ตอนที่ 1687

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,687 : ฉีจิ้งขึ้นเวที!

 

ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง คือเป้าหมายการมาของต้วนหลิงเทียน…

 

กล่าวให้ชัดที่เขามายังเขตอิทธิพลหลักของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเพื่อเข้าร่วมการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องครั้งนี้ เพียงเพราะมาฆ่าฉีจิ้ง! คลี่คลายวิกฤตของหานเฉวี่ยไน่ที่เขาเห็นเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆ!!

 

ตราบใดที่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องอย่างฉีจิ้งตายตกสักคน หานเฉวี่ยไน่ก็ไม่ต้องแต่งกับมัน!

 

เช่นนั้นสัญญาวิวาห์เป็นอันต้องยกเลิก!

 

“หืม? อาวุโสเสิ่น ไฉนแลดูเหมือนท่านกำลังจะกลับ…อย่าได้บอกข้าเชียวว่าการประลองจัดอันดับยอดนักรบสิ้นสุดลงแล้ว?”

 

หลังจากที่ฉีจิ้งปรากฏตัวออกมา มันก็แลเห็นภาพคนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องเหินร่างออกมาโดยมีฉีเสิ่นนำ คล้ายกำลังจะกลับ…ทำให้มันตื่นตระหนกและคิดว่าการประลองสิ้นสุดลงแล้ว!

 

ต้องทราบด้วยว่ามันเร่งรุดเดินทางมาจนแทบไม่ได้พัก…

 

เหตุผลเดียวที่มันมาช้า ก็เพราะมันพึ่งทะลวงด่านพลังที่มันฝันใฝ่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา

 

“ยังไม่…”

 

การปรากฏตัวของฉีจิ้งแม้ทำให้ฉีเสิ่นไม่มีความสุข แต่มันก็ไม่อาจเผยเรื่องนี้ออกหน้าออกตา

 

“ยังไม่?”

 

พอได้ทราบว่าการประลองยังไม่จบสิ้น สีหน้าเคร่งเครียดของฉีจิ้งพอได้ผ่อนคลายลง ก่อนที่จะกล่าวถามสืบต่อเสียงเย็น “หากยังไม่จบแล้วนี่ท่านกำลังทำอะไรของท่าน?”

 

มันย่อมมองออกว่าท่าทางฉีเสิ่นคล้ายกำลังจะพาผู้คนจากไป

 

ในขณะที่ฉีเสิ่นไม่รู้จะตอบคำอย่างไรดี รองผู้นำคฤหาสน์ข้ามฟ้าอย่างเริ่นจง พลันส่งเสียงกล่าวบอกเรื่องราวทั้งหมดให้ฉีจิ้งรับทราบผ่านปราณแรกกำเนิด

 

จังหวะนี้กระทั่งฉีจิ้งยังอดสะท้านไปไม่ได้!

 

อัจฉริยะแถวหน้าของพวกมันทั้ง 3 ตกตายในการประลองหมดแล้ว?

 

แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นหลานชายของอาวุโสหลักฉีเสิ่น ฉีค่าน?

 

อีก 2 คนนั้นไม่นับเป็นตัวอะไรในสายตาฉีจิ้ง ทว่าฉีค่านหลานชายอาวุโสหลักฉีเสิ่นนี้ นับว่าไม่ได้มีพรสวรรค์ด้อยกว่ามันเลย ยังกดดันมันด้วยซ้ำ!

 

หากมันไม่ได้บ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดวิชามารอย่าง มารกลืนหยิน มันก็ไม่มั่นใจแม้แต่น้อยว่าจะเอาชนะฉีค่านในการประลองยอดนักรบได้หรือไม่!

 

อย่างไรก็ตามคนที่มันให้ความสำคัญและเคยหวั่นเกรง กลับตกตายภายใต้เงื้อมมือของผู้ฝึกตนพเนจรที่ยังมีอายุไม่ถึง 40 ปี!?

 

เรื่องนี้จะไม่สร้างความตกใจให้มันได้อย่างไรไหว!!

 

อย่างไรก็ตามความตกใจของมันเพียงมีอยู่ได้ไม่นานก็ถูกโทสะอารมณ์กลบมิด!

 

พอรู้ว่าหลังจากฉีค่านตาย แล้วฉีเสิ่นได้กระทำอุบาทว์อะไรลงไป สายตาที่ฉีจิ้งใช้มองฉีเสิ่นก็เย็นเยือกลงทันที!

 

กระทั่งฉีเสิ่นเองก็ไม่ทราบว่า ไฉนอยู่ดีๆ สายตาของฉีจิ้งกลับให้ความรู้สึกเยียบเย็นน่ากลัว ปานมันกำลังถูกอสรพิษจับจ้องก็ไม่รู้…

 

มว่าครู่ต่อมา…มันพลันตระหนักได้ว่า สมควรมีใครสักคนกล่าวรายงานเรื่องราวให้ฉีจิ้งรับรู้ผ่านปราณแรกกำเนิดแล้ว!

 

“เจ้าคิดว่าข้านายน้อยจะไม่มางั้นเหรอ?”

