บทที่ 59 เจ้าดูตกใจมากทีเดียว

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

โรสมอนด์จ้องบารอนแดโรว์ด้วยสีหน้าคล้ายจะถามว่าอะไรล่ะ และบารอนแดโรว์ก็พูดกับโรสมอนด์ด้วยสีหน้าขลาดกลัว

“จะไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูที่พวกข้าเลี้ยงเจ้ามาจนโตป่านนี้บ้างเลยรึ”

“…เฮอะ”

ค่าเลี้ยงดูอย่างนั้นรึ? โรสมอนด์เงียบคิด คนที่จิกหัวใช้ข้าเยี่ยงทาสมาตั้งแต่สิบขวบ คนที่ให้ข้าสวมแต่เสื้อผ้าปุปะ คนที่ปล่อยให้พี่ชายต่างแม่มาข่มขืนข้า คนเหล่านั้นคือใครกัน คนพรรค์นั้นยังกล้าที่จะมาทวงเงินที่เสียไปในตอนนั้นอีกอย่างนั้นรึ? โรสมอนด์ตะลึงกับความหน้าไม่อายของพวกเขาจนพูดไม่ออก แต่ทันใดนั้นบนใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ หญิงสาวหันไปกระซิบกระซาบกับคลารา

“ได้ ต้องการสิ่งนั้นสินะ” โรสมอนด์ยิ้มกว้าง “น่าจะบอกกันตั้งแต่แรก มิเช่นนั้นข้าคงได้ไปจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว”

ช่างน่าเสียดาย โรสมอนด์พูดต่อด้วยความเสียดาย

“ได้ เงินสินะ ได้สิ”

โธ่ เงื่อนไขในการลืมความโชคร้ายในวัยเด็กของข้าคือเงินหรอกหรือนี่ น่าจะบอกกันตั้งแต่แรกสิ ข้ามีเงินมากพอที่จะยัดลงคอของพวกเจ้าจนขาดอากาศหายใจตายเลยทีเดียว

โรสมอนด์กระชากเอกสารสละอำนาจปกครองบุตรจากมือของบารอเนสแดโรว์ นางยิ้มอย่างเย็นชาและรับถุงที่เต็มไปด้วยเหรียญทองจากคลารา จากนั้นก็โปรยใส่สองสามีภรรยาแดโรว์ เหรียญสีทองเหลืองอร่ามไหลออกจากปากถุงที่เปิดอยู่และกระเด็นไปถูกร่างของบารอนและบารอเนส โรสมอนด์กล่าวอำลาทั้งสองเป็นครั้งสุดท้ายด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น

“ขอให้อายุยืนยาวค่ะ บารอนและบารอเนส”

จงมีอายุยืนยาว จนกว่าจะถึงวันที่ข้าได้เป็นจักรพรรดินีและกลับมาทำลายพวกเจ้าให้สิ้นซาก

………………………………………………

ส่วนที่ 3 I feel different about you.

(ข้ารู้สึกกับท่านแปลกไป)

เช้าวันนั้นแพทริเซียรู้สึกเสียใจอย่างมากที่ตัวเองได้ฟังเรื่องในอดีตของลูซิโอเมื่อคืนวาน นางนั่งก้มหน้าด้วยสีหน้าลำบากใจ

“อา…หลังจากนี้ข้าจะมองหน้าเขาอย่างไร”

การรู้ความลับของเขาก็เท่ากับรู้จุดอ่อนของเขา แพทริเซียรู้จุดอ่อนของลูซิโอเข้าเสียแล้ว ปัญหาก็คือ ‘จุดอ่อน’ นั้นใช้ได้ผลกับนาง หากเป็นเมื่อก่อนนางคงเย็นชากับเขา แต่หลังจากได้ฟังเรื่องราวอันน่าขนลุกนั้น ดูเหมือนว่านางจะไม่สามารถปฏิบัติกับเขาอย่างเย็นชาได้อีกต่อไป แพทริเซียรู้สึกเสียใจ นางไม่น่าฟังที่เขาเล่าเลย

“ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไปหรือเพคะ”

