ตอนที่ 767-768

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.767 – ฝ่าด่านเป็นภูติ
  ซือหยูก้าวไปอย่างหน้าอย่างมั่นคง
  “เอาเลย…เข้ามา…”
  ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนว่ากำลังจะต่อสู้กับใครแต่ดูเหมือนจะเป็นการมอบบทเรียนให้แก่ใครบางคนมากกว่า
  “เจ้ามันหยาบคายนัก!”
  ถังเฟิงถอนหายใจแรง
  “หมัดอสูรฟ้าคราม!”
  ถังเฟิงตะโกนหมัดของเขากลายเป็นสีดำดูเหมือนกับมือชั่วร้ายของอสูร! หมัดที่พุ่งเข้ามานั้นอัดแรงลมรุนแรงจนทำให้ซือหยูเจ็บแก้มเล็กน้อย
  ฉางฟานพยักหน้าชม
  “หมัดอสูรฟ้าครามเป็นวิชาระดับวิญญาณหากใช้ รยางค์ทั้งสี่จะแข็งแกร่งขึ้นด้วยพลังอสูร ถังเฟิงใช้พลังได้อย่างยอดเยี่ยม เขาบ่มเพาะจนถึงขั้นต้นในระดับสาม ชายแก่คงจะเจ็บตัวไม่น้อย!”
  ทุกคนเริ่มพูดถึงการประลองที่เกิดขึ้น…
  “ใช่แล้ววิชาหมัดนี้ขึ้นชื่อในฐานะวิชาพื้นฐานของดินแดนพรสวรค์ทั้งสิบแปด! หากบ่มเพาะได้สมบูรณ์ก็จะเพิ่มพลังไปอีกหลายส่วน!”
  “หึหึถังเฟิงโหดร้ายนัก! แทนที่จะหาทางไล่เขาไปเฉย แต่กลับใช้พลังทั้งหมด! ถังเฟิงอยากจะสังหารชายแก่หรืออย่างไร?”
  ซือหยูดันมือไปข้างหน้าปะทะกับหมัดลุ่นๆโดยไม่ใช้วิชาบ่มเพาะ
  ปั้ง!ปั้ง!
  เมื่อหมัดปะทะกันคลื่นพลังทะเลคลั่งได้ปะทุออกมาจากหมัดถังเฟิงถึงกายซือหยู ซือหยูถอยหลังสองก้าวก่อนจะแตะปลายเท้ากลับมาทรงตัวได้อย่างง่ายดาย ส่วนถังเฟิงนั้นถอยหลังไปสามก้าว ร่างกายโอนเอนไปมาก่อนจะกลับมาทรงตัวได้อย่างยากลำบาก
  ใบหน้านั้นทั้งตกตะลึงและสับสนเขากระทืบเท้า
  “เจ้า…”
  ผู้คนรอบๆเบิกตากว้างขึ้นมาเล็กน้อยสีหน้าพวกเขาดูแปลกประหลาด
  “เขาทำได้ยังไง?”
  บางคนเริ่มพูดขึ้นมาอย่างเกรงขามยอดฝีมือหลายคนตกใจออกนอกหน้า
  พวกเขาล้วนคิด…กึ่งภูติรับพลังสูงสุดของภูติระดับสามได้ด้วยรึ?เพราะกึ่งภูติกับภูตินั้นแตกต่างกันอย่างมาก มันยากที่จะต่อสู้กันหากไร้ซึ่งสมบัติวิเศษ
  ฉางฟานมองซือหยูและมองแขนของเขาเขาสังเกตเห็นสายพลังโลหิตที่หลังมือของซือหยูมีสีทองแปลกๆ
  ซือหยูดึงมือกลับและมองคนที่เหลืออย่างดูถูกเช่นกันเขาเข้าใจพลังของตัวเองในตอนนี้แล้ว เขาสัมผัสได้ว่ามันอยู่ระหว่างสามแรงช้างกับอีกครึ่งแรงช้าง
  กายามังกรมอบพลังให้เขาไม่มากก็น้อยแต่ถ้าเขาอ่านภาษามังกรได้อีกและเข้าใจกายามังกรเทพปีศาจมากขึ้น เขาอาจจะทำให้ร่างกายของเขาพัฒนาไปไกลขึ้น!
  “ดูเหมือนว่าคนใสสะอาดที่ผ่านการทดสอบมาจะไม่ได้แข็งแกร่งกว่าข้าที่ใช้วิธีสกปรกนี่!”
  ซือหยูกล่าวด้วยรอยยิ้ม
  ถังเฟิงมิอาจทนรับความอัปยศเขากัดฟันและตะโกนดัง
  “มาสู้กันต่อ!ข้าเพียงแค่ประมาทเท่านั้น”
  ฟึ่บ!
  ในตอนนั้นเองหยวนหยิงหยิงก้าวมาข้างหน้าอย่างห้าวหาญ นางถือกระบี่ยาว
  “มาสู้กับข้า!เจ้าทำอะไรปู่ซือไม่ได้หรอก!”
