ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 420 ช่างกระอักกระอ่วนนัก

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

“เคลื่อนไหวเร็วมาก แต่กลับไม่รู้สึกถึงคลื่นปราณจิตราที่แข็งแกร่งเลย” อาหู่กระดิกหู กล่าวด้วยความประหลาดใจ “เป็นวิชาตัวเบาชนิดพิเศษกระมัง แปลกนัก”

สวีเฟยกล่าว “เป็นไปได้มาก แตกต่างกับวรยุทธ์วิชาของมหาอำนาจแปดพิภพโดยสิ้นเชิง”

เยี่ยนจ้าวเกอเอียงหูฟังการเคลื่อนไหวของผู้มาเยือน “ไม่แปลก ถึงอย่างไรก็เป็นคนละโลก เทียบกับความแตกต่างในด้านวรยุทธ์แล้ว สิ่งที่ข้าสนใจคือภาษาของที่นี่แตกต่างกับพวกเรามากเพียงใด แม้แต่ในมหาอำนาจแปดพิภพ ภาษาในแต่ละที่ก็ต่างกันมาก ถ้าหากไม่ใช้การสนทนาธรรมดา เอาแต่ใช้ภาษาของตนเอง คนที่อยู่ต่างสถานที่คงจะไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายพูดอะไรอยู่”

ชายหนุ่มครุ่นคิด ‘คิดหาคนที่เข้าใจสถานการณ์ของโลกใบนี้ แต่ถ้าหากสื่อสารกันไม่เข้าใจ คงจะกระอักกระอ่วนยิ่ง’

อาหู่ถาม “คุณชาย พวกท่านซ่อนตัวก่อนดีหรือไม่ เดี๋ยวข้าจะพูดกับคนของที่นี่เอง

“ตอนนี้พวกเราไม่รู้ระดับพลังของอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง ยากจะแยกแยะได้ ไม่แน่ว่าอาจจะมีวิชาประหลาดที่พวกเรายังไม่รู้จักก็เป็นได้”

อาหู่ติดตามเยี่ยนจ้าวเกอมาโดยตลอด นอกจากการรับใช้แล้ว ยังรับผิดชอบหน้าที่องครักษ์ให้กับชายหนุ่มด้วย

ถึงแม้ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอจะมีพลังฝึกปรือสูงกว่าเดิม แต่ว่าวิธีการคิดของอาหู่ ก็ยังคงคำนึงถึงความปลอดภัยของเยี่ยนจ้าวเกอเป็นอันดับแรก

ปกติถึงแม้จะชอบทำอะไรเกียจคร้าน ทว่าในเวลาที่เจ้ายักษ์จริงจังขึ้นมา ก็ยังพึ่งพาได้มากทีเดียว

การอยู่ในโลกใบใหม่ ทุกสิ่งคือความไม่รู้และความอันตราย

ในยามนี้ในเขาฐานะผู้รับใช้ จึงเอาจริงเอาจังขึ้นมา

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ “หากรับมือคนจำนวนมากขนาดนี้ไม่ได้ เจ้าไปเพียงลำพังก็ต่างอะไรกับส่งเจ้าไปตาย ใจเย็นๆ ก่อน ถึงแม้ตอนนี้จะแยกแยะพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็น่าจะไม่สูงเกินไปนัก

“เมื่อใช้วิชาหนึ่งได้ ย่อมใช้วิชาอื่นได้ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้สุดท้ายก็กลับสู่ทางเดียวกันทั้งสิ้น แม้ว่าจะมีข้อแตกต่าง แต่ว่ายิ่งมีระดับสูงส่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งใกล้เคียงเท่านั้น” เยี่ยนจ้าวเกอใช้สายตามองไปไกล “เหมือนเช่นพวกเรากับปีศาจอัคคี จอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์กับราชันปีศาจอัคคียืนอยู่ตรงหน้า ย่อมมีความรู้สึกแตกต่างจากมหาปรมาจารย์หรือจ้าวปีศาจอัคคี”

“นอกจากอีกฝ่ายจะตั้งใจ ไม่อย่างนั้นเจ้าอาจจะแยกแยะความแตกต่างระหว่างมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณ และมหาปรมาจารย์ขั้นรูปญาณผิด แต่ว่าเจ้าต้องแยกแยะจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์กับมหาปรมาจารย์ออกแน่นอน”

พวกเยี่ยนจ้าวเกออำพรางร่างของตัวเองในป่า ไม่ทันไร เงาร่างสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าทุกคน

นั่นเป็นบุรุษวัยกลางคนร่างสูงใหญ่ ผิวสีทองแดง ใบหน้าน่าเกรงขามและดูดุร้าย

บนร่างของเขาแฝงพลังบ้าคลั่งไว้อย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะดวงตาที่ทอประกายออกมาคมกริบผิดปกติ

เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้าเงียบๆ ‘ถึงอย่างไรภายนอกก็ยังเป็นคน ไม่ต่างจากเรามากนัก มิใช่พวกกลายพันธุ์’

ขณะที่สังเกตชายฉกรรจ์ผู้นี้อยู่ จู่ๆ อีกฝ่ายก็กะพริบตา และมองมาทางอิงหลงถู

ทุกคนที่กระจายอยู่ในป่าล้วนขมวดคิ้ว

พลังฝึกปรือของอิงหลงถูต่ำที่สุดในหมู่พวกเขา แต่ว่าเนื่องจากครอบครองร่างจิตนภา จึงควบคุมลมปราณได้อย่างใจนึก จิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ถ้าหากตั้งใจอำพราง ไม่ว่าใครก็ยากจะสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของเขา

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคาง ‘เป็นคนผู้นี้ซ่อนคม มีพลังสูงกว่าที่เราคาดไว้ หรือเป็นเพราะว่าความสามารถในการรับรู้ของเขาแข็งแกร่งมาก’

หลังจากชายฉกรรจ์กวาดมองจุดที่อิงหลงถูอยู่เสร็จแล้ว เขาก็เลื่อนสายตาไปยังตำแหน่งของเฟิงอวิ๋นเซิง

ชายหนุ่มพลันกระแอม และปรากฏตัวขึ้น

เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอ สีหน้าของชายฉกรรจ์ผู้นั้นเต็มไปด้วยความระวังระไว สองตาไม่ได้มองไปยังทิศทางที่เฟิงอวิ๋นเซิงกับอิงหลงถูอยู่ เพียงแต่มองฝั่งตรงข้ามเขม็ง

เยี่ยนจ้าวเกอแบมือ ถามก่อนว่า “ท่านมีนามว่าอะไร”

เขาใช้เป็นภาษาที่ใช้กันทั่วในมหาอำนาจแปดพิภพกล่าวประโยคนั้นออกมา

นี่มิได้ไม่มีเหตุผล เพราะเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไปในมหาอำนาจแปดพิภพ เกิดขึ้นจากตัวหนังสืออันเป็นอารยธรรมที่หลงเหลือก่อนมหาภัยพิบัติ เป็นระบบที่สุด และใกล้เคียงกับอารยธรรมก่อนมหาภัยพิบัติที่สุด

อีกทั้งเขายังออกเสียงให้ใกล้เคียงกับสมัยโบราณที่สุดเช่นกัน

ถึงแม้ถ้าหากให้เยี่ยนจ้าวเกอประเมิน ก็ยังมีความแตกต่างอยู่มากมาย แต่ว่าที่ภาษานี้ยังแพร่หลายอยู่ในมหาอำนาจแปดพิภพในตอนนี้ มิใช่เป็นเพราะโชคช่วย

หากโลกในปัจจุบันหลงเหลืออารยธรรมก่อนมหาภัยพิบัติอยู่ เช่นนั้นก็น่าจะมีจุดร่วมบางอย่าง

สุดท้ายเมื่อชายฉกรรจ์ผู้นั้นได้ยิน กลับไม่มีปฏิกิริยาใดแม้แต่น้อย สายตาของเขาดูงงงวย สีหน้าระวังเพิ่มขึ้นอีก ราวกับฟังไม่ออกอย่างไรอย่างนั้น

เยี่ยนจ้าวเกอขมวดคิ้ว ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีกครั้งว่า “ท่านมีนามว่าอะไร”

ครั้งนี้พวกเฟิงอวิ๋นเซิงและอาหู่รู้สึกแปลกๆ เพราะเหมือนกับจะไม่คุ้นกับภาษที่เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว ฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก

ภาษาที่เยี่ยนจ้าวเกอใช้ในครั้งนี้ เป็นภาษาที่ใช้ในโลกก่อนมหาภัยพิบัติ

เมื่อเทียบกับภาษาของมหาอำนาจแปดพิภพในปัจจุบันแล้ว ก็เหมือนกัลมีความแตกต่างระหว่างตัวหนังสือและภาษาพูด มีความหมายเหมือนกันบ้าง แต่ว่าถ้าหากไม่ได้เรียนอย่างเป็นระบบมาก่อน ฟังดูแล้วจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายนัก

เหมือนคำพูดที่ว่า รู้จักความหมายของคำเดี่ยวๆ ทุกคำ แต่พอมารวมกันกลับไม่เข้าใจ

ตามการคาดเดาของเยี่ยนจ้าวเกอ วรยุทธ์วิชาที่มารดาของเขาฝึกปรือเป็นวิชาก่อนมหาภัยพิบัติทั้งหมด เช่นนั้นภาษาและตัวหนังสือที่ใช้สมควรเป็นภาษาที่สาปสูญและใช้ก่อนมหาภัยพิบัติเช่นกัน