มีร์ยาซึ่งไม่รู้สถานการณ์เอ่ยถามขึ้น แต่แพทริเซียก็ปิดปากเงียบ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงราชวงศ์ แม้อีกฝ่ายจะเป็นมีร์ยา แต่นางก็ยังต้องระมัดระวังที่จะพูดออกไป แพทริเซียได้แต่ส่ายหน้าเงียบๆ และอ้างว่าไม่ค่อยสบายตัว ครั้นมีร์ยาได้ฟังดังนั้นก็ตื่นตระหนกพลางกล่าวว่าจะไปต้มซุปมาให้ ระหว่างที่นางหายเข้าไปในห้องครัว นางกำนัลคนอื่นๆ ก็เข้ามาช่วยแพทริเซียแต่งตัวและเกล้าผมขึ้นอย่างงดงาม

“เอล่า เหลือเวลาอีกเท่าไรกว่าโรสมอนด์จะกลับมา”

เมื่อถูกถามกะทันหัน ราฟาเอลาที่ยืนดูแพทริเซียแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่ข้างๆ ก็ทำสีหน้าครุ่นคิดอยู่สักครู่ก่อนจะตอบ

“ไม่รู้สิ ตอนนี้น่าจะเดินทางออกจากหัวเมืองแล้วกระมัง บารอนีของบารอนแดโรว์ค่อนข้างไกลจากพระราชวัง กว่าจะมาถึงคงใช้เวลาเกือบๆ หนึ่งสัปดาห์”

จะว่านานก็นาน แพทริเซียพึมพำ ในขณะเดียวกันมีร์ยาก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมซุปฟักทองในมือ แพทริเซียรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะที่นางบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่นางก็ไม่ได้แสดงอาการออกไป เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ และกล่าวขอบคุณ

“มีร์ยา ข้าคงต้องคำนวนค่าใช้จ่ายสำหรับตำหนักเวนเสียใหม่”

แพทริเซียตักซุปเข้าปากคำหนึ่งก่อนจะพูดราวกับเป็นเรื่องทั่วไป ซึ่งมีร์ยาก็เห็นด้วยอย่างมาก

“หม่อมฉันก็คิดเช่นนั้นเพคะ ตอนนี้นางเป็นเพียงเลดี้ธรรมดาแล้ว หาใช่บารอเนสอีกต่อไป”

“นั่นสิ ช้าไปมากทีเดียว เช่นนั้นก็ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกจากเดิมครึ่งหนึ่ง ถึงอย่างไรตอนนี้ตำหนักเวนก็เหลือข้ารับใช้อยู่ไม่มากแล้ว คงไม่เป็นไรหรอกกระมัง”

“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด”

แพทริเซียยิ้มกว้างพลางพยักหน้า นางรู้สึกว่าเรื่องรอบตัวเริ่มเข้าที่เข้าทางบ้างแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงวางใจไม่ได้ เพราะโรสมอนด์หาใช่เหยื่อที่เคี้ยวง่าย ความสบายใจเล็กๆ น้อยๆ ที่รู้สึกได้ในตอนนี้อาจเป็นเพียงสิ่งที่นางคิดไปเองเพราะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้อยู่ตรงหน้าก็เป็นได้

แพทริเซียคิดว่าคราวนี้รีบชิงลงมือก่อนที่อีกฝ่ายจะวางแผนทำอะไรก็ไม่เลว แม้จะต้องเสี่ยงตายก็ช่วยไม่ได้ นางไม่จำเป็นต้องรักษาเกียรติกับคนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี

“งานรำลึกวันสถาปนาจักรวรรดิเตรียมการไปถึงไหนแล้ว”

“เกือบจะเรียบร้อยดีแล้วเพคะ ฝ่าบาท ตอนนี้เหลือเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”

มีร์ยากล่าวดังนั้น ก่อนจะฉีกยิ้มพลางพูดต่อ

“ขอแสดงความยินดีด้วยเพคะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพระองค์น่าจะทรงพักผ่อนได้บ้างแล้ว หมู่นี้ฝ่าบาททรงงานหนักจนหม่อมฉันกังวลเหลือเกินว่าพระองค์จะประชวรไปเสียก่อน”

“โชคดีที่ข้าแข็งแรงมาตั้งแต่เกิด”

พูดจบ แพทริเซียก็หัวเราะแห้งๆ ขนาดดูดพิษเข้าไปนางยังรอดมาได้ อย่างน้อยนางก็ต้องได้รับการยอมรับในเรื่องความแข็งแกร่งของร่างกายแล้วล่ะ แพทริเซียทานซุปจนหมดก่อนจะพูดขึ้นมาลอยๆ

