ตอนที่ 668 ชีวิตมีเพียงครั้งเดียว
“กู่กินคนไม่มียาถอนพิษ แต่ข้าสามารถใช้ยาระงับพิษเอาไว้ได้ชั่วคราว จากนั้นค่อยใช้กำลังภายในขับกู่ออกมา หลังจากทำสำเร็จ พวกเจ้าจะต้องปล่อยข้า มิเช่นนั้นข้าจะขอสู้ตายไปพร้อมกับพวกเจ้า ฆ่าได้คนหนึ่งข้าก็จะฆ่าคนหนึ่ง”
“ได้ ตกลงตามนี้”
หลิงอวี้จื้อต้องการเพียงแต่จะช่วยชีวิตมั่วชิง ดังนั้นจึงรับปากทันที
เซียวเหยี่ยนดึงหลิงอวี้จื้อมาไว้ด้านหลังตนเองอย่างปกป้อง จากนั้นค่อยพยักหน้าให้สัญญาณกับองค์รักษ์ลับพาเจียงสือเข้าไปหามั่วชิง โดยให้องค์รักษ์สองคนยืนคุมเจียงสืออยู่ด้านหลังชนิดไม่ให้คลาดสายตา
เจียงสือนั่งยองลง หยิบยาเม็ดสีดำสนิทใส่ปากมั่วชิงหนึ่งเม็ด หลังจากนั้นภาพจางๆ ของกู่ที่เคลื่อนไหวอยู่ในร่างกายบนผิวของมั่วชิงก็จางหายไป
จากนั้นเจียงสือก็วางมือลงบนข้อมือของมั่วชิงซึ่งมั่วชิงถูกกู่พิษเล่นงานจนไม่มีเรี่ยวแรงจะต่อต้าน เจียงสือรู้ดีว่ามีองค์รักษ์สองคนกำลังจับตาดูนางอยู่เบื้องหลัง เสี้ยววินาทีนั้นเจียงสือก็ใช้นิ้วตวัดลงที่ลำคอของมั่วชิงแล้วลากมั่วชิงให้ลุกยืนขึ้น โดยไม่สนใจกระบี่ในมือขององค์รักษ์ลับของเซี่ยวเหยี่ยนแม้แต่น้อย
สองนิ้วของนางบีบลำคอขอมั่วชิงแน่น
“ขอเพียงข้าออกแรงเพียงน้อยนิด ลำคอของมั่วชิงก็จะหักทันที หากอยากให้นางมีชีวิตรอด ทุกคนถอยออกไปให้หมด”
“เจียงสือ เจ้าช่างต่ำช้าเหลือเกิน”
หลิงอวี้จื้อด่ากราด
แต่เจียงสือกลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“ข้าจะยอมตายด้วยน้ำมือของพวกเจ้าได้อย่างไรกัน หลิงอวี้จื้อ ชีวิตของมั่วชิงอยู่ในกำมือของเจ้า”
“ไม่ต้องสนใจข้าน้อย ฆ่านาง ท่านอ๋อง พระชายา ขอร้องพวกท่านละ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็อยู่ได้อีกไม่นาน”
มั่วชิงเอ่ยปากด้วยความยากลำบาก แม้แต่ในความฝันนางยังต้องการจะเอาชีวิตเจียงสือ หากว่าชีวิตของนางสามารถแลกกับโอกาสที่จะเอาชีวิตเจียงสือได้ นางก็ยินดี จะบอกว่าเรียกร้องก็ว่าได้
ความสัมพันธ์ระหว่างนางและเจียงสือหาใช่คำพูดเพียงไม่กี่คำจะสามารถอธิบายได้ คนทั้งสองคือศัตรูคู่แค้นที่มิอาจอยู่ร่วมแผ่นฟ้ากันได้ ยิ่งเมื่อนึกถึงคนในครอบครัวที่ต้องตายลงไปอย่างน่าอนาถแล้ว มั่วชิงก็ยิ่งแค้นเจียงสือมากขึ้นหลายเท่า
เซียวเหยี่ยนเกลียดการที่ถูกคนอื่นข่มขู่ที่สุด อีกทั้งบุญคุณความแค้นระหว่างเขาและเจียงสือก็มิใช่เพิ่งมีมา
