แม้ฝนจะตกหนักขึ้น แต่นางก็ก้าวออกไปจากตำหนักจักรพรรดินีอย่างไม่ลังเล เหล่าข้ารับใช้รีบกางร่มให้ ส่วนลูซิโอซึ่งเดินตามอยู่ด้านหลังนั้นมีข้ารับใช้ประจำตัวคนหนึ่งคอยกางร่มให้เช่นกัน
ฝนที่ตกปรอยๆ ก่อนที่เขาจะมาถึงตำหนักจักรพรรดินี บัดนี้ค่อยๆ ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ลูซิโอสงสัยจนแทบทนไม่ไหวว่าจักรพรรดินีอลิซาเตรียมของขวัญอะไรไว้ให้ แต่เขาก็ทำได้เพียงเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ ด้วยกลัวว่านางจะยึดของขวัญคืนหากตนแสดงอาการสงสัยใคร่รู้ออกไป
ไม่นานอลิซาก็หยุดเดิน สถานที่ที่พวกเขามาเยือนคือตำหนักเดี่ยวแห่งหนึ่งในพระราชวัง ลูซิโอหยุดเดินด้วยสีหน้าสงสัย หรือท่านแม่จะยกตำหนักนี้ให้เป็นของขวัญ? เขาคิดแบบเด็กๆ
“เจ้าเห็นอะไร ลูซิโอ”
มารดาที่เรียกเขาว่า ‘เด็กโสโครก’ มาตลอดเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าหัวใจของตนเต้นแรงพร้อมกับตอบคำถามของมารดาอย่างซื่อตรง
“เหมือนจะเป็นคนนะพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ ถูกหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ใช่แล้ว นั่นคือคน”
นั่นคือคน แม้จะถูกพันไว้ด้วยผ้าขาวทำให้เดารูปร่างไม่ออก แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นคนจริงๆ เมื่อรู้ว่าคำตอบกึ่งเดานั้นเป็นคำตอบที่ถูกต้อง ลูซิโอก็แสดงความดีใจออกมาทางสีหน้า แต่แล้วคำพูดต่อมาของอลิซาก็ทำลายสีหน้าดีใจนั้นจนหมดสิ้นในทันที
“คนที่เจ้าจะฆ่า”
“…อะไรนะพ่ะย่ะค่ะ”
ลูซิโอมองผู้เป็นมารดาอย่างไม่เชื่อหู อลิซายิ้มอย่างงดงาม นางดูไม่เหมือนคนที่จะออกคำสั่งเช่นนั้นกับเด็กคนหนึ่งได้
“คนที่เจ้าจะต้องฆ่าวันนี้อย่างไรเล่า ลูซิโอ” นางกล่าวย้ำกับบุตรชายบุญธรรมอีกครั้ง
“เสด็จแม่…”
“หากเจ้าสังหารคนผู้นั้น ข้าจะดีใจอย่างมาก ลูซิโอ เจ้าเต็มใจทำเพื่อแม่คนนี้หรือไม่”
หากเป็นเรื่องที่ทำให้มารดาดีใจ เขาย่อมยินดีไปด้วย แต่มิใช่เรื่องนี้ ฆ่าคนอย่างนั้นหรือ? เด็กหนุ่มส่ายศีรษะโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นใบหน้าประดับรอยยิ้มของอลิซาพลันเปลี่ยนเป็นบึ้งตึง ลูซิโอเห็นดังนั้นก็พลอยหน้าเสียไปด้วย
อา สีหน้าของพระจักรพรรดินีดูไม่ดีอีกแล้ว ลูซิโอคาดเดาถึงการถูกทรมานได้โดยสัญชาตญาณ คาดเดาถึงการถูกทารุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนสุนัขของปาฟลอฟ[1]
“ลูซิโอ”
ทว่า นางไม่ได้ทุบตีเขาในทันที เพียงแต่เรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงเดียวกับเมื่อครู่ ลูซิโอรู้สึกตะลึงเมื่อท่าทีของอีกฝ่ายผิดไปจากที่คิด เขาตอบรับด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวเล็กน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่…”
“นี่เจ้าคิดจะขัดคำสั่งแม่อย่างนั้นหรือ”
“เสด็จแม่ มิใช่อย่างนั้น…”
“ไม่ต้องแก้ตัว เจ้ามันลูกไม่รักดีจริงๆ”
