ตอนที่ 571 ได้ไม่คุ้มเสีย / ตอนที่ 572 เข้าข้าง

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 571 ได้ไม่คุ้มเสีย 

 

 

 

 

 

ห่างเหินหรือ? อนุรองเข้าใจถึงความหมายของอวี้จื้อในทันที หากนางยังแสดงท่าทีรังแกอวี้อาเหราต่อหน้าหลิงอ๋องอีกก็จะยิ่งทำให้เขาไม่ยินดี และจะยิ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่านางกำลังตั้งใจจะกลับผิดเป็นถูก ดังนั้นภายในสถานการณ์เช่นนี้ถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย และยิ่งเท่ากับเป็นการผลักหลิงอ๋องให้เข้าข้างอวี้อาเหรามากยิ่งขึ้นอีก 

 

 

เมื่อชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียแล้ว คนที่อยู่ในจวนอ๋องมานานหลายปีเช่นนี้มีหรือจะไม่เข้าใจ 

 

 

หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ อนุรองก็เปลี่ยนสีหน้า รีบเอ่ยขออภัยไปทางอวี้อาเหราและหลิงอ๋องในทันที 

 

 

“เป็นเพราะหม่อมฉันไม่ดีเองที่เป็นห่วงจื้อเอ๋อร์มากจนเกินไป ทั้งๆ ที่อยู่ตั้งไกลจึงทำให้มองไม่ชัด จนทำให้คิดว่าความไม่ประสาของเขาทำให้คุณหนูรองโกรธ ไม่ได้ตั้งใจที่จะกล่าวหาคุณหนูรองว่ารังแกเขา ขอให้ท่านอ๋องและคุณหนูรองโปรดอภัยให้ด้วยเพคะ” 

 

 

“หึ” หลิงอ๋องสะบัดชายแขนเสื้อ สะบัดหน้าหนีไปทางอื่น 

 

 

อวี้อาเหราไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงมองไปทางอนุรองด้วยสายตาเย็นชา ตอนนี้รู้แล้วว่าเรื่องใดหนักเรื่องใดเบา จึงค่อยมาสารภาพผิดอย่างนั้นหรือ? 

 

 

เมื่อครู่ยังยัดเยียดข้อหารังแกลูกอนุให้กับนางอยู่เลยแท้ๆ นางไม่ใช่คนใจกว้างขนาดนั้น แน่นอนว่าคงไม่สนใจอนุรองแน่ เมื่อคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ก็ต้องกัดฟัน คิดว่านางจะยอมยกโทษให้อย่างนั้นหรือ? ไม่มีวันเสียหรอก!         

 

 

เมื่อเห็นท่าทีไม่สนใจไยดีของคนทั้งสองแล้ว ใบหน้าของอนุรองก็กลายเป็นอึดอัดใจขึ้นมา ยังคงโค้งกายอยู่เช่นนั้น หากอวี้อาเหราและหลิงอ๋องยังไม่บอกว่ายกโทษให้ นางก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้น ยังคงฝืนกายอยู่เช่นนี้ 

 

 

เมื่อเห็นดังนั้น อวี้จื้อจึงเอ่ยขึ้นว่า “เสด็จพ่อ พี่รอง อภัยให้ท่านแม่เถิดพ่ะย่ะค่ะ เป็นเพราะนางเป็นมารดาที่รักบุตร หากเสด็จพ่อและพี่รองไม่ยกโทษให้ ลูกจะขอรับโทษพร้อมกับท่านแม่ จะคุกเข่าเพื่อรับโทษเป็นเพื่อนนางเอง” 

 

 

“เจ้า!” หลิงอ๋องได้ยินอวี้จื้อพูดเช่นนี้ และเมื่อเห็นเขากำลังจะคุกเข่าลงก็ใจอ่อน 

 

 

“เสด็จพ่อ หากเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ แล้ว อนุรองก็คงเป็นมารดาที่ห่วงใยบุตรเป็นอย่างมากจนน่าชื่นชมนัก ก็ช่างกันไปเถิดมิดีหรือเพคะ?” อวี้อาเหราเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ยอมถอยให้พวกนางหนึ่งก้าว เพื่อเห็นแก่หน้าของหลิงอ๋อง 

 

 

“ช่างหรือ?” หลิงอ๋องมองไปที่นางด้วยสีหน้าอึ้ง เมื่อเห็นอวี้อาเหราพยักหน้า จึงตีสีหน้าเคร่งขรึมแล้วเข้าไปพยุงอวี้จื้อขึ้นมา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เร็ว รีบลุกขึ้นเถิด พ่อไม่โทษพวกเจ้าแล้ว”            

 

 

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะเสด็จพ่อ” 

 

 

“ขอบพระทัยเพคะท่านอ๋อง” 