ครั้งนี้ ชายฉกรรจ์ผู้นั้นคล้ายตอบสนองเล็กน้อย ขณะที่ระวังตัว เขาก็มองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความประหลาดใจเกินบรรยาย

เยี่ยนจ้าวเกอจนปัญญาเพราะสายตาของเขา ท่าทีของอีกฝ่ายคล้ายกับกำลังถามว่า

‘เจ้าพูดดีๆ เป็นหรือไม่’

ชายหนุ่มสังเกตอย่างละเอียด รู้สึกว่าท่าทีที่คนผู้นี้มีต่อภาษาและตัวหนังสือก่อนมหาภัยพิบัติ เหมือนกับพวกสวีเฟยและเฟิงอวิ๋นเซิง

‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือ ภาษาและตัวหนังสือของที่นี่เหมือนกับมหาอำนาจแปดพิภพ เป็นอารยธรรมที่มีต้นกำเนิดก่อนมหาภัยพิบัติเช่นกัน แต่ว่ามีการพัฒนาเป็นของตัวเอง แตกต่างกับภาษาที่ใช้กันในมหาอำนาจแปดพิภพ’

เขาคาดคะเนในใจ เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว

เพียงแต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ นี่ยิ่งทำให้เยี่ยนจ้าวเกอปวดศีรษะเล็กน้อย

ภาษาแตกต่าง ช่าง ‘กระอักกระอ่วน’ ยิ่งนัก

‘ถึงอย่างไรก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของภาษาก่อนมหาภัยพิบัติเหมือนกัน หากเขาพูดออกมาสักหน่อย ข้าน่าจะพอเดาหรือเข้าใจความหมายคร่าวๆ ได้บ้าง’ เยี่ยนจ้าวเกอถอนใจ ‘ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องใช้ภาษามือแล้ว ถึงจะน่าอายไปบ้างก็ตาม’

เยี่ยนจ้าวเกอคิดเช่นนี้ไปพลาง พูดภาษาโบราณก่อนมหาภัยพิบัติไปพลาง

กระนั้นชายฉกรรจ์ก็ยังคงมองเยี่ยนจ้าวเกอด้วยความงงงันและระวังตัวเช่นเดิม

ทีแรกเพื่อทำความเข้าใจกับอารยธรรมในปัจจุบันของมหาอำนาจแปดพิภพ เยี่ยนจ้าวเกอจึงศึกษาคัมภีร์มากมาย เรียนภาษาและตัวอักษรหลากหลาย

ตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอกำลังใช้ภาษาและความรู้ของตนอย่างเต็มกำลัง ไม่เพียงแต่ภาษาโบราณเท่านั้น ยังรวมถึงสิ่งที่แพร่หลายในมหาอำนาจแปดพิภพ และภาษาท้องถิ่นที่แตกต่างกับภาษาปกติ แต่เกิดมาจากภาษาโบราณ

ทุกครั้งที่พูด เขาจะจับตาดูปฏิกิริยาของชายฉกรรจ์ผู้นั้นนั้นไปด้วย

พวกเฟิงอวิ๋นเซิงมองเหตุการณ์นี้อย่างตกตะลึงตาค้าง ด้วยรู้สึกว่าเยี่ยนจ้าวเกอทำลายความรู้ของพวกเขาอีกครั้ง

อาหู่กลืนน้ำลาย ใช้ปราณจิตรากระซิบ ‘คุณชาย ท่านร้ายกาจนัก…’

เยี่ยนจ้าวเกอกระซิบตอบ ‘เจ้านึกว่าข้าอยากลำบากเช่นนี้หรืออย่างไร หากพูดกันไม่รู้เรื่อง ต่อให้จับเขามาสอบสวนก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ตอนนี้ต้องยืนยันก่อนว่าเป็นภาษาใด ถ้าเขาฟังเข้าใจได้ ข้าย่อมเข้าใจว่ามันพูดอะไร”

ขณะที่พูด เขาก็เห็นชายฉกรรจ์ผู้นั้นมีท่าทีระวังระไวอีกรอบ ขณะเดียวกันสีหน้าของเขาก็ปรากฏความรำคาญใจมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อเยี่ยนจ้าวเกอเตรียมจะเปลี่ยนภาษา ชายฉกรรจ์ผู้นั้นกลับทนไม่ไหว คำรามเสียงต่ำ พุ่งเข้ามาหาเขา!

“ลางไม่ดีแล้วกระมัง…” เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาขาว