ตอนที่ 805 ไล่ล่า (2)

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ผู้บำเพ็ญต่างประเทศคิดว่ามีดบินนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลังที่แท้จริงของเครือข่ายฟ้าดิน และมีแต่พวกระดับ C ลงไปเท่านั้นที่จะเลือกใช้การโจมตีระยะประชิด 

 

 

เพราะฉะนั้นพวกเขาก็เลยต้องกระจายกลุ่มออกไป เพื่อไม่ให้โดนซุ่มโจมตีจากมีดบิน 

 

 

ก่อนเข้าป่ามานี่พวกเขาก็ได้รับการเตือนให้ระวังมีดบินด้วย 

 

 

แต่การโจมตีที่พวกเขากำลังเจออยู่นั้นแตกต่างไปจากการโจมตีที่พวกเขาคาดไว้ เพราะไม่มีมีดบินเลย แต่กลับมีเส้นด้ายสีเทาอยู่บนพื้น ดูแล้วน่ากลัวเหมือนกับรังงูพิษ 

 

 

หัวหน้ากลุ่มที่นำทางกลุ่มมารู้ได้ทันทีว่าคนของเขารอดไปไม่ได้แน่ๆ และศัตรูของพวกเขายังยิ้มให้ราวกับว่าเขาแค่โจมตีเล่นๆ แบบไม่จริงจังเท่านั้น 

 

 

พอหัวหน้ากลุ่มกำลังจะวิ่งหนี เขาก็เห็นว่าทางหนีนั้นถูกปิดกั้นด้วยแนวเส้นด้ายสีเทาแล้ว 

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มออกมา “พวกแกเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่เลยนะเนี่ย ไหนบอกเรื่องที่ตั้งแคมป์ที่อยู่บนยอดเขานี่ทีสิ เดี๋ยวฉันจะฆ่าแกแบบไม่ทรมานให้ถ้าแกทำตามที่ฉันบอก” 

 

 

หลี่ว์ซู่ไปที่แคมป์ของเครือข่ายฟ้าดินก่อนที่จะเข้ามาในป่านี้แล้ว เขาเห็นคนบาดเจ็บจำนวนมาก และเห็นร่างไร้ชีวิตของสหายร่วมรบที่กำลังนำไปทำพิธีต่อไป 

 

 

เพราะฉะนั้นเขาก็เลยไม่สนใจจะไว้ชีวิตให้กับผู้บำเพ็ญต่างประเทศหน้าไหนที่เขาเจอ 

 

 

หลี่ว์ซู่โกรธจัด เขาเห็นหลี่อีเสี้ยวและน่าหลานเชวี่ยแต่ไม่ได้ปรากฏตัวออกไปให้พวกเขาเห็น ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนหน้าตาตัวเองให้เป็นเหมือนทหารทั่วๆ ไปในเครือข่ายฟ้าดินทันที 

 

 

เขาจะเปิดเผยตัวเองไม่ได้เด็ดขาด เขาจะต้องทำให้ตัวเองปลอดภัยโดยการหลบอยู่ในที่มืดแบบนี้ไปก่อน 

 

 

เพราะฉะนั้นหลี่ว์ซู่ก็เลยใช้วิธีการโจมตีแบบต่างออกไปจากเดิม เพราะเขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวเองก่อนที่เขาจะรู้ว่าคู่ต่อสู้แข็งแกร่งแค่ไหน 

 

 

ตอนนี้คนที่ควบคุมอาจจะกำลังมองการต่อสู้นี้มาจากที่ไกลๆ ก็ได้ ถ้าเขาโดนจับตามองขึ้นมาเขาเองก็จะมีปัญหาตามมาอย่างมาก 

 

 

แต่หลี่ว์ซู่รู้ว่าเขาฆ่ากลุ่มทหารลาดตระเวนพวกนี้ไปได้ง่ายๆ เขาจัดการได้โดยไม่ต้องใช้ไม้ตายที่ซ่อนอยู่ไว้เลย 

 

 

ทันใดนั้นเส้นกระบี่เฉวียอินก็ปรากฏขึ้นจากแผนที่ดวงดาวของเขาหลังจากหลี่ว์ซู่แน่ใจแล้วว่าไม่มีกับดักอยู่รอบๆ ตัว ตอนนี้ชีวิตของคนกลุ่มนี้ก็อยู่ในกำมือของหลี่ว์ซู่แล้ว ไม่มีทางที่จะมีใครหนีไปได้ 

 

 

กลุ่มนกกระจอกแดงแปลกใจที่เห็นว่าชายหนุ่มคนนี้มีเครื่องแปลภาษาอัตโนมัติอยู่กับตัวด้วย… 

 

 

นี่เขาอยากจะมาสู้จริงหรือเปล่า ดูไม่จริงจังเหมือนทหารคนอื่นๆ เลย! 