 

 

อวี้จื้อและอนุรองตอบขึ้นมาพร้อมๆ กัน 

 

 

“ลุกขึ้นกันให้หมด” มุมปากของหลิงอ๋องโค้งเป็นรอยยิ้มบาง 

 

 

เมื่อเรื่องจบลงเช่นนี้ หลิงอ๋องจึงพาอนุรองและอวี้จื้อ ตลอดจนอวี้จื่อเยียนกลับไปกันจนหมด 

 

 

ระหว่างทาง หลิงอ๋องก็ขอกลับไปห้องหนังสือเพื่อทำงาน จึงเหลือเพียงสามแม่ลูกเท่านั้น 

 

 

อวี้จื่อเยียนจึงหันไปมองอวี้จื้อด้วยสายตาไม่พอใจ “จื้อเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าต้องช่วยเหลืออวี้อาเหราด้วย” 

 

 

“พี่ใหญ่ ข้าไปช่วยพี่รองตอนไหนกัน” อวี้จื้อทำหน้าไม่เข้าใจ 

 

 

อวี้จื่อเยียนทำเสียงไม่พอใจ “ตอนไหนหรือ? เมื่อครู่นี้เจ้าไม่ได้คล้อยตามคำพูดของท่านแม่มิใช่หรืออย่างไร” 

 

 

“แล้วเหตุใดข้าต้องคล้อยตามคำพูดของท่านแม่ด้วย? พี่รองไม่ได้รังแกข้าจริงๆ ข้าเพียงพูดความจริงเท่านั้น” อวี้จื้อพูดไปตามตรง 

 

 

อวี้จื่อเยียนได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็ไม่รู้ว่าจะกล่าวอย่างไรดี 

 

 

อนุรองมองอวี้จื่อเยียนด้วยสายตาตำหนิ “เจ้าอย่าไปเอาเรื่องเอาราวกับจื้อเอ๋อร์เลย นิสัยเขาเป็นเช่นนี้ หากเมื่อครู่นี้ไม่ใช่จื้อเอ๋อร์ช่วยแม่ไว้ คงจะตกหลุมพรางอวี้อาเหราเป็นแน่ โทษแม่ที่เข้ามามองเห็นไม่ชัดเจนจึงคิดว่านางรังแกจื้อเอ๋อร์เกือบจะโดนนางจัดการเข้าเสียแล้ว หญิงผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 572 เข้าข้าง 

 

 

 

 

 

“ท่านแม่ ท่านลำเอียงเข้าข้างน้อง” อวี้จื่อเยียนได้ยินอนุรองพูดเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่พอใจ 

 

 

อนุรองชะงักไป “แม่ไปลำเอียงเข้าข้างน้องตอนไหนกัน? ทั้งเจ้าและจื้อเอ๋อร์ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเลือดเนื้อที่เกิดขึ้นจากครรภ์ของแม่ ล้วนแล้วแต่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ แต่เพราะจื้อเอ๋อร์ต้องไปเติบโตที่อื่น แน่นอนว่าแม่ย่อมต้องรักต้องสงสารเขามากหน่อยเป็นธรรมดา ผ่านไปหลายปีเพิ่งจะกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่เจ้าไม่เหมือนน้อง เจ้าเติบโตขึ้นมาข้างกายของแม่ เจ้าปล่อยน้องเจ้าไปเถิด” 

 

 

“เยียนเอ๋อร์ทราบว่าจื้อเอ๋อร์ต้องทนทุกข์อยู่นอกบ้าน” อวี้จื่อเยียนค่อยๆ อธิบาย “แต่ท่านแม่ชอบว่าเยียนเอ๋อร์โง่ ไม่ฉลาดเท่าอวี้อาเหรา แต่ท่านแม่ดูนิสัยใจคอของจื้อเอ๋อร์สิเจ้าคะ ต่อไปเขาคงจะเหมือนลูกไก่ในกำมือนางแน่ๆ” 

 

 

“จื้อเอ๋อร์ย่อมมีความสามารถในแบบของจื้อเอ๋อร์ เขาเติบโตขึ้นมาในค่ายทหาร ท่านอ๋องก็ไม่มีบุตรเอก แน่นอนว่าจวนอ๋องแห่งนี้ต้องตกอยู่ในมือของจื้อเอ๋อร์แน่ เมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็ง่ายดายแล้ว แม้นางจะเป็นธิดาเอกก็ตาม อีกอย่าง เจ้าจะมาบ่นอะไรกันตอนนี้ หากเจ้ามีความสามารถจริง แล้วจะถูกอวี้อาเหราจัดการได้หลายต่อหลายคราหรืออย่างไร?” อนุรองปกป้องลูกชายของตัวเอง 

 

 

