กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 936 1442-1443

เป็นเช่นนี้ก็ดีนางจะได้ไม่ต้องเสียเวลารวบรวมดวงวิญญาณทีละดวงๆ

จอมมารจ้องมองไปยังดวงวิญญาณโปร่งใสในอากาศด้วยแววตาที่สับสน ดูเหมือนว่าจะรู้สึกคุ้นเคยกับดวงวิญญาณนั้นนักและก็ดูเหมือนว่าจะไม่คุ้นเคย

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่และเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลไป๋หลี่รู้ว่ากู้ชูหน่วนและคนอื่นๆได้มาถึงแล้ว เพียงแต่ว่าพวกเขาจำต้องรีบดึงความทรงจำทั้งหมดในดวงจิตออกมาให้เร็วที่สุดจึงไม่สามารถยื่นมือออกมาจัดการกับกู้ชูหน่วนและคนอื่นๆได้

เจ้าเสือน้อยกล่าวว่า “เจ้านาย ดวงวิญญาณนั้นจะต้องนำอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาใส่ ไม่เช่นนั้นจะสลายไปได้อย่างง่ายดาย”

“ข้าคิดว่าข้าไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์”

เล่นตลกอันใดกัน ยิ่งเข้าใกล้ดวงวิญญานนี้มากเท่าไหร่นาง ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงการเรียกของดวงวิญญาณนี้ และก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะดวงวิญญาณทั้งสามดวงบนหน้าผากที่ดึงดูดนางอยู่หรือเปล่า

ผู้อาวุโสสูงสุดไป๋หลี่หมิงเยียนกล่าวว่า “นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดพอนางมาดวงวิญญาณถึงได้แปรปรวนมากมายเช่นนี้”

พวกเขากดวิญญาณเอาไว้ด้วยความยากลำบากและดึงความทรงจำออกจากดวงวิญญาณทีละนิดๆอย่างไม่ง่ายดายเลย

ทันทีที่หญิงผู้นี้ปรากฏตัวดวงจิตก็เริ่มโต้กลับ ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนหน้านี้แทบจะเปล่าประโยชน์ไปหมดเลย

หากไม่ใช่เพราะว่าพวกเขากดเอาไว้แทบตาย ดวงวิญญาณนั้นก็คงจะโบยบินไปโดยอัตโนมัติแล้ว

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กล่าวว่า “นางก็คือมู่หน่วน คนผู้เดียวที่รอดชีวิตอยู่ของตระกูลมู่”

แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดจะทราบเรื่องนี้มานานแล้ว แต่เมื่อเห็นอายุของกู้ชูหน่วนก็อดที่จะอุทานออกมาไม่ได้ “อายุยังน้อยกลับถึงยังระดับสี่แล้ว”

ผู้อาวุโสสูงสุดไป๋หลี่หมิงเยียนกล่าวว่า “ในร่างของหญิงผู้นี้มีความลับ”

ดวงวิญญาณของผู้แข็งแกร่งระดับเจ็ดอันยิ่งใหญ่ ใช่ว่าคนธรรมดาจะสามารถสั่นคลอนได้

แม้ว่าพวกเขาจะรวมกำลังกันก็ทำได้เพียงกดเอาไว้เท่านั้น แต่ว่านางไปเอาความสามารถมาจากที่ใดกัน?

บอกว่านางไม่มีความลับแต่พวกเขาล้วนไม่เชื่อ

“ปึงปึงปึง……”

ดวงวิญญาณยังคงพุ่งชนไม่หยุด โดยที่ต้องการที่จะหลุดพ้นจากพันธนาการของพวกเขา

กู้ชูหน่วนหลับตาลงแล้วใช้ความคิดของตนเองเรียกดวงวิญญาณนั้น ให้ดวงวิญญาณนั้นแนบเข้ากับหน้าผากของนาง