เซียวเหยี่ยนเกรี้ยวโกรธจนหน้าดำหน้าแดง เพราะแท้ที่จริงแล้วเซียวเหยี่ยนไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้ไป เพราะหากว่าคราวนี้ปล่อยให้เจียงสือหลบหนีไปได้ โอกาสที่คราวหน้าจะหานางพบอีกไม่ใช่เรื่องง่าย บวกกับพิษกู่ในร่างของโมชิงยังไม่ได้รับยาถอนพิษ ดังนั้นต่อให้ช่วยมั่วชิงออกมาได้ ก็แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย เพราะมั่วชิงอาจตายได้ทุกเวลา
หลิงอวี้จื้อเข้าความรู้สึกของมั่วชิงดี แต่นางก็มิอาจทนเห็นคนจะตายแล้วนิ่งดูดายไม่ช่วยเหลือได้ ต่อให้รู้ทั้งรู้ว่าช่วยแล้ว นางอาจจะไม่รอดก็ตามที
นับตั้งแต่ที่มั่วชิงมาอยู่กับนาง ก็คอยดูแลปกป้องนางเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
หากไม่มีมั่วชิง ตัวนางเองคงจะตายไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว บัดนี้เมื่อมั่วชิงมีภัย หลิงอวี้จื้อจึงไม่มีทางที่จะบังคับตนเองให้ไม่สนใจใยดีมั่วชิงได้
และหลิงอวี้จื้อเองก็เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง นางเข้าใจดี ชีวิตมีเพียงแค่ครั้งเดียว ยังมีลมหายใจอยู่นับว่าดีแค่ไหนแล้ว ตอนนี้พิษกู่ในร่างของมั่วชิงถูกสกัดเอาไว้ได้ชั่วคราว ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีวิธีช่วยเหลือ ขอเพียงตัวนางยังอยู่ในร่างของเจียงอวี้ นางไม่เชื่อว่าเจียงสือจะไม่ยอมปรากฎตัวอีก
หลิงอวี้ไม่รู้หรอกว่าเซียวเหยี่ยนคิดเห็นประการใด นางยื่นมือออกมาจับมือของเซียวเหยี่ยนเอาไว้แล้วเอ่ยปากขอร้องด้วยใจจริง
“อาเหยี่ยน พวกเราต้องช่วยชีวิตมั่วชิง”
ต่อให้หลิงอวี้จื้อไม่เอ่ยปาก เซียวเหยี่ยนที่รู้นิสัยของหลิงอวี้จื้อดีก็รู้ว่านางไม่มีทางไม่สนใจใยดีมั่วชิง เพราะนางเป็นคนที่มีน้ำใจกับคนรอบกายยิ่งนัก
“ถอยไป”
ต่อให้ไม่อยากปล่อยเจียงสือให้หนีไปได้มากเพียงใด แต่เซียวเหยี่ยนก็ยังสั่งการเช่นนั้นออกไป
เซียวเหยี่ยนพาหลิงอวี้จื้อถอยร่นไปด้านหลัง องค์รักษ์ลับก็ค่อยๆ ถอยตามไป เจียงสือลากคอมั่วชิงเดินออกมาเพื่อให้พวกของเซียวเหยี่ยนถอยร่นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพวกเขาถอยไปยังตำแหน่งที่นางต้องการ เจียงสือจึงผลักมั่วชิงออกไปอย่างแรง จากนั้นก็ฉวยโอกาสหนีไปอย่างรวดเร็ว องค์รักษ์ลับรีบตามไปทันที
“มั่วชิง เจ้าดีขึ้นบ้างหรือยัง?”
หลิงอวี้จื้อเข้าประคองมั่วชิง ร่างกายของมั่วชิงอ่อนแรงยิ่งนัก อ่อนแรงจนแทบจะยืนไม่อยู่
“พระชายา ท่านไม่ควรช่วยข้าน้อย ข้าอยู่ได้อีกไม่นาน ใช้ชีวิตของข้าแลกกับชีวิตของเจียงสือคุ้มค่าแล้ว”
ตอนที่ 669 อย่าซื่อตรงนักเลยได้ไหมเล่า
“มั่วชิง เจ้าจะต้องไม่เป็นอะไร เจียงสือจะต้องไม่มีจุดจบที่ดี นางก่อกรรมทำเข็ญต้องถูกกรรมตามสนอง พวกเราจะไล่ล่าเจียงสือต่อไป”
หลิงอวี้จื้อประคองมั่วชิงให้นั่งลง โดยเลือกกองฟางสภาพดีสักหน่อยเพื่อให้มั่วชิงพิงหลัง
ซึ่งมั่วชิงเองซาบซึ้งใจยิ่งนักกับการกระทำของหลิงอวี้จื้อ นางรู้ดีว่าหลิงอวี้จื้อไม่อยากให้นางต้องตาย เพราะนางเคยได้รับความทุกข์ทรมานอย่างที่สุดเมื่อครั้งอยู่ที่สำนักอู่จี๋มาแล้ว หลายปีมานี้หลิงอวี้จื้อคือผู้ที่ดีกับนางที่สุด ด้วยเหตุนี้นางจึงยินดีและเต็มใจเป็นสาวใช้อยู่ข้างกายหลิงอวี้จื้อนั่นเอง
เพียงแต่ความปรารถนาสุงสุดของนางในชีวิตนี้นั่นก็คือได้ลงดาบเด็ดหัวศัตรูด้วยมือของนางเอง ก่อนหน้านี้นางเคยหวาดกลัวเจียงสือ ตอนนี้ในที่สุดนางก็เอาชนะความหวาดกลัวนั้นได้ นางต้องการที่จะจบชีวิตไปพร้อมกับเจียงสือ พลาดโอกาสในครั้งนี้ไป ครั้งหน้าก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้พบกับเจียงสืออีก
“สุภาพชนสิบปีแก้แค้นยังไม่สาย เจ้าทุกข์ทรมานแสนสาหัสที่สำนักอู่จี๋ เจ้ายังมีชีวิตรอดมาได้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป คิดเสียว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปแทนคนในครอครัวของเจ้าที่ตายไป มั่วชิงเจ้าก็จะต้องมีชีวิตอยู่อย่างมีความหวัง”
หลิงอวี้จื้อกุมมือมั่วชิงเอาไว้แน่น การตายของหนานเยียนและมู่หรงนี่อวิ๋นทำให้หลิงอวี้จื้อรู้สึกผิดอยู่ในใจมาโดยตลอด หากว่านางต้องทนเห็นมั่วชิงตายไปต่อหน้าต่อตาอีกคนละก็ นางคงจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเป็นแน่
ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกที่จะช่วยชีวิตมั่วชิง เพราะสำหรับนางแล้วชีวิตคนสำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น
“พระชายา ข้าน้อยจะพยายามเต็มที่เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป ภายหน้ายังข้าน้อยอยากที่จะเลี้ยงนายน้อยให้กับพระชายาอีกด้วย”
“เจ้าพูดเองนะ เช่นนั้นพวกเราสัญญากันแล้ว เจ้าก็จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป ต่อไปหากว่าข้ามีลูกละก็ ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้ดูแล เจ้ายังจะต้องเป็นอาจารย์ให้แก่ลูกข้าอีกด้วย? ต้องสอนวรยุทธ์สอนวิชาแพทย์ให้กับเขา”
“เจ้าค่ะ”
มั่วชิงรับคำสั่ง หลิงอวี้จื้อดีกับนางถึงเพียงนี้ นางหวังว่าจะได้อยู่ข้างกายปรนนิบัติรับใช้หลิงอวี้จื้อตลอดไป ดังนั้นจึงตัดสินใจปล่อยวางความแค้นที่มีต่อเจียงสือเอาไว้ชั่วคราว