  ในสายตานางนั้นซือหยูเก่งกาจเทียบเท่าจ้าวเทวะ เขาไม่ควรจะเอาตัวไปพัวพันกับเด็กที่ต่ำต้อยกว่าเขาเช่นนี้!
  ถังเฟิงสีหน้าเยือกเย็น
  “ก็ได้แต่อย่าคิดว่าข้าจะออมมือเพราะเจ้าเป็นผู้หญิง!”
  เสียงถากถางดังเข้ามา
  “อะไรกัน?เจ้ากล้าวิวาทภายในก่อนจะเริ่มการทดสอบรึ?”
  เสียงดังมาจากนอกลานฝึก
  เมื่อทุกคนหันไปมองก็พบกับสตรีรูปร่างสง่ายืนอยู่บนกำแพงลานนางสวมชุดสุภาพที่ดูละเอียดอ่อนและมีใบหน้าที่น่ารัก นางมองพวกเขาทุกคนอย่างดูถูก
  นางงดงามอย่างมากผิวขาวดั่งหิมะ ดวงตาดูใสสะอาดดั่งวารีจากธารใส เส้นผมดำยาวปลิวไสตามแรงลมไปที่ด้านหลัง แสงตะวันฉายส่องนางราวกับนางไม้อมตะ
  “นายหญิงชางก่วน!”
  คนที่สนใจการประลองลนลานและรีบวิ่งไปทักทายนางพร้อมกันรวมถึงฉางฟานด้วย
  ซือหยูมองสตรีบนกำแพงอย่างแปลกใจเขาค่อนข้างสับสนกับรูปลักษณ์ของนาง…
  นั่นมันชางก่วนชิงเอ๋อไม่ใช่หรอกรึ?นางไม่ได้โดนพ่อลูกตระกูลไป่ฆ่าตายในกระโจมเทพสวรรค์ไปแล้วหรืออย่างไร? นางปรากฏตัวที่นี่ได้ยังไง?
  ชางก่วนชิงเอ๋อเป็นศิษย์ที่ไม่เป็นทางการของเจ้าตำหนักโลหิตม่อเทียนฉวนและนางยังครอบครองสายโลหิตกายาวิญญาณโบราณเสี้ยวเล็กๆอยู่ นางรับภารกิจมายังกระโจมเทพสวรรค์เพื่อที่จะนำกายาวิญญาณกลับไป นางเข้าใจผิดว่าซือหยูเป็นกายาวิญญาณและตายอย่างน่าสยดสยองในกระโจมเทพสวรรค์
  ชางก่วนชิงเอ๋อกระโดดลงจากกำแพงอย่างงดงามและมองถังเฟิง
  “ชายแก่มิได้พูดผิดเพี้ยนเจ้าไม่มั่นใจพลังตัวเอง กลับยังหวังว่าจะได้เข้าตำหนักโลหิตหากพลักไสคนอื่นออกไป ถึงคนอย่างเจ้าที่เอาแต่พึ่งพาโชคชะตาจะได้เข้าตำหนักโลหิต เจ้าก็คงไปได้ไม่ไกลหรอก”
  “เจ้าควรจะไปซะค่อยกลับมาคราวหน้า”
  ถังเฟิงหน้าซีดชางก่วนชิงเอ๋อริบสิทธิ์การทดสอบของเขา! และที่แย่ไปกว่านั้น การเรียกตัวครั้งถัดไปจะต้องรออีกสามปี ซึ่งเขาจะอายุเกินยี่สิบปีไปแล้ว เขาจะไม่มีสิทธิ์เข้ารับการทดสอบ!
  ถังเฟิงได้แต่ไม่ยอมรับแต่ก็ออกไปอย่างไม่เต็มใจชางก่วนชิงเอ๋อหันมามองหยวนหยิงหยิงก่อนจะจ้องซือหยู นางมองเขาด้วยดวงตาสดใส นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
  “เราเคยเจอกันมาก่อนรึ?”
  แม้ซือหยูจะรูปลักษณ์แก่เฒ่าเขาก็มีส่วนที่ยังหนุ่มให้เห็นอยู่
  “นายหญิงชางก่วนเล่นตลกอันใด?ข้าเป็นแค่ยอดฝีมือเร่ร่อนตัวเล็กจ้อย ข้าจะเคยพบเจอคนสำคัญอย่างท่านรึ?”
  ซือหยูถามเขาพยายามแสดงอย่างแนบเนียน!