นางเพียงแค่ตั้งความหวังของท่าทีที่คิดจะลองดูเท่านั้น

สิ่งที่นางไม่คาดคิดก็คือดวงวิญญาณนั้นได้อยู่ภายใต้การควบคุมของนางจริงๆ

ได้ปรากฏแสงสว่างอันเจิดจรัสโดยรอบดวงวิญญาณ พลังอันแข็งแกร่งได้ถูกปลดปล่อยออกมาในทันใด พละกำลังอันทรงพลานุภาพเช่นนั้นได้กดผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหลายเอาไว้โดยตรง

ทุกคนตื่นตกใจ ขณะที่ด้านหนึ่งรีบป้องกันร่างกายเอาไว้ อีกด้านหนึ่งนั้นได้ดูดวิทยายุทธเข้าอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ต้องการที่จะกดดวงวิญญาณดวงนั้นอีกครั้งด้วยพลังของค่ายกลอันแข็งแกร่ง

กู้ชูหน่วนดึงดาบอ่อนออกมา รวบรวมเรี่ยวแรงกำลังทั้งหมดยกดาบขึ้นแล้วฟันลงไปอย่างแรง ต้องการที่จะตัดความสัมพันธ์ระหว่างทุกๆคนและดวงวิญญาณนั้นเพื่อทลายค่ายกล

ตามหลักแล้วนางเป็นเพียงระดับสี่ ไม่ว่าผู้ใดในที่นั้นก็มีความแข็งแกร่งสูงกว่ากู้ชูหน่วนมากมายนัก ยิ่งกว่านั้นยังมีค่ายกลปลุกเสกอันทรงพลังของตระกูลไป๋หลี่ด้วย

แต่ว่าดาบเล่มนี้เสียบลงไป ค่ายกลก็ได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ผู้คนของตระกูลไป๋หลี่ต่างก็ถูกสะเทือนจนบินกระเด็นกันออกไป

แล้วมองดวงวิญญาณนั้นกลายเป็นจุดแสงเส้นหนึ่ง เสียงชู่ว์ครู่หนึ่งกระแทกไปตรงหน้าผากของกู้ชูหน่วนและรวมเข้ากับร่างของนาง

ทั้งหมดนี้เปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วเกินไป เร็วจนทุกคนไม่สามารถตอบสนองได้ทัน

ไป๋หลี่หมิงเยียนสูดอากาศอันเย็นเข้าแล้วกล่าวประโยคหนึ่งออกมา “ดวงวิญญาณนี้กลับสามารถรวมเป็นหนึ่งกับดวงจิตของนางซึ่งประสานกันทั้งภายในและภายนอกและได้ทลายค่ายกลของเรา?”

อะไรกัน?

นี่เป็นเพียงดวงวิญญาณดวงหนึ่งของผู้ที่ตายไปนานแล้ว และก็ไม่ใช่ดวงวิญญาณทั้งหมดด้วย แต่ก็กลับสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับจิตวิญญาณของคน โดยประสานกันทั้งภายในและภายนอก?

หรือว่ามู่หน่วนจะรู้จักกับเจ้าของดวงวิญญาณนี้?

ดวงวิญญาณได้แนบอยู่ในร่างของนางแล้ว พวกเขาจะดึงมันออกมาได้อย่างไร?

ผู้อาวุโสสูงสุดอีกผู้หนึ่งกล่าวด้วยความขุ่นเคืองว่า “แม่หนูนักต้มตุ๋นเจ้าช่างกล้านัก ถึงกับกล้าทำลายเรื่องดีของเรา มอบดวงวิญญาณออกมานะ”

“ต้องการดวงวิญญาณหรือ? ได้สิ มาหยิบไปเองสิ”

เมื่อวิญญาณแนบเข้าไปในร่างของคนอื่นแล้ว คิดที่จะนำออกมายากเสียยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก

เว้นเสียแต่ผู้ที่ถูกแนบร่างจะช่วยเหลือด้วยความสมัครใจ มิเช่นนั้น…

“นังสารเลว ไม่ฆ่าเจ้าก็ยากที่จะคลายความเกลียดชังในใจของข้าได้”

กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างสบายๆโดยที่ไม่ได้สนใจคำขู่ของเขาเลย “ฆ่าข้าแล้วดวงวิญญาณนั้นก็นำออกมาไม่ได้”