“เช่นนั้นวันนี้แวะไปหอสมุดสักหน่อยดีกว่า”

หลังจากการปรากฏตัวของโรสมอนด์ในครานั้น นางก็รู้สึกแย่กับหอสมุดจึงไม่ได้ไปที่นั่นมานานมากแล้ว ในเมื่อตอนนี้โรสมอนด์ไม่อยู่ แพทริเซียยิ้มอย่างพึงใจพลางก้าวเดินเนิบๆ

แสงแดดไม่ร้อนอย่างที่คิดทำให้แพทริเซียเพลิดเพลินกับความสดชื่นในรอบหลายวัน

เมื่อเข้ามาในหอสมุด บรรณารักษ์ที่ไม่ได้พบกันหลายเดือนก็เข้ามาทำความเคารพทันที แพทริเซียเดินตรงไปยังหมวดหนังสือวิทยาศาสตร์เพื่อหาหนังสือที่นางอยากอ่านมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ก็ผัดวันเรื่อยมา

ยามว่างเช่นนี้สีหน้าของหญิงสาวดูผ่อนคลายยิ่งกว่าเวลาไหนๆ เมื่อพบหนังสือที่ต้องการ นางก็พึมพำออกมาอย่างยินดี

“อ๊ะ เจอแล้… เอ่อ”

ความยินดีนั้นคงอยู่ได้ไม่นาน คนที่อยู่ตรงหน้านางตอนนี้คือลูซิโอ ท่ามกลางชั้นหนังสือมากมายในหอสมุดอันกว้างใหญ่แห่งนี้นางกลับพบเขาที่นี่ แพทริเซียได้แต่ยืนกะพริบตาปริบๆ ด้วยความความตกใจ เหตุใดคนผู้นี้จึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้…? แพทริเซียตกใจจนลืมว่าต้องทำความเคารพและได้แต่ยืนเหม่อ ลูซิโอจึงเป็นฝ่ายทักก่อน

“จักรพรรดินี”

“อ๊ะ…”

“เจ้าดูตกใจมากทีเดียว”

เขาว่าพลางหัวเราะเบาๆ ในตอนนั้นเองแพทริเซียจึงได้สติและทำความเคารพอีกฝ่าย

“ถวายบังคมฝ่าบาท ราชันและสุริยันแห่งจักรวรรดิ ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ”

“เหมือนเดิมเลยนะ”

เขามองแพทริเซียที่ทำความเคารพอย่างไร้ที่ติและพึมพำด้วยสีหน้าขมขื่น แพทริเซียกัดริมฝีปากเงียบๆ ด้วยรู้สึกไม่ชอบใจสีหน้านั้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่หรือ” ลูซิโอเอ่ยถาม

“หม่อมฉันว่าจะมาอ่านหนังสือสักหน่อยเพคะ”

นางละประโยค ‘นานๆ ทีโรสมอนด์จะไม่อยู่’ เอาไว้ แม้นางจะรู้สึกตะขิดตะขวงใจกับเขา แต่สำหรับโรสมอนด์นั้นน่าตะขิดตะขวงใจยิ่งกว่า ทว่า ลูซิโอก็พูดราวกับเขาล่วงรู้ความคิดของนาง

“นางไม่มาที่นี่แล้วล่ะ เจ้าคงไม่ต้องรู้สึกลำบากใจที่จะมาที่นี่แล้ว”

“ฝ่าบาททรงทราบรายละเอียดดีจริงๆ เพคะ”

ให้ตายเถอะ แพทริเซียประชดประชัน ในขณะที่ลูซิโอหน้าเจื่อน ตราบใดที่เขาไม่จัดการความสัมพันธ์ระหว่างเขากับผู้คนหญิงคนนั้นให้เรียบร้อย นางกับเขาก็คงต้องเป็นเช่นนี้ต่อไป แพทริเซียถอนหายใจออกมา กับโรสมอนด์นางแค่รับมือด้วยการปรามาสและความเกลียดชังดังเช่นที่ผ่านมาก็พอแล้ว แต่ปัญหาของนางกับผู้ชายตรงหน้านี้ไม่อาจแก้ได้ด้วยหลักการง่ายๆ เช่นนั้น สำหรับนาง เขาคือความซับซ้อนอย่างแท้จริง