  ชางก่วนชิงเอ๋อยังคงเคลือบแคลง
  “ข้าอาจจะเข้าใจเข้าผิดกับคนอื่นต้องเป็นอย่างนั้นแน่”
  นางพูดต่อ
  “แต่เจ้าก็ไปได้แล้วเจ้าพานางมาส่งอย่างปลอดภัยแล้ว สบายใจได้ นางจะอยู่อย่างปลอดภัย นี่เป็นเวลาพิเศษ คนนอกห้ามอยู่ที่นี่”
  ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยวใบหน้าแก่เฒ่าของเขาแดงด้วยความอาย
  “แต่…ข้าก็มาทดสอบเหมือนกัน”
  มิเพียงแค่ชางก่วนชิงเอ๋อที่งุนงงแต่คนอื่นๆกับฉางฟานก็ตกใจไม่แพ้กัน
  “อะไรนะ?เจ้าน่ะรึ?”
  ชางก่วนชิงเอ๋อมองซือหยูด้วยความสงสัย
  “เจ้าจะบอกว่าเจ้าอายุไม่ถึงยี่สิบปีเรอะ?”
  ซือหยูพยักหน้า
  “ใช่แล้วรูปลักษณ์ของข้าเป็นเช่นนี้เพราะว่า…ข้าบ่มเพาะวิชาในสภาพประหลาดมานาน”
  ทุกคนอ้าปากค้าง…เป็นไปได้รึที่จะมีรูปลักษณ์แก่เฒ่าเพียงเพราะบ่มเพาะพลัง?
  “อ๊ะ!ปู่ซือ! จริงรึ? ปู่ยังอายุไม่ถึงยี่สิบเหรอ?”
  หยวนหยิงหยิงตกใจแต่เมื่อคิดให้ดีก็จำได้ว่าชางก่วนหยุนซื่อเรียกเขาว่า ‘น้องซือ’ ขณะที่เดินทาง ครั้งนั้นนางสับสน แต่ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว!
  แต่นางยังคงสงสัย…ถ้าหากเขาไม่ได้อายุมากกว่ายี่สิบปี…เช่นนั้นเขาก็ปล่อยให้ข้าเข้าใจผิดเรียกว่าปู่ซือมาตลอดไม่ใช่รึ?ยิ่งไปกว่านั้น นางยังหอมแก้วและกอดเขาอยู่บ่อยครั้งโดยไม่รู้เลยว่าเขาไม่ใช่ชายแก่จริงๆ! นางจ้องมองซือหยูด้วยความโมโห
  “เป็นเรื่องจริงเสียด้วย”
  แสงฉายจากส่วนลึกสุดของดวงตาชางก่วนชิงเอ๋อ
  “แม้ภายนอกจะดูเหมือนชายแก่แต่ก็เป็นเพราะเจ้าเสียอายุขัยไป จริงๆเจ้าควรจะอายุประมาณยี่สิบปี!”
  เหล่าหนุ่มสาวสีหน้าประหลาดเมื่อนางยืนยันว่าซือหยูเป็นคนเข้าร่วมการทดสอบที่ผ่านคุณสมบัติ
  “พวกเจ้าทุกคนควรพักผ่อนเพราะพรุ่งนี้จะต้องพบท่านพ่อของข้าอีกวันจะมีคนมาพาเจ้าไปที่ตำหนักโลหิต…”
  ชางก่วนชิงเอ๋อพูดก่อนจะจากไป
  หลังจากนางไปแล้วทุกคนได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน มีภูติระดับหนึ่งหลายคนเข้ามาผูกมิตรกับซือหยู ซือหยูพูดคุยกับแต่ละคนอย่างใจดี แม้ว่าเขาไม่อยากจะเป็นมิตรกับใคร เขาก็ไม่ควรจะดูหมิ่นผู้ใด
  เมื่อตกกลางคืนซือหยูกินโอสถคืนชีพยางพิสุทธิ์เม็ดสุดท้าย พลังอันอบอุ่นเข้าฟื้นฟูสายพลังโลหิตภายในจนสมบูรณ์ มันกลับมาในสภาพดีอีกครั้ง
  หลังจากซือหยูสังเกตดูอย่างละเอียดเขาพบว่าสายพลังโลหิตของเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมถึงหนึ่งในสาม นั่นจึงเป็นเหตุที่ซือหยูมีพลังเทียบเท่าภูติระดับสาม
  “คงเป็นเพราะโอสถฟื้นชะตา…”
  ตอนที่เขาถือโอสถฟื้นชะตาในวันที่ต่อสู้กับจักรพรรดิโลหิตร่างกายของเขาถูกทำลายหลายครั้งก่อนจะเกิดขึ้นใหม่ด้วยผลของโอสถ การทำลายล้างและเกิดใหม่หลายครั้งคราทำให้สายพลังโลหิตภายในของเขาถูกหลอมรวมถึงหลายครั้งจนแข็งแกร่งขึ้น
  แท้จริงมิใช่เพียงแค่สายพลังโลหิตที่แข็งแรงขึ้นแต่ทั้งร่างกายของเขายังแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วย! หากเขาฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว พลังของเขาควรจะเพิ่มขึ้นไปหนึ่งระดับ อย่างน้อยก็สามแรงช้างครึ่ง อาจจะเป็นสี่แรงช้างด้วยซ้ำ!