ลูกไม่รักดี ครั้นได้ยินคำพูดนี้ ลูซิโอก็เกร็งไปทั้งตัว คำคำนี้เขาได้ฟังมานับครั้งไม่ถ้วนในยามถูกทุบตี ลูกไม่รักดี เด็กโสโครก เด็กต่ำช้า การประทุษร้ายของนางไม่เคยหยุดอยู่แค่ที่ร่างกาย อลิซารู้ดีเพราะนางผ่านมันมาแล้ว นางรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์เจ็บป่วยหาใช่แผลทางกายแต่เป็นแผลทางใจ
อีกทั้งอลิซายังเป็นคนที่ปรารถนาจะฝากรอยแผลไว้กับลูซิโอมากกว่าใคร นางรู้สึกต่ำต้อยและริษยาจาเน็ตที่ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างที่นางไม่อาจมีได้ นางเกลียดชังลูซิโอที่จะได้รับสืบทอดทุกอย่างโดยชอบธรรม แม้กระทั่งตำแหน่งจักรพรรดิอันทรงเกียรติ ความจริงแล้วสิ่งเหล่านั้นหาใช่ความผิดของพวกเขา แต่ก็ช่วยไม่ได้ อลิซาต้องการใครสักคนมารับผิดชอบความรู้สึกด้านลบของนาง และคนผู้นั้นไม่อาจเป็นพระจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ นางจะบังอาจว่าร้ายจักรพรรดิของจักรวรรดิได้อย่างไรกัน ดังนั้นผู้รับเคราะห์จึงต้องเป็นสองแม่ลูกจาเน็ตและลูซิโอที่อ่อนแอและไร้อำนาจ
“สนองความต้องการของแม่คนนี้ก็ไม่ได้ ลูกเนรคุณ”
“…ขอประทานอภัยพ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ ทว่า…การสังหารผู้อื่นนั้น…”
“ไม่ต้องมาแก้ตัว”
อลิซาพูดอย่างเย็นชาและเริ่มลงไม้ลงมือกับลูซิโอ ลูซิโอได้แต่เม้มปากก้มหน้ามองเบื้องล่าง ปกติแล้วเขามักจะทำทุกอย่างตามที่อลิซาสั่ง มิเช่นนั้นเขาจะถูกทำร้ายทันที แต่เรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ฆ่าคนอย่างนั้นหรือ! มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เขาทำให้ไม่ได้เด็ดขาด
แต่ในพจนานุกรมของอลิซาไม่มีคำว่า ‘ทำให้ไม่ได้เด็ดขาด’ นางเป็นถึงจักรพรรดินีของจักรวรรดิ และในระหว่างนี้ที่จักรพรรดิไม่อยู่ นางก็เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คนที่ขัดใจนางได้ต้องมีแค่จักรพรรดิคนเดียวเท่านั้น มิเช่นนั้นนางคงจะดูน่าสมเพชเกินไป จักรพรรดินีที่ไม่ได้รับทั้งความรักและไม่มีทั้งอำนาจไม่ดูไร้ค่าเกินไปหน่อยหรือ
“ลูกเอย แม่ถือไม้เรียวครั้งสุดท้ายเมื่อไรกันนะ”
‘ถือไม้เรียว’ ไม่ได้มีความหมายตามตัวอักษร แต่เป็นคำเฉพาะที่หมายถึงการทำร้ายลูซิโอโดยไม่เลือกวิธีการ ซึ่งคำพูดนั้นทำให้ลูซิโอหวาดกลัวจนปัสสาวะแทบราด อา สุดท้ายแม้แต่ในวันเกิดของข้า…ท่านแม่ก็จะตีข้าอย่างนั้นหรือ ทำไมล่ะ เพราะข้าไม่ยอมฆ่าคนผู้นั้นหรือ? เด็กชายครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และแล้วเขาก็ได้ข้อสรุป
ท่านแม่จะตีข้าเพราะข้าไม่ยอมฆ่าคนผู้นั้น
แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำไม่ได้ เขามองมารดาอย่างหวาดหวั่นและนั่นก็คือการดิ้นรนที่น่าเวทนาของเด็กน้อยที่กำลังร้องขอความเมตตา เมื่อเด็กน้อยขอร้องด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยถึงเพียงนั้น ย่อมสมควรที่จะได้รับความเมตตา ทว่า อลิซาไม่มีความคิดเช่นนั้น สิ่งที่ถูกสลักไว้ในใจของนางมีเพียงสิ่งเดียว
ข้าไม่ได้อุ้มท้องเด็กคนนี้มา
“อัก!”