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นสามีของนาง แม้ว่าเขาจะมีอนุภรรยาอย่างไร้ยางอายก็ตาม และหากจะพูดกันตามจริง การที่จักรพรรดิมีอนุภรรยาก็มิใช่เรื่องเสียหาย หากเรื่องมีเพียงเท่านั้น นางคงใช้ความอับอายเป็นข้ออ้างในการเกลียดเขาสุดขั้วหัวใจได้ แต่ในเมื่อนางรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขากับโรสมอนด์แล้ว นางจึงทำใจลำบาก ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องยาก หากนางได้พบเขาก่อนโรสมอนด์จะเป็นอย่างไรนะ? แพทริเซียคิดเช่นนั้นแม้มันจะไร้สาระก็ตาม

“หากเจ้าไม่สะดวกใจ เช่นนั้นเราจะออกไป”

“ไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอกเพคะ”

แพทริเซียไม่อยากให้อีกฝ่ายจับได้ว่านางกำลังใส่ใจเขา นางจึงตอบไปห้วนๆ และหาหนังสือต่อ คำตอบที่ดีที่สุดคือจะทำอะไรก็รีบทำให้เสร็จแล้วกลับตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียตั้งอกตั้งใจหาหนังสือเสียจนไม่รู้ตัวว่าลูซิโอกำลังจ้องนางเขม็ง

แม้จะรู้สึกผิดกับความคิดนี้ของตน แต่ลูซิโอก็นึกขอบคุณแพทริเซีย โดยธรรมชาติแล้วหากใครได้ฟังเรื่องเช่นนั้น ก็มักจะปฏิบัติกับเจ้าของเรื่องแบบพิเศษ แต่คำว่า ‘พิเศษ’ ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติตัวดีขึ้น แต่เป็นการเพิ่มความระมัดระวังเสียมากกว่า เมื่อได้ฟังเรื่องราวเช่นนั้น คนส่วนใหญ่จะระมัดระวังในการเข้าหาคนผู้นั้น ราวกับอีกฝ่ายเป็นขวดแก้วที่เพียงแค่แตะแรงๆ ก็แหลกสลายได้

แต่แพทริเซียไม่ได้ทำเช่นนั้น ลูซิโอกลับรู้สึกว่านั่นคือความพิเศษ อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเรื่องที่ควรจะขอบคุณไม่ผิดแน่ ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกผิดต่อนางพอๆ กับที่รู้สึกขอบคุณ

“เหตุใดจึงมองหม่อมฉันเช่นนั้นหรือเพคะ”

ในตอนนั้นเองแพทริเซียก็รู้สึกถึงสายตาของเขาจึงเอ่ยปากถาม สีหน้าแปลกๆ นั้นเด่นชัดไร้มลทิน เขายิ้มบางๆ พลางตอบ

“หากทำให้รู้สึกไม่ดีต้องขอโทษด้วย”

“เปล่า คือ…”

นางไม่คิดว่าเขาจะตอบเช่นนี้ แพทริเซียรู้สึกแปลกๆ คล้ายว่าตัวเองทำอะไรผิด นางกระแอมไอและกลับไปสนใจกับการหาหนังสืออีกครั้ง ทันใดนั้นแววตานางก็เป็นประกาย

“อ๊ะ เจอแล้ว”

แพทริเซียเผลอพึมพำออกมาก่อนจะเขย่งเท้ายืดตัวเพื่อหยิบหนังสือที่อยู่บนชั้นสูง แต่เพราะชั้นหนังสือนั้นสูงเกินไป มือของนางจึงแตะถูกแตะไม่ถูกอยู่อย่างนั้น ในตอนนั้นเองนางก็ฉวยหนังสือเล่มหนึ่งไว้ได้แต่การกระทำนั้นกลับสะเทือนไปถึงหนังสือเล่มอื่นๆ ทำให้หนังสือจำนวนหนึ่งร่วงลงมาจากชั้นพร้อมกัน แพทริเซียหลับตาแน่นโดยไม่รู้ตัว

ทำไมถึงเก็บหนังสือไว้บนชั้นที่สูงขนาดนั้น แล้วคนตัวเล็กๆ จะหยิบมาอ่านได้อย่างไร!