  เมื่อสายพลังโลหิตไม่ติดขัดอีกนี่ก็คือเวลาที่เขาจะต้องกลายเป็นภูติ แสงประกายในมือพร้อมกับม้าเมฆาที่ปรากฏในมือซ้ายพร้อมด้วยโอสถขยายภูติระดับสี่ในมือขวา
  “ถึงเวลาที่ข้าจะต้องกลายเป็นภูติแล้ว!”
  เขาเหลือบมองมือซ้ายมือขวาก่อนจะกินม้าเมฆาก่อนม้าเมฆามีพลังที่บริสุทธิ์มาก นั่นจะทำให้แก้วพลังชีวิตของเขาเปลี่ยนแปลง
  เขาอ้าปากกลืนม้าเมฆาของเหลวเย็นยะเยือกผ่านลำคอไปถึงท้อง มันกลายเป็นพลังบริสุทธิ์จำนวนมากผ่านเส้นโลหิตไปยังจุดกำเนิดพลัง
  จุดกำเนิดพลังของซือหยูแบ่งเป็นสองชั้นซึ่งก็คือจุดกำเนิดสวรรค์และจุดกำเนิดธรณี พลังบริสุทธิ์หลั่งไหลเข้ามาสร้างแรงกดดันรุนแรงต่อจุดกำเนิดพลัง ความเจ็บปวดส่งตรงออกมายังภายนอกเมื่อมีพลังเอ่อล้นเข้าไปอีก ดูเหมือนกับว่าจุดกำเนิดพลังของเขาจะระเบิดในอีกไม่ช้า
  เมื่อพลังของม้าเมฆาทั้งหมดเข้าไปแล้วจุดกำเนิดพลังส่วนนอกมิอาจรับไหว มันส่งเสียงระเบิดจากภายใน ดูเหมือนว่าได้เกิดโลกใหม่ภายในจุดกำเนิดพลังชั้นนอกของเขา มีมิติยาวสองพันศอกปรากฏข้างในนั้น
  แก้วพลังทั้งสามดวงระเบิดเป็นเสี่ยงๆพลังชีวิตภายในกลั่นเป็นวารีไหลเข้าเติมเต็มมิติทั้งสองพันศอก เพียงพริบตาเดียว พื้นที่ของจุดกำเนิดพลังภายนอกของเขาก็ได้กลายเป็นสายธารยาวสองพันศอก!
  พร้อมกันนั้นเองพลังวิญญาณจากทั้งโลกได้รวมตัวกันเข้าสู่ร่างกายซือหยู มันเข้าไปที่จุดกำเนิดพลังภายนอกทันที พลังวิญญาณเหล่านั้นถูกบีบอัดเป็นพลังชีวิต จากนั้นจึงบีบอัดเป็นวารีพลังชีวิตและไหลสู่ธารพลัง
  เมื่อผ่านไปสามชั่วยามชุดกำเนิดพลังของซือหยูได้เต็มไปด้วยวารีพลังชีวิต ราวกับวายุพิรุณชีวิตได้ตกลงมาจนธารแห้งเต็มไปด้วยหยาดวารีวิเศษ!
  เมื่อพลังชีวิตหยุดไหลเข้าสู่ร่างของเขาจุดกำเนิดพลังภายนอกก็เต็มไปด้วยวารีพลังชีวิต แม้แต่ความบริสุทธิ์ก็เทียบไม่ได้กับภูติและกึ่งภูติที่มีระดับเดียวกับเขา!
  แท้จริงแล้วพลังของทุกวิชาที่เขาเคยบ่มเพาะในอดีตได้แข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าถ้าเขาใช้พลังชีวิตของภูติในตอนนี้! แต่ที่ซือหยูตกใจที่สุดก็คือวิบัติสวรรค์ที่เขาคิดว่าจะต้องเจอกลับยังไม่มาถึง แสดงว่าเขาทะลวงพลังไม่สำเร็จ
  เกิดอะไรขึ้น?ซือหยูสับสน เขาตรวจดูจุดกำเนิดพลังภายในและก็ต้องทำหน้าประหลาด จุดกำเนิดพลังภายนอกของเขาเปลี่ยนเป็นสายธาร แต่จุดกำเนิดพลังภายในยังคงมีขนาดเล็กอยู่ ลึกลงไปยังมีแก้วพลังชีวิตอีกสามดวงที่ยังลอยอยู่ในจุดกำเนิดพลังภายในนั้น
  ข้าต้องขยายจุดกำเนิดพลังภายในด้วยถึงจะฝ่าด่านพลังไปได้รึ? ซือหยูสงสัย
  ในตอนนั้นเองหยวนหยิงหยิงได้พบความปั่นป่วนของพลังลอยเข้ามา เมื่อมาถึงซือหยูก็พบว่ารังสีของเขาเปลี่ยนไป นางถามด้วยความสงสัย
  “พี่ซือพี่ทะลวงพลังสำเร็จแล้วรึ? พลังของพี่แข็งแกร่งมาก แต่ก็ดูคลุมเครือ ทำไมข้ามองฐานพลังของพี่ไม่ได้ล่ะ?”
  ซือหยูมุมปากบิดเบี้ยวเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบนางอย่างไร เพราะไม่มีใครที่จะเข้าใจสภาพในตอนนี้ของเขาได้ ซือหยูครุ่นคิดก่อนจะกินม้าเมฆาอีกต้น มันได้กลายเป็นพลังหลั่งไหลสู่จุดกำเนิดพลังภายนอก แต่ก็มิอาจไปถึงจุดกำเนิดพลังภายในได้
  และก็ดูเหมือนว่าม้าเมฆาจะช่วยให้เขาเพิ่มพลังไม่ได้อีกแล้วซือหยูไม่พอใจเมื่อตระหนักรู้ เขามองโอสถขยายภูติระดับสี่ในมือขวาอย่างหนักใจ เขาทำได้แค่ลองโอสถขยายภูติแล้ว…
DND.768 – ต้อนรับคณะ
  การเกิดใหม่ของจุดกำเนิดพลังของซือหยูนั้นทำให้เขามีพลังชีวิตเหนือกว่ากึ่งภูติอย่างมหาศาลแต่มันก็เป็นมารผจญที่ทำให้เขาเป็นภูติไม่ได้ เขาใช้เวลาทั้งคืนในการฝ่าด่านพลัง และตอนนี้ก็เป็นเวลากลางวันแล้ว เขาต้องไปพบเจ้าตระกูลชางก่วน
  เมื่อผ่านไปครึ่งชั่วยามสาวใช้ได้มาพร้อมกับอาหารเช้า หลังเสร็จธุระพวกเขาก็ถูกพาไปยังโถงรับแขกของตระกูลชางก่วน เจ้าตระกูลชางก่วนนั่งอยู่อย่างไม่สู้ดีพร้อมกับเสาหลักของตระกูลคนอื่นๆ รวมถึงชางก่วนหยุนซื่อและชางก่วนชิงเอ๋อ
  เจ้าตระกูลชางก่วนค่อนข้างมีภูมิฐานชางก่วนหยุนซื่อกับชางก่วนชิงเอ๋อที่นั่งอยู่ด้านขวานั้นสีหน้าไม่ต่างกันนัก
  เมื่อเจ้าตระกูลชางก่วนมองพวกเขาซือหยูก็พบสายตาเฉียบคมที่มองทะลวงจิตใจผู้คนได้ ซือหยูทึ่งกับพลังของเขา เพราะเขาคือจ้าวเทวะ และยังเป็นจ้าวเทวะชั้นกลาง!
  แม้ร่างกายจะไม่ได้เปล่งพลังเขาก็ทำให้คนอึดอัดราวกับเผชิญหน้ากับภูเขาสูงใหญ่ เขามองผ่านทุกคนอย่างไร้อารมณ์ เขาหยุดมองซือหยูนานกว่าคนอื่นเพียงช่วงเวลาเดียวก่อนจะละสายตา
  “ไม่เลวถึงจะทุ่มเทเพียงลำพัง แต่ยังประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้…”
  เจ้าตระกูลชางก่วนกล่าว
  “ข้ามีสิบสิทธิ์และข้าสามารถรับพวกเจ้าเข้าตระกูลชางก่วนได้ ข้าจะได้บ่มเพาะพวกเจ้าด้วยตัวเอง พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร?”
  เขารึ?ซือหยูครุ่นคิด…
  พวกเขาถูกแนะนำให้มาที่นี่เพื่อรับการทดสอบเข้าสู่ตำหนักโลหิตเหตุใดเขาเปลี่ยนใจเล่า? แล้วทำไมเขาถึงอยากให้พวกเขาอยู่ในตระกูลชางก่วน?
  ตระกูลชางก่วนมีอิทธิพลและอำนาจยิ่งใหญ่ถ้าพวกเขาได้อยู่ที่นี่ พวกเขาก็จะได้ทรัพยากรในการบ่มเพาะมากมาย แต่นั่นก็เทียบไม่ได้กับสำนักใหญ่ในดินแดนพรสวรรค์ ไม่ต้องพูดถึงตำหนักโลหิตเลย! พวกเขามีโอกาสจะได้เข้าตำหนักโลหิตอยู่แล้ว หากต้องอยู่ในตระกูลชางก่วนตอนนี้ก็เป็นการเสียผลประโยชน์
  ฉางฟานพูดเป็นคนแรก
  “ท่านเจ้าตระกูลท่านโปรดบอกเหตุผลในข้อเสนอนี้ได้หรือไม่?”
  พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลัง
  เจ้าตระกูลชางก่วนพยักหน้าช้าๆ
  “ย่อมได้พวกเจ้าทุกคนในพรสวรรค์ยอดเยี่ยม บางคนอาจจะเข้าสู่ตำหนักโลหิตได้ด้วย แต่ดินแดนพรสวรรค์ทั้งสิบแปดกำลังเกิดเรื่องใหญ่เมื่อเร็วๆนี้ รังวิหคแปดแห่งของตระกูลเราถูกจู่โจมพร้อมกัน ลูกชายข้าเกือบตาย หลายกิจการถูกทำลายโดยสำนักที่พวกเราไม่รู้จัก”
  เขาส่ายหน้า
  “หลังจากที่ข้าติดต่อตระกูลอื่นข้าก็ได้ข่าวว่าเรื่องเดียวกันเกิดขึ้นในตระกูลใหญ่ด้วย! ตระกูลฉีเหมินที่เป็นลำดับสามรองตระกูลชางก่วนยังถูกโจมตีด้วย พวกเขาถูกกำจัดในค่ำคืนเดียว ไม่มีลูกหลานคนไหนรอดชีวิตเลย!”
  ฉางฟานเบิกตากว้าง
  “ตระกูลฉีเหมินถูกกำจัดไปแล้วรึ?”
  เขาไม่อยากจะเชื่อ
  “ตระกูลใหญ่เช่นนั้นจะถูกกวาดล้างในคืนเดียวได้ยังไง?ฝีมือใครกัน? มีแค่สำนักใหญ่ในดินแดนพรสวรรค์เท่านั้นที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ใ..”
  ฉางฟานกล่าว
  คนอื่นๆก็ตกใจและหวาดกลัวกับข่าวนี้พวกเขาตัวแข็งทื่อเมื่อคิดว่าตระกูลขนาดใหญ่ถูกกวาดล้างในพริบตา
  “จะต้องมีสำนักมืดมาที่ดินแดนพรสวรรค์และพยายามทำลายทุกสำนัก!ตระกูลชางก่วนก็ตกเป็นเป้าหมาย!”
  เจ้าตระกูลชางก่วนสีหน้าหม่นหมอง
  “เพื่อไม่ให้สายโลหิตของตระกูลชางก่วนสูญสิ้นเหมือนตระกูลฉีเหมินเราเลยส่งเด็กทั้งหมดในตระกูลเราไปที่ตำหนักโลหิต”
  สีหน้าของฉางฟานกับคนอื่นๆไม่น่าดูเท่าใดนักเมื่อได้ฟังเหตุผล
  เจ้าตระกูลชางก่วนพูดต่อ
  “สิทธิ์แนะนำของตระกูลชางก่วนเรามีจำกัดพวกเราถูกบังคับให้ทำผิดต่อพวกเจ้า ถ้าเรายังมีโอกาสอีกในสามปีหน้า พวกเราจะต้องใช้พลังเพื่อแนะนำพวกเจ้าทุกคนแน่ และถ้าพวกเจ้าเต็มใจอยู่ที่นี่ ตระกูลชางก่วนก็จะฝึกฝนพวกเจ้าเป็นการชดเชย”
  เป็นที่แน่นอนแล้วว่าสิทธิ์ของพวกเขาถูกเด็กตระกูลชางก่วนชิงไป!
  “ข้าให้เวลาพวกเจ้าคิดหนึ่งวันหวังว่าพวกเจ้าจะให้คำตอบตอนที่คณะเดินทา่งมาพรุ่งนี้ ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าว่าจะอยู่กับตระกูลชางก่วนเราหรือพยายามไล่ตามอนาคตด้วยตัวเอง”
  เจ้าตระกูลชางก่วนสั่งสลายตัวพวกเขากลับห้องพัก
  ชางก่วนหยุนซื่อมองซือหยูกับหยวนหยิงหยิงก่อนจะทำใจเดินตามพ่อไป
  “ท่านพ่อข้าสัญญาซือหยูกับหยวนหยิงหยิงไปแล้วว่าจะแนะนำทั้งสองคน ท่านพ่อให้ข้าสักสองสิทธิ์ไม่ได้รึ? คงมีคนตระกูลเรามากกว่าสองคนที่ไม่ผ่านการทดสอบของตำหนักโลหิตแน่ ไม่ต้องใช้สิทธิ์อย่างสูญเปล่าเช่นนั้นเลย…”
  ชางก่วนหยุนซื่อกล่าว
  เจ้าตระกูลชางก่วนหันมาแสดงใบหน้าหมดหวัง