“มีวิธีลับมากมายในใต้หล้านี้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกเราไม่สามารถนำออกมาได้”

“ถึงแม้ว่าพวกท่านจะสามารถนำออกมาได้ ก็ไม่สามารถไขความลับในดวงวิญญาณได้

ผู้อาวุโสสูงสุดผู้นั้นเดิมทีตั้งใจแน่วแน่ที่จะฆ่า ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดของนางก็อดที่จะมองไปยังผู้อาวุโสสูงสุดคนอื่นๆไม่ได้

ผู้อาวุโสสูงสุดคนอื่นๆมองหน้ากัน จากนั้นก็ส่ายศีรษะทีละคนๆ

ค่ายกลพิฆาตของพวกเขารวมทั้งการปลุกเสกจากทั้งเจ็ดคน เป็นเวลาติดต่อกันหลายวันก็ยังไม่สามารถรับเอาความทรงจำในดวงวิญญาณได้ หากกระทำอีกครั้งเกรงว่าดวงวิญญาณดวงนั้นก็จะเกิดความรู้สึกต่อต้านกลับมากขึ้นเรื่อยๆ

ไป๋หลี่หมิงเยียนกล่าวว่า “ยกเว้นนางกับอสูรร้ายดึกดำบรรพ์สองตนนั้น คนอื่นๆฆ่าให้หมด”

เจ้าเสือน้อยร้องคำรามด้วยความโมโห “เทพเจ้าเสือของเจ้าจะมาสั่งสอนวิธีเป็นมนุษย์ให้เจ้า”

ตามหลังเสียงร้องคำรามที่ดังขึ้นของเสือ คนผู้หนึ่งกับเสือตัวหนึ่งต่อสู้ตลุมกันเป็นลูกบอลและต่อสู้กันจนเป็นตายกันไปข้างหนึ่งโดยไม่รู้แพ้ชนะ

พวกเขาที่นี่มีทั้งหมดเจ็ดคน ไม่ว่าผู้ใดที่มีความแข็งแกร่งน้อยที่สุดก็ล้วนอยู่ขั้นกลางระดับห้าขึ้นไป ยกเว้นผู้อาวุโสสูงสุดที่ต่อกรกับเจ้าเสือน้อย ที่นี่ยังมีอีกหกคน

ส่วนทางกู้ชูหน่วนนี้นอกจากจอมมารผู้โง่เง่าแล้วก็ไม่มีผู้ใดอื่นอีก

ศักยภาพของกู้ชูหน่วนนั้นยังห่างไกลจากระดับขั้นของพวกเขา

การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ว่าจะมองอย่างไร ทางกู้ชูหน่วนนี้ก็เสียเปรียบทุกทาง

แล้วก็ผู้อาวุโสสูงสุดอีกผู้หนึ่งก้าวออกมา “แม่หนู ข้าจะให้สองทางเลือกแก่เจ้า ยอมจำนนหรือว่าตาย”

“ขออภัยด้วย ทั้งสองตัวเลือกของท่านข้าจะไม่เลือกทั้งสิ้น”

“งั้นก็รนหาที่ตายเองนะ”

ผู้อาวุโสสูงสุดลงมือในทันที เมื่อลงมือก็เป็นกระบวนท่าขั้นสุด ตั้งใจที่จะจัดการกู้ชูหน่วนเลยโดยตรง

กระบวนท่านี้ใช้วรยุทธของเขาไปแล้วถึงแปดเก้าส่วน แม้ว่ากู้ชูหน่วนจะรับด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดไม่ตายก็ต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส

อย่างไรก็ตามไม่รอให้กู้ชูหน่วนลงมือ งูหลามหยกเก้าเศียรตัวลายได้กวาดมาเป็นแนวขวางแล้วรับกระบวนท่าของผู้อาวุโสสูงสุดเอาไว้เลย อีกทั้งหางงูขนาดใหญ่เหวี่ยงขึ้นก็เกือบจะสะเทือนผู้อาวุโสสูงสุดออกเป็นสองท่อน

“ตูมตาม…”