“อึก…”

ทว่า เสียงที่นางได้ยินกลับเป็นเสียงร้องของคนอื่น แพทริเซียค่อยๆ ลืมตาที่ปิดแน่น ภาพตรงหน้าทำให้นางมองลูซิโออย่างไม่เชื่อสายตา

“ฝ่าบาท…?”

“อึก…ระวังด้วยสิ”

ลูซิโอใช้แขนข้างหนึ่งกันหนังสือที่ร่วงลงมาใส่นาง จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือกลับขึ้นไปเก็บบนชั้นทีละเล่ม เขาดูปกติดีแม้จะรับแรงกระแทกจากหนังสือทั้งหมดนั้นไว้ แต่แพทริเซียก็ถามออกไปด้วยความเป็นห่วง

“ฝะ ฝ่าบาท ทรงเป็นอะไรไหมเพคะ”

“ไม่เป็นไร”

บอกตามตรงว่าเขาเจ็บมาก แต่เขาไม่คิดจะพูดออกไป หากบอกไปว่าเจ็บ ใบหน้าเล็กๆ ของผู้หญิงที่แสนใจดีคนนี้คงจะขมวดยุ่งพลางแสร้งทำเป็นไม่สนใจแต่ก็ห่วงใยเขา แม้นางจะเกลียดเขาถึงเพียงนั้น แต่สุดท้ายนางก็เป็นผู้หญิงแสนดีอย่างน่าเศร้าที่คอยเป็นห่วงเขา

“จักรพรรดินีเป็นอะไรไหม”

“…หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเลยเพคะ แต่ฝ่าบาททรงไม่เป็นไรจริงๆ หรือเพคะ”

“เราบอกว่าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก”

หนังสือที่หญิงสาวกำลังตามหาตกอยู่ตรงหน้า ลูซิโอหยิบหนังสือเล่มนั้นยื่นมาให้ แพทริเซียรับหนังสือมาอย่างงงๆ ยังไม่ทันได้กล่าวขอบคุณเขาก็เดินไปที่ประตูทางออกเสียก่อน ลูซิโอรับการคำนับของนางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีอย่างไม่ใส่ใจ แพทริเซียมองภาพนั้นพลางพึมพำออกมา

“…ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงเสียจริง”

“ฝ่าบาท เมื่อครู่เสียงดังทีเดียว ทรงเป็นอะไรไหมเพคะ”

เมื่อกลับมาถึงตำหนักจักรพรรดินีมีร์ยาก็เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ข้าไม่เป็นไร คนบาดเจ็บน่าจะเป็นฝ่าบาทมากกว่า” แพทริเซียตอบเสียงเบา

“พระจักรพรรดิหรือเพคะ”

“ใช่ พระองค์ทรงรับหนังสือที่ตกลงมาแทนข้า”

ทำให้คนเขาเป็นห่วง แพทริเซียทำสีหน้าไม่ชอบใจ มีร์ยาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจของแพทริเซียก่อนใคร นางเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“ฝ่าบาท เช่นนั้นตามหมอหลวงหรือยังเพคะ”

“คงไม่กระมัง”

เขาไม่ได้รักร่างกายของตัวเองเท่าไร เมื่อคิดถึงตรงนี้แพทริเซียก็รู้สึกหดหู่ขึ้นเล็กน้อยกับเรื่องราวเบื้องหลังที่ส่งผลให้เขาเป็นเช่นนั้น นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดกับมีร์ยา

“มีร์ยา”

“เพคะ ฝ่าบาท”

“อย่างไรข้าก็รู้สึกว่าต้องเรียกหมอหลวง ถึงจะเป็นแค่หนังสือไม่กี่เล่ม แต่ขนาดก็หนาเอาการ ปล่อยไว้ไม่ได้ เผื่อเป็นอะไรขึ้นมา”

“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันจะส่งหมอหลวงไปที่ตำหนักกลางเพคะ”

มีร์ยาจับความนัยในคำพูดของแพทริเซียได้ นางเดินยิ้มออกจากห้องไป เมื่อเหลือแพทริเซียอยู่ในห้องเพียงคนเดียว สีหน้าของนางก็ผ่อนคลายลงราวกับคนที่เพิ่งปลดเปลื้องภาระทางใจ แน่นอนว่าตัวนางเองไม่ทันได้สังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น