ภาคที่ 26 ศาสตร์ลับประจำวัง ตอนที่ 34 เทพอากาศ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 34 เทพอากาศ โดย Ink Stone_Fantasy

บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่ล้วนตกใจอยู่บ้าง พวกเขาสบตากันแวบหนึ่ง นัยน์ตาฉายแววยินดีออกมา พวกเขาเข้าใจดีมากว่า การที่ ‘รับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกาตั้งแต่ยังอยู่ในขั้นผู้ปกครอง’ นั้นหมายความว่าอะไร! นี่หมายความว่าเป็นไปได้มากว่าวังทวีสูญจะมีสิ่งมีชีวิตขั้นอลวนถือกำเนิดขึ้นอีกคนแล้ว!

ถึงอย่างไรด้านความเร้นลับของกฎเกณฑ์ของขั้นผู้ปกครองก็อ่อนแอมาก สามารถรับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกาได้บนพื้นฐานของความเร้นลับของกฎเกณฑ์ที่เรียบง่ายและอ่อนแอเช่นนี้ ก็ต้องมี ‘การรับรู้’ ที่ชวนผวามากทีเดียว!

ผู้ที่ทำได้ถึงขั้นนี้คนก่อนหน้า ก็คือประมุขตำหนักของ ‘ตำหนักหมื่นรูป’ แห่งวังทวีสูญคนปัจจุบัน ประมุขตำหนักหมื่นรูปถ่อมเนื้อถ่อมตัวอย่างยิ่ง เขาตั้งใจบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว แต่ในบรรดาประมุขตำหนักทั้งหลายในวังทวีสูญ พลังของเขาก็จัดอยู่ในสามอันดับแรก ยังแข็งแกร่งกว่าจอมมารอยู่ขุมใหญ่

“ตงป๋อเสวี่ยอิงเยาว์วัยนัก” บรรพชนเทียนอวี๋ยิ้มจนตาหยี “มีการรับรู้เช่นนี้ได้ ฮ่าฮ่า หาได้ยากๆ”

ศิษย์เทพแท้ยุคแล้วยุคเล่า

ผู้ที่สำเร็จเป็นศิษย์อาภรณ์ทองได้ล้วนแต่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ จะสำเร็จเป็นเทพอากาศก็มิใช่เรื่องยากแต่อย่างใด ศิษย์เทพแท้ยุคแล้วยุคเล่านี้ โดยทั่วไปล้วนมิได้อยู่ในสายตาของบรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่เลย! ทว่าศิษย์เทพแท้อย่างตงป๋อเสวี่ยอิงที่รับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกานั้นก็พบเห็นได้ยากยิ่งนัก ช่างเป็นหยกงามก้อนหนึ่งโดยแท้ เพียงแค่ต้องเพิ่มการขัดเกลาอีกหน่อย ก็จะเปล่งประกายออกมาได้แล้ว!

“เขาเยาว์วัยกว่าประมุขวังหมื่นรูปในตอนนั้นเสียอีก” จอมกระบี่ก็เอ่ยขึ้น “การรับรู้เช่นนี้ ในภายหน้าต้องมีความหวังที่จะสำเร็จเป็นขั้นอลวนมากเลยทีเดียว

“ลอบดูแลและบ่มเพาะอย่างลับๆ ก็แล้วกัน” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “ให้เขาได้เคี่ยวกรำมากหน่อย”

เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ

เสียงของวิญญาณอาวุธแห่งตำหนักกาลเวลาก็ดังก้องขึ้นอีกครา “ประมุขวัง ศิษย์อาภรณ์ทองตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังบรรลุเป็นเทพอากาศ เขาเหนี่ยวนำพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านลงมา วิธีการบรรลุเป็นของสายผู้ท่องอากาศ สามารถมั่นใจได้ว่า เขาก็คือผู้ท่องอากาศคนหนึ่ง”

“ผู้ท่องอากาศหรือ” บรรพชนเทียนอวี๋และจอมกระบี่สบตากันแวบหนึ่งด้วยความตกตะลึง

“เจ้าหนุ่มนี่ยังบำเพ็ญสายผู้ท่องอากาศไปควบคู่กันด้วยหรือนี่” บรรพชนเทียนอวี๋พูดอย่างตกตะลึง “อาจารย์ของเขาคือผู้ใดกัน”

สายผู้ท่องอากาศ

จัดอยู่ในระบบการบำเพ็ญพิเศษ ไม่เหมือนกับความเร้นลับของกฎเกณฑ์ การบำเพ็ญสายโลหิต ลัทธิจอมมารดาและศาสตร์โบราณอื่นๆ ที่แพร่หลายกันโดยทั่วไป ผู้ท่องอากาศในโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่านรวมกันแล้วก็มีน้อยเสียจนน่าสงสาร มีจำนวนมากสู้สิ่งมีชีวิตขั้นสุดมิได้เสียด้วยซ้ำ!