เซียวเหยี่ยนตบบ่าหลิงอวี้จื้อเบาๆ
“อวี้จื้อ พวกเรากลับเข้าไปในเมืองกันก่อนเถอะ”
“อื้ม กลางคืนอากาศหนาว ที่นี่ไม่เหมาะที่จะค้างคืนจริงๆ ด้วย”
หลิงอวี้จื้อรับปาก ตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาราวเดือนห้าซึ่งแม้ว่าจะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่ยามราตรีก็ยังคงหนาวเย็นบวกกับตอนนี้ร่างกายของมั่วชิงอ่อนแอยิ่งนัก หลิงอวี้จื้อจึงเกรงว่านางจะไม่สบายไป
ดังนั้นเซียวเหยี่ยนจึงจูงมือหลิงอวี้จื้อเดินทางกลับเข้าเมืองพร้อมกับองค์รักษ์ที่พาตัวมั่วชิงกลับมาด้วย
เวลานี้เพิ่งจะล่วงเลยยามจึมา แต่ด้วยความที่หลิงอวี้จื้อเป็นห่วงมั่วชิงไม่เสื่อคลาย ดังนั้นจึงอยู่ในห้องเป็นเพื่อนกับนาง คงเหลือเซียวเหยี่ยนพักอยู่ที่ห้องข้างเคียงเพียงลำพัง
เมื่อเห็นเช่นนั้น มั่วชิงก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางจึงเร่งรัดหลิงอวี้จื้อไม่หยุด
“พระชายา หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ เพคะ พระชายารีบกลับไปเถอะ! ท่านกับท่านอ๋องไม่ได้พบกันตั้งห้าปี บัดนี้ได้กลับมาพบกันอีกครั้งย่อมต้องมีคำพูดมากมายอยากจะพูดจากัน”
“ข้าและท่านอ๋องพูดคุยระหว่างทางกันมาเพียงพอแล้ว มั่วชิง ข้ากับเซียวเหยี่ยนยังมีเวลาอีกมาก เจ้าอย่าเป็นกังวลนักเลย คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้า พวกเราค่อยๆ พูดคุยกัน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน หรือว่าเจ้าไม่มีอะไรจะเล่าให้ข้าฟังเลยอย่างนั้นหรือ”
หลิงอวี้จื้อนางลงที่ข้างเตียง เอ่ยถามพร้อมกับรอยยิ้ม
มั่วชิงเดิมก็เป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว นางจึงกระอ้อมกระแอ้มเอ่ยปากว่า
“สิ่งที่ข้าน้อยจะพูดไม่มากเท่ากับท่านอ๋องหรอกเพคะ”
“มั่วชิง เจ้าอย่าซื่อตรงนักเลยได้ไหมเล่า”
หลิงอวี้จื้อถึงกับเหงื่อตก ยังดีที่นางคุ้นชินเสียแล้วกับนิสัยของมั่วชิง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นละก็คงจะรู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“พระชายา ข้าน้อยยกเตียงนี้ให้พระชายาเจ้าค่ะ!”
“นอนด้วยกันเป็นอย่างไร”
มั่วชิงนิ่งเงียบลงไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าไม่คุ้นชินกับการที่หลิงอวี้จื้อปฏิบัติต่อนางเช่นนี้
“เอาเถอะ เช่นนั้นข้านอนฟูกก็แล้วกัน”
เดิมทีหลิงหลิงอวี้จื้อเพียงแต่ล้อเล่นเท่านั้น นางรู้ดีว่ามั่วชิงไปไหนมาไหนเพียงลำพังมาโดยตลอด เพราะไม่ต้องการใกล้ชิดผู้อื่นมากเกินไป
“พระชายา ข้าน้อยมิได้หมายความว่าอย่างนั้นนะเพคะ…”
มั่วชิงรีบเร่งอธิบายทันที