อวี้จื่อเยียนยิ่งไม่ยินดีมากขึ้นไปอีก “ใช่แล้ว ข้ามันโง่ เทียบกับอวี้อาเหราไม่ได้ ยิ่งเทียบกับจื้อเอ๋อร์ไม่ได้” 

 

 

อนุรองมองมาที่นาง ปวดหัวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี 

 

 

อวี้จื้อมองไปที่คนทั้งสอง เดินเข้าไปหาอวี้จื่อเยียนแล้วส่งยิ้มสว่างไสว “พี่ใหญ่อย่าโกรธเลย เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ที่จริงแล้วพี่ใหญ่มีหน้าตาที่งดงามนัก ต่อไปก็คงจะหาสามีดีๆ ได้ใช่หรือไม่? อีกอย่าง เสด็จพ่อก็รักใคร่เอ็นดูพวกเราอยู่มาก อย่างไรก็ไม่ยอมให้ท่านพี่โดนรังแกแน่ ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินท่านแม่พูดว่าองค์ชายแห่งเป่ยเจียงมาสู่ขอท่านพี่ แต่เสด็จพ่อเห็นว่าเขามีนิสัยเจ้าชู้ไปทั่ว จึงได้ปฏิเสธไปใช่หรือไม่ พี่ลองคิดดูสิ เสด็จพ่อก็ดีกับเราไม่น้อยเลยทีเดียว” 

 

 

เมื่อได้ยินเขาว่าเช่นนี้ สีหน้าของอวี้จื่อเยียนก็ดีขึ้นมาก แล้วจึงยิ้มออกมา 

 

 

“เมื่อครู่นี้พี่โกรธไปหน่อย ไม่ได้ตั้งใจจะว่าเจ้า เจ้าอย่าโกรธพี่เลยได้หรือไม่” 

 

 

“แน่นอนว่าไม่โกรธ” อวี้จื้อส่ายหน้า “พี่ใหญ่รักข้ามากที่สุด ถ้าหากข้าโกรธข้าก็จะไม่พูดกับท่านเช่นนี้เป็นแน่” 

 

 

รอยยิ้มของอวี้จื่อเยียนยิ่งสว่างไสวมากยิ่งขึ้น 

 

 

อนุรองมองพี่น้องทั้งสองแล้วก็ยิ้มทั้งน้ำตา ในใจรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก บุตรชายผู้นี้ช่างเข้าใจมองคน พูดออกมาเพียงไม่กี่คำก็สามารถเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทั้งหมดแล้ว นางก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เยียนเอ๋อร์ อย่าโทษว่าแม่ชมจื้อเอ๋อร์เลย เมื่อครู่นี้ท่านอ๋องก็คิดจะทดสอบน้องจริงๆ หากว่าเขาคล้อยตามคำพูดของแม่แล้ว แน่นอนว่าท่านอ๋องจะต้องมีจิตระแวงเป็นแน่ ดังนั้นจื้อเอ๋อร์ต้องไม่ล่วงเกินฝ่ายใดทั้งสิ้น ในเวลาเดียวกันยังช่วยแม่ให้พ้นผิดได้อีกด้วย” 

 

 

“เป็นอย่างนั้นจริงหรือ?” อวี้จื่อเยียนตกตะลึง 

 

 

อนุรองพยักหน้าหนักแน่น “เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าคิดว่าแม่จะพลิกสถานการณ์ได้หรืออย่างไร หากไม่ใช่เช่นนั้น เหตุใดต้องขอโทษอวี้อาเหราด้วยเล่า” 

 

 

“เป็นเพราะจื้อเอ๋อร์ตาแหลมคมแท้ๆ” อวี้จื่อเยียนชื่นชมเป็นอย่างมาก 

 

 

อวี้จื้อกลับลูบต้นคอด้วยความเขินอาย “ท่านแม่พูดอะไรน่ะขอรับ? เมื่อครู่นี้เสด็จพ่อทดสอบข้าหรือ” 

 

 

“เจ้าไม่รู้หรือ?” อนุรองชะงัก 

 

 

“ลูกไม่รู้ ลูกเพียงพูดความจริงเท่านั้น” อวี้จื้อยิ้มเหมือนเด็กชายขึ้นมา 

 

 

อนุรองจำต้องมองเขาใหม่อีกครั้ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่นี้ก็คงเป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเขาอย่างนั้นหรือ? 

 

 

เห็นท่าทีของเขาไม่เหมือนคนแกล้งโง่ แต่เขาไม่รู้จริงๆ 

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ นางเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ที่เยียนเอ๋อร์พูดเมื่อครู่นี้ไม่เลวเลย ในจวนอ๋องแห่งนี้ หากไม่มีสมองคงอยู่ไม่ได้แน่ คงจะต้องถูกผู้อื่นหลอกใช้เป็นแม่นมั่น