  “ถ้าข้ามีทางเลือกก็คงจะทำอย่างที่เจ้าว่าการรักษาวาจาคือหลักการสำคัญสูงสุดของบุรุษ แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความอยู่รอดของตระกูลเรา มันคือข้อยกเว้น”
  “แต่น้องซือเคยช่วยชีวิตข้า!ถ้าเขาไม่เตือน ข้าก็คงจะตายไปเพราะคนชั่วพวกนั้นแล้ว! พวกมันคิดสังหารข้าแน่นอน”
  ชางก่วนหยุนซื่อยังคงยืนกราน
  เจ้าตระกูลชางก่วนถอนหายใจ
  “มิใช่ขึ้นกับข้าคนเดียวที่จะตัดสินใจได้ผู้เฒ่าทุกคนของตระกูลอยากให้สายเลือดเรายังอยู่ ทุกคนต้องต่อสู้เพื่อเอาสิทธิ์นั้นมา”
  เขาส่ายหน้า
  “หากข้าค้านหัวชนฝาทุกคนในตระกูลจะผิดหวัง อันตรายนักหากจะเสียความสามัคคีในเวลาแบบนี้ ข้าทำได้แค่ทำให้พวกนั้นผิดหวัง หากซือหยูเซี่ยนกับหยวนหยิงหยิงคิดจะอยู่ในตระกูลชางก่วน เช่นนั้นข้าก็จะดูแลทั้งสองอย่างดี”
  ชางก่วนหยุนซื่อห่อไหล่เมื่อรู้แล้วว่าไม่มีโอกาสให้ทั้งสองได้สิทธิ์เขากลอกตาไปมาพร้อมหันหลังจากไป
  ในตอนนั้นชางก่วนชิงเอ๋อได้บ่มเพาะพลังอยู่ในสวน นางมีรอยวารีระหว่างคิ้ว มันปล่อยหมอกจางๆห่มนางไว้ภายใน
  “ท่านพี่ข้าไม่อยู่ไม่กี่วัน พี่กลับบ่มเพาะวารีลับถึงขั้นแรกเริ่มแล้ว! ข้าไม่เก่งเท่าพี่ จนถึงวันนี้ ข้ายังไม่เข้าใจพลังลับสักอย่าง”
  ชางก่วนหยุนซื่อยืนด้านหลังพี่สาวและชื่นชมความสามารนถของนาง
  ชางก่วนชิงเอ๋อลืมตาหันไปมอง
  “ก็เจ้าเอาแต่ทิ้งเวลาไปทั่ว!แม้ท่านพ่อจะทุ่มเทกับเจ้าอย่างหนักจนเจ้าได้เป็นศิษย์ใน เจ้าก็เอาแต่เที่ยวเตร่ผูกมิตรผู้คน! เจ้าจะโทษใครได้เล่า?”
  นางส่ายหน้า
  “ถ้าเจ้าแบ่งใจมาสักครึ่งในเส้นทางนี้เจ้าก็คงเป็นจ้าวเทวะไปนานแล้ว พรสวรรค์ของเจ้าไม่ใช่กระจอก!”
  ชางก่วนหยุนซื่อยิ้มแหยะๆเมื่อได้ฟังคำตำหนิ
  “แต่เอาเถอะบอกมาว่าเจ้ามาทำไม เจ้าคงไม่ได้มาโดยไม่มีเหตุ”
  ชางก่วนชิงเอ๋อยืนขึ้นอย่างสง่างามร่างกายยั่วยวนของนางที่ซ่อนภายในชุดคลุมได้เผยสัดส่วน
  ชางก่วนหยุนซื่อพูดเบาๆ
  “ข้าอยากถามว่าผู้เฒ่าคนไหนจะมาที่ตระกูลชางก่วนครั้งนี้เพื่อรับศิษย์หน้าใหม่?”
  ชางก่วนชิงเอ๋อถาม
  “เจ้าไม่เคยสนใจมาก่อนนี่ทำไมถึงมาถามตอนนี้เล่า?”
  แม้นางจะรำคาญคำถามนางก็ตอบไป
  “ผู้เฒ่าจะไม่มาในปีนี้ศิษย์นอกคนหนึ่งรับภารกิจนี้แทน”
  “ศิษย์รึ?”
  ชางก่วนหยุนซื่อขมวดคิ้ว
  “รับศิษย์ใหม่เป็นเรื่องใหญ่เหตุใดให้ศิษย์ธรรมดาทำหน้าที่นี้กัน? แล้วยังเป็นศิษย์นอกอีก! หรือว่าจะเป็นหนึ่งในสี่อสูรจากขุนเขาอสูร?”
  ชางก่วนชิงเอ๋อยิ้มเบาๆ
  “ใช่แล้วอสูรจากเขาอสูรจะมา เป็นอสูรสตรีที่จะทำหน้าที่รับศิษย์ใหม่”
  ชางก่วนหยุนซื่อปากบิดเมื่อได้ฟังเขาค่อนข้างกลัวอสูรทั้งสี่แม้ตัวเขาเองจะเป็นศิษย์ในก็ตาม
  “น้องซือมิใช่ว่าข้าไม่อยากช่วย แต่ข้าไม่กล้าหรอก หนึ่งในสี่อสูรมันพิสดารกว่าคนอื่นนัก!”