ทางสายผู้ท่องอากาศกลับมีเทพจักรวาลอยู่ถึงสองคน นับได้ว่ายิ่งใหญ่มากทีเดียว

“มิน่าเล่าในการต่อสู้ของศิษย์เทพแท้ก่อนหน้านี้ จึงรู้สึกว่าร่างกายเขาแข็งแกร่งมาก” จอมกระบี่พูดยิ้มๆ “ที่แท้แล้วเป็นผู้ท่องอากาศนี่เอง ทว่าเขาก็ระมัดระวังมาก มิได้สำแดงเกราะพลออกมาเลย”

“ผู้ท่องอากาศถ่ายทอดกันอย่างจำกัดยิ่งนัก จำนวนจึงมีน้อยอย่างยิ่ง แต่เขากลับได้รับการถ่ายทอดมาได้ด้วย” บรรพชนเทียนอวี๋ชมเชย

ทางสายผู้ท่องอากาศนั้น เมื่อฝึกฝนวิชาลับผู้ท่องไปลึกซึ้งยิ่งขึ้น การเคลื่อนที่และความสามารถในการรักษาชีวิตของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายก็จะค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับอากาศอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น สามารถอาศัยอากาศแทรกซึมเข้าไปถึงข้างกายศัตรูอย่างไร้สุ้มเสียงแล้วลอบโจมตีได้ การหนีเอาชีวิตรอดก็รวดเร็วยิ่งนัก

……

ภายในตำหนักกาลเวลา

บนดวงดาราที่มีพายุคลั่งพัดหวีดหวิว ตงป๋อเสวี่ยอิงกำลังนั่งขัดสมาธิแล้วทำการบรรลุอยู่จริงๆ ในเมื่อรับรู้กระบี่ที่สองผลาญโลกาแล้ว เช่นนั้นก็บรรลุถึงระดับขั้นเทพอากาศเสียก่อนก็แล้วกัน! เขารู้แจ้งวิชาลับผู้ท่องชั้นที่ยี่สิบเอ็ดจนทะลุปรุโปร่งก่อนแล้ว ยามนี้ขึงเหนี่ยวนำพลังของอากาศอันสับสนอลหม่านลงมาหลอมรวมเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายใช้พลังของอากาศอันสับสนอลหม่านเป็นต้นกำเนิด จนเกิดการวิวัฒน์อย่างรวดเร็ว

“ตู้มๆๆ…” แม้จะแค่ก้าวข้ามจากชั้นที่ยี่สิบสู่ชั้นที่ยี่สิบเอ็ด แต่นี่เป็นการบรรลุจากเทพแท้สู่เทพอากาศ จึงเป็นการวิวัฒน์จากแก่นแท้ของชีวิต การเปลี่ยนแปลงของร่างกายก็รุนแรงอย่างยิ่ง เส้นเอ็นและกระดูกแต่ละสายล้วนอาศัยภาพค่ายกลดูดซับพลังของอากาศอันสับสนอลหม่าน อณูที่เล็กละเอียดที่สุดของร่างกายล้วนกำลังเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนไปในทิศทางของอากาศอันสับสนอลหม่าน ร่างกายของเขาผสานรวมกับอากาศอันสับสนอลหม่านมากกว่าสิ่งมีชีวิตแห่งห้วงอากาศเหล่านั้นเสียอีก

ขั้นตอนการบรรลุยาวนานยิ่งนัก

ภายในกายก็มี ‘เกราะพล’ ซึ่งเต็มไปด้วยคมมากยิ่งขึ้นก่อตัวขึ้นมา ตงป๋อเสวี่ยอิงเบิกตากว้าง ทั้งร่างของเขาราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับอากาศ คนก็คืออากาศ อากาศก็คือคน! พลังโดยรวมก็ยกระดับเป็นอย่างมากจนขึ้นไปถึงระดับขั้นใหม่