การทารุณเริ่มขึ้นแล้ว คติประจำใจในการทารุณของนางคือ ‘ศีรษะจรดปลายเท้า’ เสมอ นางจะเริ่มทำร้ายจากศีรษะจนกระทั่งไปจบที่นิ้วเท้าแต่ละนิ้ว ไม่เพียงแต่การทำร้ายร่างกายทั่วไป แต่ยังรวมไปถึงการคุกคามทางเพศอีกด้วย ความอำมหิตของนางชั่วร้ายและสกปรกเกินบรรยาย เป็นสิ่งที่ไม่คิดว่าคนเป็นแม่จะกล้าทำกับลูกได้ลงคอ
“ฮึก ฮึก!”
ลูซิโอครวญครางอย่างเจ็บปวดพลางปกป้องตัวเองด้วยการกุมมือเรียวบางนั้นไว้ ความเจ็บปวดที่ผู้เป็นมารดามอบให้มิได้เกิดขึ้นกับร่างกายเท่านั้น แต่การถูกคนที่ได้ชื่อว่าแม่ทำร้ายเช่นนี้ย่อมสั่นคลอนไปถึงค่านิยม ‘แม่ทุกคนรักลูก’ ซึ่งฝังลึกอยู่ในใจของเด็กน้อย ด้วยเหตุนี้ เขาจึงสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดเขาจึงไม่เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ เหตุใดจึงมีแต่เขาที่ถูกมารดาบังเกิดเกล้าทำร้าย
และผลลัพธ์ก็มักจะออกมาในแง่ลบไปเสียทุกครั้ง เพราะจิตใจของเด็กนั้นแสนบริสุทธิ์ พวกเขาจึงมองหาสาเหตุของการถูกทำร้ายอย่างทารุณจากตัวพวกเขาเองซึ่งเป็นผู้ถูกกระทำ มิได้มองหาจากตัวผู้กระทำ เมื่อเป็นเช่นนั้นการทารุณกรรมทางร่างกายจึงไม่ได้ทิ้งบาดแผลไว้เพียงบนผิวหนังเปลือกนอก แต่ยังก่อให้เกิดการพังทลายลึกลงไปในจิตใจ รวมถึงความรู้สึกในแง่ลบอื่นๆ อีกด้วย
สิ่งเหล่านี้แม้แต่ผู้ใหญ่ทั่วๆ ไปก็ยังยากที่จะทนไหว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่จะทนได้ ในตอนนี้ลูซิโอจึงกำลังค่อยๆ ตายลงช้าๆ
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท…โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วย…”
แม้เขาจะกำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดแต่เขาก็ไม่อาจเรียกอลิซาผู้ที่เขาคิดว่าเป็นแม่แท้ๆ ว่า ‘แม่’ ได้ อาจเป็นเพราะเขารู้อยู่แล้วว่าอลิซาเกลียดการที่เขาเรียกนางว่าแม่ ดังนั้น เขาจึงกระเสือกกระสนอย่างน่าเวทนาและพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อแสดงให้นางเห็น หรืออย่างน้อยก็เพื่อซื้อความเมตตาจากนาง
ทว่า อลิซาเป็นคนไร้ความเมตตา นางไม่สนใจความทรมานของเด็กชายที่ไม่ใช่ลูกของตนสักนิด อะไรกันที่ทำให้นางกลายเป็นนางมารร้ายที่โหดเหี้ยมอำมหิตได้ถึงเพียงนี้ นางกลายเป็นเช่นนี้เพราะจักรพรรดิไม่ไยดีนางจริงหรือ? หรือเป็นเพราะอนุภรรยาและบุตรนอกสมรสของสามี?