 

 

“แกเป็นใคร” หัวหน้ากลุ่มนกกระจอกแดงถามเพื่อที่จะซื้อเวลา เขารู้ว่ากลุ่มของพวกเขามีโอกาสรอดอยู่ ถ้าเพื่อนของเขาที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งกิโลเมตรมาช่วยเขาได้ทัน ถึงแม้ว่าจะเป็นโอกาสที่น้อยมากก็ตาม แต่ทุกกลุ่มก็สามารถติดต่อกันได้โดยใช้การใช้การโทรระยะไกลเพื่อที่จะได้ไปช่วยทีมใกล้เคียงได้ทันถ้าเกิดอันตราย 

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ้มแล้วพูดว่า “รอเพื่อนมาช่วยอยู่เหรอ แย่หน่อยนะที่พวกเขาโดนกำจัดไปเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนแล้ว” 

 

 

ความกลัวคืบคลานเข้ามาในบรรยากาศ กลุ่มของเขาไม่รู้เลยว่าเพื่อนร่วมรบของตัวเองถูกฆ่าไป! 

 

 

ทันใดนั้นหัวหน้ากลุ่มก็รู้สึกว่ามีอะไรมาบาดขา เขามองลงไปเห็นเส้นสีเทาสองเส้นตัดผ่านน่องของเขาไป คมกระบี่เฉวียอินนั้นเจาะเข้าไปในเกราะวิญญาณชี่ราวกับว่าเป็นมีดที่ตัดเข้าไปในกระดาษ 

 

 

และในตอนนั้นก็มีระลอกแต้มอารมณ์หลั่งไหลเข้ามาให้หลี่ว์ซู่เป็นจำนวนมาก อย่างที่คาดไว้เลยว่าความกลัวนี่แหละคือสิ่งที่ดีที่สุดของแผนที่ดวงดาว 

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ก็ทำให้คนกลัวได้ยากเหลือเกินเพราะเขาไม่ได้ฆ่าคนไปมากนัก… 

 

 

“ฉันจะพูดซ้ำอีกรอบนะ บอกเรื่องแคมป์บนยอดเขามา… งั้นเอาอย่างนี้ดีกว่า มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกันหน่อยดีไหมล่ะ แกบอกสิ่งที่แกรู้มา แล้วเดี๋ยวฉันจะบอกสิ่งที่ฉันรู้” หลี่ว์ซู่พูดออกไป เขาไม่ค่อยเก่งเรื่องการสอบสวนโดยใช้การทรมานเท่าไหร่ เพราะเขาคิดว่ามันโหดร้ายมากเกินไป แต่เขาก็พร้อมที่จะทำตัวโหดร้ายถ้าสถานการณ์มันบังคับจริงๆ  

 

 

คนจากกลุ่มนกกระจอกแดงล้มลงไปบนพื้นหลังจากเสียการทรงตัว เขาดิ้นและพูดตอบอย่างยากลำบาก “บอกฉันมาก่อนว่ามีระดับ B ในเครือข่ายฟ้าดินกี่คน แล้วฉันจะบอกแกว่าเรามีกำลังเท่าไหร่ที่แคมป์นั่น” 

 

 

หลี่ว์ซู่เงียบไปเล็กน้อยก่อนตอบว่า “เรามีพันคน” 

 

 

[ได้รับแต้มอารมณ์จาก…] 

 

 

[ได้รับแต้มอารมณ์จาก…] 

 

 

หลังจากที่ผ่านความเงียบที่กระอักกระอ่วนไปแล้ว หลี่ว์ซู่ก็ตัดสินใจยอมแพ้แล้ว “ช่างมันเถอะ ฉันไม่ค่อยเก่งเรื่องแลกเปลี่ยนข้อมูลเท่าไหร่ งั้นฉันขอรบกวนแกไปทักทายเพื่อนๆ จากเครือข่ายฟ้าดินที่ตายไปแล้วในปรโลกหน่อยนะ บอกไปว่าหลี่ว์ซู่ ราชันฟ้าคนที่เก้าคนนี้จะแก้แค้นให้พวกเขาเอง” 

 

 

หัวหน้ากลุ่มอึ้งไปเลย…งั้นแกไม่ได้อยากจะมาหาข้อมูลจากพวกเราแต่แรกแล้วสินะ! 