การต่อสู้ทางฝั่งนี้รุนแรงกว่าทางฝั่งของเจ้าเสือน้อย ตามด้วยการต่อกรกับกระบวนท่าในแต่ละครั้งห้องลับก็ได้สั่นสะเทือนไม่หยุด และเห็นได้ชัดว่ายากที่จะต้านทานการโจมตีอันหนักหน่วงของพวกมันได้

ผู้อาวุโสสูงสุดล่อเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ออกไปต่อสู้ที่ด้านนอก เพื่อมิให้เขตหวงห้ามของตระกูลไป๋หลี่กลายเป็นผุยผง

เขานึกว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ปกป้องเจ้านายเป็นไปไม่ได้ที่จะตามเขาออกไป คิดไม่ถึงว่าเขาดึงดูดเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็ฮุบเหยื่อและไล่ตามสู้กับเขาไม่ยั้ง

เมื่อพวกเขาจากไปที่นี่ก็เงียบสงบลงอีกครั้ง

ผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สามก้าวออกมาพร้อมกับหัวเราะเยาะแล้วกล่าวว่า “ดูซิว่าคราวนี้จะมีใครสามารถช่วยเจ้าได้อีก?”

“ปึงปึงปึง…”

ชายหนุ่มชุดดำท่าทีเคร่งขรึมเย็นชาไร้ซึ่งร่องรอยของคนมีชีวิตราวกับภูตผีเช่นนั้นได้ทะยานสังหารออกมา เขาใช้ดาบคู่ซึ่งประกายแสงวาบขึ้นก็ปรากฏเห็นโลหิตในทันใด รวดเร็วเสียจนแม้แต่ผู้คนในที่นั้นก็อดที่จะตระหนกตกใจไม่ได้

ผู้อาวุโสสูงสุดผู้นั้นมองดูรอยดาบบนหน้าอกที่เลือดไหลออกมาของตนพร้อมกับม่านตาที่หดตัวเล็กน้อย

เป็นเวลากี่ปีแล้วที่ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้

วันนี้กลับถูกเจ้าหนุ่มอายุน้อยๆผู้หนึ่งทำร้ายเอาได้

เพลงดาบของเขารวดเร็วยิ่งนัก หากไม่ใช่ว่าตนเองตอบสนองได้เร็ว เกรงว่าคงจะตายไปนานแล้ว

กระบวนท่าหนึ่งผ่านไปลั่วอิ่งก็ทะยานสังหารกลับมาอีกครั้ง ความไวช่างรวดเร็วแม่นยำนักและเลือกตำแหน่งลงดาบหมายเอาชีวิต แค่มองก็เป็นนักฆ่าที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

ผู้อาวุโสของนับวันรออย่างน่าเกรงขามและต่อสู้อย่างสุดกำลัง

ผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ก้าวออกมา

เด็กหนุ่มอายุยังน้อยทะยานออกมาอีกคน

ชายหนุ่มใช้ดาบผู้นี้หน้าตาสวยสดงดงามและหล่อเหล่าไม่ธรรมดา

เขามีใบหน้าที่เยาว์วัยซึ่งดูแล้วช่างอ่อนเยาว์ยิ่งนัก แต่ว่าดาบของเขาไม่ละมุนเลย ไม่ว่าจะโจมตีหรือป้องกัน ทุกกระบวนท่านั้นช่างพอดิบพอดี หากไม่ระวังก็จะตายอยู่ภายใต้ดาบของเขา

ผู้นำตระกูลไป๋หลี่และคนอื่นๆขมวดคิ้ว

ชายหนุ่มสองคนนี้ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน อายุก็เยาว์วัยเช่นนี้แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาถึงยังระดับห้าแล้ว……

ที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือกระบวนท่าและความเร็วของพวกเขาสูงกว่าขั้นสูงสุดระดับห้าที่เคยมี

ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสองคนต้องการจะกำจัดพวกเขา แต่เกรงว่าจะไม่สามารถทำได้ในชั่วขณะหนึ่ง

กระทั่งว่าอาจเป็นไปได้ที่จะตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของชายหนุ่มสองคนนี้