บางทีนางอาจชินชากับการลงทัณฑ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้แล้วก็เป็นได้ เช่นเดียวกับที่ลูซิโอชินชากับการลงทัณฑ์ของผู้เป็นมารดา แม้แต่ตัวอลิซาเอง ในท้ายที่สุดนางก็คุ้นชินกับการลงโทษนั้นเสียแล้ว โดยที่ไม่รู้เลยว่าความคุ้นชินนั้นหล่อหลอมให้ตนกลายเป็นปีศาจร้าย หรือบางทีนางอาจไม่ได้สนใจว่าตัวเองจะต้องกลายเป็นปีศาจหรือไม่
“เจ้าเด็กขอทาน! มีใครจะฆ่าเจ้าหรืออย่างไร เจ้านี่โง่เขลาเบาปัญญาเหมือนใครกัน?!”
แผลเดิมเมื่อไม่นานมานี้ยังไม่ทันสมานดีก็ปริแตกอีกครั้ง ลูซิโอกัดปากแน่นและร้องครางออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บปวด ในขณะเดียวกันเขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาด้วยสติที่เลือนรางเต็มที
ในระหว่างที่ทุบตีเขา ผู้เป็นมารดามักจะพูดว่า ‘เจ้านี่โง่เขลาเบาปัญญาเหมือนใครกัน’ อยู่บ่อยครั้ง แต่ลูซิโอที่ยังเล็กย่อมไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนั้น ตัวเขาเป็นบุตรของจักรพรรดิและจักรพรรดินีไม่ผิดแน่ หากเขาไม่เหมือนสองคนนั้น แล้วเขาเหมือนใครกันล่ะ? ตัวเขาซึ่งไม่ได้รู้ถึงชาติกำเนิดที่แท้จริงของตนจึงไม่อาจทำความเข้าใจได้
เมื่อถูกทุบตีหนักเข้าก็ยากที่จะประคองสติอันเลือนลางไว้ได้ ในท้ายที่สุดเขาก็รู้สึกว่าหัวสมองของตนว่างเปล่า แม้เขาจะชินชากับความเจ็บปวดซ้ำซากแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ทรมาน เช่นเดียวกับการถูกมีดบาด ไม่ว่าจะถูกบาดอีกกี่ครั้งก็ยังคงเจ็บอยู่ดี
เขาเพียงแต่อดทนไว้เท่านั้น อย่างน้อยตอนที่ถูกทำร้ายคราวก่อนเขาก็ไม่ตาย เขาจึงคิดว่าคราวนี้ก็คงไม่ตายเหมือนกัน เขาปกป้องตัวเองด้วยการคิดในแง่ดีอย่างน่าสงสาร อย่างน้อยลูซิโอที่ยังเยาว์วัยก็อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
แต่คราวนี้ช่างหนักหนาเหลือเกิน ในชั่วขณะนั้นเองลูซิโอที่ยังคงอดทนต่อการทุบตีของอลิซามีความคิดหนึ่งผ่านเข้ามาในสมอง
‘หากข้าฆ่าคนคนนั้นเสีย ท่านแม่จะเลิกตีข้าไหมนะ’
[1] สุนัขของปาฟลอฟ คือ สุนัขที่ถูกใช้ในการทดลองของอีวาน เปโตรวิช ปาฟลอฟ เขาเป็นเป็นนักจิตวิทยาและสรีรวิทยาชาวรัสเซีย-โซเวียตที่ศึกษาเกี่ยวกับการทำงานของกระเพาะอาหารของสุนัขโดยการผ่าต่อมน้ำลายเพื่อเก็บ วัด และวิเคราะห์น้ำลายที่ตอบสนองเมื่อมีอาหารภายใต้สภาวะต่างๆ