  ชางก่วนหยุนซื่อพูดกับตัวเองอย่างเศร้าหมอง
  เขาอยากรู้ว่าใครที่จะมาเป็นคนรับศิษย์ในครั้งนี้เพื่อที่เขาจะได้แนะนำซือหยูกับหยวนหยิงหยิงล่วงหน้าเพื่อให้คนผู้นั้นแอบพาตัวทั้งสองไป แต่เขาไม่คิดเลยว่าคนรับหน้าที่จะมาจากเขาอสูร! สี่อสูรจากเขาอสูรเป็นตัวตนที่แม้แต่คนอย่างเขาไม่กล้ายุ่งเกี่ยว
  …
  เหล่ายอดฝีมือที่ถูกพามารวมตัวกันสีหน้าน่าเกลียดพวกเขากลับมายังลานฝึกอย่างเงียบเชียบ ข่าวที่ฉุกละหุกและน่าตกใจครั้งนี้ทำให้พวกเขาหมดคำพูด พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะอยู่ในตระกูลชางก่วนหรือออกไป พวกเขาตอนนี้มิอาจคาดหวังการทดสอบได้อีก เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลชางก่วนจะมอบสิทธิ์กับคนนอก อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในเวลานี้
  “น่าเกลียดยิ่งนัก!ข้าพยายามมาสามปีเต็ม แต่สุดท้ายข้าก็เป็นได้แค่ลูกหาบตระกูลชางก่วนโดยที่ไม่มีใครเห็นพลังของข้าเลย!”
  ภูติระดับสองคนหนึ่งชกกำแพงด้วยความไม่พอใจ
  สตรีที่เป็นภูติระดับสามคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากเขานางถอนหายใจอย่างอ่อนแรง
  “มันคือชะตาของเราตอนนี้จะดีกว่าถ้าอยู่ที่ตระกูลชางก่วน”
  คำพูดของนางปลอบใจได้หลายคน
  นางพูดต่อ
  “เจ้าเพิ่งจะพูดมิใช่รึถึงจะมีพวกเราหลายคนก็มีแค่ไม่กี่คนที่ผ่านการทดสอบได้ คนที่มาถึงที่นี่ส่วนมากก็แค่ลองวัดดวงดูเท่านั้น ได้อยู่ในตระกูลชางก่วนก็ยังดีกว่าต้องกลับบ้านเพราะไม่ผ่านการทดสอบ”
  มีเพียงหนึ่งในสิบของศิษย์จากตำหนักโลหิตที่ถูกรับมาจากภายนอกส่วนมากนั้นจะมาจากสำนักใหญ่ทั้งเจ็ดที่ตำหนักโลหิตปกครองอย่างตำหนักชิงวิญญาณและอื่นๆ คนที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าคนอื่นเท่านั้นที่จะได้เข้าสู่ตำหนักโลหิต
  ตำหนักโลหิตมักจะรับศิษย์มาจากสำนักเหล่านั้นด้วยวิธีนี้ นอกจากจะมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีสายลับ พวกเขายังแน่ใจในเรื่องพรสวรรค์ เพราะแต่ละคนผ่านการทดสอบของสำนักย่อยมาแล้ว วิธีนี้ช่วยให้ตำหนักโลหิตประหยัดเวลาไปมาก
  ส่วนการทดสอบคนนอกนั้นเข้มงวดและยากถึงจะมีสิบคนผ่านจากร้อย นั่นก็นับว่าเป็นผลที่ดีแล้ว!
  ดังนั้นจากยอดฝีมือยี่สิบคนที่นี่มีเพียงฉางฟานที่มีโอกาสได้เข้าตำหนักโลหิตจริงๆ แต่ถ้าหากตำหนักขาดคนแล้ว แม้แต่ซือหยูก็อาจจะมีโอกาสนั้น! ทุกคนที่มาที่นี่ส่วนใหญ่มาเพียงเพื่อวัดดวงเท่านั้น
  “ไม่ต้องคิดอีกแล้วเราจะอยู่ในตระกูลชางก่วน อย่างไรก็ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย”
  ทุกคนยอมรับชะตาในเวลาไม่นานเหลือเพียงฉางฟาน ซือหยู และหยวนหยิงหยิงที่ยังไม่ตัดสินใจ
  “พี่ซือเรากลับไปเทือกเขาครามแล้วปรุงยาต่อจะดีหรือไม่? ด้วยพลังของพี่กับพรสวรรค์ของข้า เราจะไม่ขาดสิ่งใดเลย คงจะดีกว่าอยู่ใต้ชายคาตระกูลชางก่วน”
  เมื่อหยวนหยิงหยิงกลับมาที่ห้องซือหยูนางเท้าคางพลางมองเปลวเทียนด้วยดวงตาน่ารักที่ดูผิดหวัง
  ซือหยูชั่งน้ำหนักเหตุผลและส่ายหน้า
  “ไม่จะดีกว่าถ้าตระกูลชางก่วนไม่พลาด ทุกสำนักนอกจากดินแดนพรสวรรค์ได้ถูกโจมตี แม้แต่เทือกเขาครามก็อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย การกลับไปมิใช่ทางเลือกที่ดีนัก”