เขาเป็นส่วนหนึ่งของวังทวีสูญ ในภายหน้าก็ต้องฝึกฝนวิชาลับผู้ท่อง จึงไม่มีทางซ่อนเร้นไปตลอดได้! ใน ‘การประลองของศิษย์เทพแท้’ ก็มีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าร่วมชม ตอนนั้นไม่เหมาะแก่การเปิดเผย แต่ภายในตำหนักกาลเวลาก็มีเพียงวิญญาณอาวุธแห่งตำหนักกาลเวลาเท่านั้นที่ล่วงรู้ วิญญาณอาวุธก็จะรายงานสู่เบื้องบน…

เกรงว่าผู้ที่มีคุณสมบัติล่วงรู้คงจะมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้!

ท่านอาจารย์ ‘กู่ฉี’ ก็เคยบอกว่า ในภายหน้าหากคิดจะตามหาเขาจริงๆ ก็สามารถถามบรรพชนเทียนอวี๋หรือจอมกระบี่ได้ เห็นได้ชัดว่ากู่ฉีไว้วางใจพวกบรรพชนเทียนอวี๋เป็นอันมาก! ดังนั้นตงป๋อเสวี่ยอิงจึงรู้สึกว่าสถานะผู้ท่องอากาศของตนจะถูกคนระดับสูงสุดของวังทวีสูญล่วงรู้ก็ไม่เป็นไร

“ท่านอาจารย์ ที่แท้แล้วตอนนั้นท่านล่วงเกินผู้ใดกันแน่” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบพึมพำ เมื่อเขาจากจักรวาลบ้านเกิดมาถึงโลกทิพย์ทะเลสัตตดาราจึงเข้าใจว่าท่านอาจารย์กู่ฉีมีสถานะระดับใด เขาเป็นถึงหนึ่งในสิ่งมีชีวิตขั้นสุด! ตอนแรกเขาบาดเจ็บสาหัสจนแทบจะต้องสังเวยชีวิต ถึงขั้นห้ามตนเปิดเผยออกไปโดยเด็ดขาดว่าอาจารย์คือกู่ฉี มิเช่นนั้นแล้วก็คงต้องเอาชีวิตไปทิ้ง

รู้ทั้งรู้ว่าตนเป็นศิษย์ของวังทวีสูญ ก็ยังเตือนตนเช่นนี้

ที่แท้แล้วล่วงเกินผู้ใดไว้กันแน่

“เจ้าหนูตงป๋อเสวี่ยอิง” เสียงเบิกบานเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมา

“ท่านบรรพชน” ตงป๋อเสวี่ยอิงได้ยินแล้วก็จำได้ทันที จึงรีบพูดด้วยความเคารพทันที เขาเคยได้ยินเสียงของบรรพชนเทียนอวี๋มามิใช่แค่ครั้งเดียว

“ท่านอาจารย์ทางสายผู้ท่องอากาศของเจ้าคือผู้ใดกัน” เสียงของบรรพชนเทียนอวี๋ถามต่อไป

พายุคลั่งรอบกายยังคงพัดหวีดหวิว

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไม่เห็นบรรพชนเทียนอวี๋แต่ก็ยังคงเอ่ยปากพูดด้วยความเคารพว่า “กู่ฉีขอรับ”

“เป็นเขา อุ๊บ เป็นเขาจริงๆ ด้วย นี่มันชักจะยุ่งยากใหญ่แล้ว เจ้าจำเอาไว้นะ อย่าได้เผยไปภายนอกเป็นอันขาดว่าเจ้าเป็นศิษย์ของกู่ฉี เอ้อ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ข้าจะส่งสารให้บรรพชนห้วงอากาศ แล้วเจ้งเรื่องของเจ้าให้เขาทราบ หากมีผู้ใดพบสถานะผู้ท่องอากาศของเจ้าเข้า ก็รีบบอกเสียว่าเป็นศิษย์ของบรรพชนห้วงอากาศ” บรรพชนเทียนอวี๋เอ่ยเตือน “จำเอาไว้ อย่าได้บอกว่าเป็นศิษย์ของกู่ฉีเด็ดขาด”

“ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ จากนั้นก็กล่าวขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “ท่านบรรพชนขอรับ ท่านอาจารย์ของข้ามีศัตรูตัวฉกาจอยู่หรือขอรับ”

“เหอๆ…กู่ฉีน่ะค่อนข้างบ้าบิ่น อะไรก็กล้าทำทั้งนั้น” บรรพชนเทียนอวี๋กล่าว “สรุปแล้วตอนนี้อย่าเพิ่งไปโยงความสัมพันธ์อะไรกับเขาเลย มิเช่นนั้นเจ้าก็คงได้แต่มุดหัวอยู่ในวังทวีสูญโดยไม่ออกไปไหนแล้ว เพราะเมื่อออกไปก็จะเผชิญกับการลอบสังหารต่างๆ”

“เข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตกใจ

“ยังมีเรื่องที่เจ้าบรรลุกระบี่ที่สองผลาญโลกาตั้งแต่ยังอยู่ในขั้นผู้ปกครอง ก็อย่าได้ไปโอ้อวดข้างนอกเด็ดขาด ตอนนี้เจ้าถ่อมตัวเอาไว้หน่อยดีกว่า ข้าและจอมกระบี่จะคอยดูเจ้าให้ดี” บรรพชนเทียนอวี๋กำชับ

“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรับคำ การโอ้อวดนั้นไม่มีผลดีเลย

“ในเมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นเทพอากาศแล้ว เช่นนั้นก็รีบสำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักในให้ได้ในเร็ววันเถิด” บรรพชนเทียนอวี๋กำชับอีก

“ขอรับ”

……

ผู้อาวุโสตำหนักในมีสถานะสูงส่งอย่างยิ่งในวังทวีสูญ ชื่อเสียงก็เกริกก้องไปทั่วโลกทิพย์ทั้งห้าและอากาศอันสับสนอลหม่าน

มีสถานะและชื่อเสียงเช่นนี้ ก็เพราะมีพลังที่สอดคล้อง!

ณ ประตูใหญ่ของ ‘ตำหนักกาลเวลา’ กาลเวลาบิดเบี้ยว เงาร่างสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศที่บิดเบี้ยวนั้น ซึ่งก็คือตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่นเอง

เขาทอดสายตามองออกไปยังเจดีย์ดาวอันสูงตระหง่านแห่งนั้น

เจดีย์ดาวคือสิ่งเดียวที่มีความสูงเทียบได้กับตำหนักทวีสูญ สถานะของมันภายในวังทวีสูญก็สำคัญและพิเศษเป็นอันมาก ทว่าจะเข้าไปได้อย่างต่ำที่สุดก็ต้องเป็นเทพอากาศ

“ว่ากันว่าเจ้าเมืองหลัวเป็นผู้หลอมเจดีย์ดาวขึ้นมา ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหกล้วนมีเจดีย์ดาวอยู่ที่ละแห่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ “ว่ากันว่าเจดีย์ดาวเกี่ยวโยงกับความลับใหญ่หลวงอย่างหนึ่ง ต้องบุกฝ่าเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าไปให้ได้ก่อนจึงจะล่วงรู้ได้”

วังทวีสูญมีกฎเกณฑ์

เทพอากาศ ‘ขั้นกำเนิด’ ต้องผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่สามให้ได้ภายในหมื่นล้านปี แต่ผู้ที่สำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักใน บัดนี้ทั้งวังทวีสูญก็มีผู้อาวุโสตำหนักในขั้นกำเนิดเพียงคนเดียวเท่านั้น เนื่องจากยากเกินไปแล้ว ยากเสียจนเกินเหตุ! คนอื่นๆ ล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสตำหนักในขั้นรวมเป็นหนึ่ง

ขั้นรวมเป็นหนึ่งต้องผ่านเจดีย์ดาวชั้นที่ห้าไปให้ได้ก่อน แต่สำเร็จเป็นผู้อาวุโสตำหนักใน!

“ข้าเข้าไปดูเสียหน่อยก่อนดีกว่า ว่าที่แท้แล้วมีความลับอันใดอยู่กันแน่ ท่านอาจารย์กู่ฉีก็ไม่บอกข้า” ตงป๋อเสวี่ยอิงแปรเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งตรงไปทางเจดีย์ดาว

……………………………..