 

 

… 

 

 

กลางคืนเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงโหยหวนของสัตว์ป่าดังไปทั่วคืนอันเงียบสงัด ในภูเขาจั่งไป๋แห่งนี้มีสัตว์กลายพันธุ์เยอะกว่าในพื้นที่อื่นๆ แต่พวกสัตว์เหล่านั้นจะต้องหนีไปอยู่ที่อื่นเพราะตอนนี้มีผู้บำเพ็ญกว่าหมื่นๆ คนมาบุกรุกที่อยู่อาศัยของพวกมัน… 

 

 

ในขณะที่กลุ่มของเครือข่ายฟ้าดินกำลังเดินสำรวจอยู่ในป่า หัวหน้ากลุ่มส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดเดิน และกลุ่มคนกว่าสิบคนนั้นก็หยุดนิ่งไม่ไหวติงราวกับถูกแช่แข็งไว้ใต้แสงจันทร์ 

 

 

ทุกคนมองไปรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง หัวหน้ากลุ่มสั่งให้หยุดเพราะว่าเขาเห็นแสงไฟผ่านช่องว่างระหว่างใบไม้ 

 

 

จากนั้นหัวหน้ากลุ่มก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนกระจายตัวออกไปตั้งขบวนโจมตี และทั้งสิบคนก็แผ่กระจายออกไปล้อมรอบไฟนั้นเป็นวงกลม พวกเขาเคลื่อนไหวกันอย่างไม่รีบร้อนและรักษาระยะห่างกันอย่างพอดี ซึ่งนี่เป็นกลยุทธ์ที่พวกเขาเตรียมมาใช้สำหรับสถานการณ์ที่ศัตรูใช้ไฟนี่เป็นตัวล่อเพื่อให้พวกเขาติดกับดัก 

 

 

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีการซุ่มโจมตีอยู่เลย 

 

 

หัวหน้ากลุ่มส่งสัญญาณมืออีกแบบหนึ่งและทุกคนก็เดินเข้าไปใกล้ไฟอีกรอบ แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจที่เห็นว่ามีชายหนุ่มที่ทาลายพรางบนหน้าของเขานั่งอยู่ข้างกองไฟเพียงคนเดียว 

 

 

แถมรอบๆ ตัวของเขายังมีร่างไร้ชีวิตของผู้บำเพ็ญต่างประเทศอยู่มากกว่ายี่สิบร่างอีกด้วย 

 

 

แล้วตอนนั้นเองหัวหน้าก็เห็นเส้นสีเทาห้อยลงมาจากต้นไม้ข้าง ๆ 

 

 

หลี่ว์ซู่มองขึ้นมาแล้วยิ้มให้กับคนกลุ่มนี้ “มานั่งตรงนี้ให้อุ่นกันสิ สหายทั้งหลาย” 

 

 

ถึงตอนนี้จะเป็นคืนฤดูร้อน แต่อากาศบนยอดเขาก็ยังค่อนข้างต่ำและชื้นมาก 

 

 

หัวหน้าดูลังเล “แกเป็นใคร แล้วคนพวกนี้เป็นใคร” 

 

 

“ไม่ต้องรู้ว่าฉันเป็นใครหรอก” หลี่ว์ซู่ยิ้ม “คนพวกนี้มาที่กองไฟของฉัน ฉันก็เลยฆ่าพวกมันทิ้ง แล้วก็ฆ่ากลุ่มอีกสองสามกลุ่มจากป่าทางทิศตะวันออกด้วย” 

 

 

หัวหน้ากลุ่มเริ่มจะหายใจติดขัด ชายหนุ่มคนนี้ล่อให้ผู้บำเพ็ญต่างประเทศเข้ามาตายเหมือนกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แล้วเขาก็สู้กับคนพวกนี้ไปด้วยตัวคนเดียวอีก!