 

ฉีจิ้งมองถามฉีเสิ่นเสียงเย็น สายตาไร้อารมณ์

 

“เรียนนายน้อย…วันนี้เป็นวันประลองคัดเลือก 10 อันดับวันสุดท้าย แต่ท่านกลับมิปรากฏตัวออกมาจนเจียนหมดวัน ข้าเลย…”

 

เนื่องจากมีความผิดติดตัว ฉีเสิ่นจึงไม่กล้ากล่าวอะไรให้มาก…

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่มันจะทันได้กล่าวจบ มันก็ถูกฉีจิ้งขัดคำเสียก่อน “ข้ายังไม่มาได้? อาวุโสหลัก ข้าคิดว่าจักเป็นการดีเสียกว่าที่ท่านจักไปขอโทษลี่เฟิงเดี๋ยวนี้! หาไม่แล้วหากข้าต้องถูกตัดสิทธิ์จากการประลองเพราะความโง่เขลาของท่าน …ท่านสมควรรู้ดีว่าผลที่ตามมาหากข้าพลาดการประลองนี้เพราะท่านจักเป็นอย่างไร..”

 

วาจาท้ายประโยคฉีจิ้งนับว่ากล่าวออกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบถึงขีดสุด! เห็นได้ชัดว่ามันกำลังข่มขู่!!

 

จังหวะนี้ฉีเสิ่นรู้ดีว่ามันไร้หนทางเลือกอีกแล้ว

 

ถึงแม้มันจะไม่อยากขอขมาผู้ฆ่าหลานของมันแค่ไหน มันก็ต้องขอโทษ!

 

ดั่งคำว่า ‘สถานการณ์ชักนำบุคคล’ หากมันกล้าปฏิเสธตอนนี้ นั่นหมายความว่ามันจงใจทำให้ฉีจิ้งสิ้นคุณสมบัติเข้าร่วมการประลองยอดนักรบ!

 

ถึงตอนนั้นมันจะกลายเป็นคนบาปหนาของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องทันที!

 

ที่มันกล้าพาคนกลับไปดื้อๆเพราะฉีจิ้งยังไม่มา

 

ตอนนี้เมื่อฉีจิ้งมาแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่คนของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องจะไม่เต็มใจไปกับมัน กระทั่งต่อให้ทุกคนเต็มใจมันก็ไม่กล้าพาใครกลับ!

 

สูดลมหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่ง ฉีเสิ่นพลันมองไปยังต้วนหลิงเทียน ทั้งกล่าวคำขอโทษออกมาอย่างขอไปที

 

ได้รับคำขอโทษอย่างขอไปทีของฉีเสิ่น ต้วนหลิงเทียนก็ยังเฉยเมยไม่แยแส เขารู้ดีว่าฉีเสิ่นมันไม่มีวันขอโทษเขาอยู่แล้ว ‘หากฉีจิ้งมันไม่โผล่หัวมา ฉีเสิ่นต้องพาคนกลับไปแน่นอน…คราวนี้ต่อให้ฉีจิ้งมาถึงทีหลัง ก็น่ากลัวจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมประลองแล้ว! คราวนี้ข้าคงเสียโอกาสที่จะฆ่ามันไป…’

 

‘ยังนับว่าโชคดีนักที่ฉีจิ้งมาทันเวลา’

 

พอคิดถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะโล่งใจ

 

จุดประสงค์การมาของเขาครั้งนี้คือฆ่าฉีจิ้งเท่านั้น เรื่องอื่นใดเขาไม่สนใจ

 

ผู้คนโดยรอบเริ่มกระซิบกระซาบกันทันทีเมื่อเห็นฉีเสิ่นขอโทษต้วนหลิงเทียนอย่างขอไปที ไม่ได้มีทีท่าสำนึกผิดใดๆ…

 

“หรืออาวุโสหลักคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อผู้นี้ มันคิดว่ามันเป็นผู้นำคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกัน? เพียงเพราะมันมิอยากจะเสียหน้า จึงคิดปล่อยให้คนรุ่นหลังเสียสิทธิ์ในการประลอง?”

 

“มันคงตัดสินใจหลังเห็นว่าอัจฉริยะทั้ง 3 ของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องตายหมด แถมนายน้อยของมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะปรากฏตัวขึ้นนั่นล่ะ”

 

“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ตอนนี้พอฉีจิ้งมา แม้มันไม่เต็มใจแต่มันก็ต้องขอโทษลี่เฟิง”

 

……

 

ผู้คนมากมายกล่าววิจารณ์ฉีเสิ่นโต้งๆ พาลให้หน้าฉีเสิ่นยิ่งมายิ่งบิดเบี้ยวอัปลักษณ์

 

หากทำได้มันอยากจะฆ่าล้างผู้คนปากพล่อยนี่เสียให้หมด!

 

การปรากฏตัวทันเวลาของฉีจิ้ง ทำให้ฉีเสิ่นขอโทษต้วนหลิงเทียน เช่นนั้นการประลองยอดนักรบฟ้าลิ่วล่องจึงเริ่มดำเนินต่ออย่างเป็นปกติ

 

ต้วนหลิงเทียนพบว่าฉีจิ้ง มักปรายตามองมาทางเขาเป็นครั้งคราว

 

ในแววตาของฉีจิ้งเต็มไปด้วยความประหลาดใจ หากแต่ส่วนมากจะเต็มไปด้วยความเย็นชา

 

ถึงแม้ว่าฉีจิ้งจะไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการตายของฉีค่าน แต่ในฐานะนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง มันก็ต้องเห็นต้วนหลิงเทียนเป็นศัตรูไปโดยปริยาย ไม่อาจเพิกเฉยเขาได้

 

เพราะหากมันฆ่าต้วนหลิงเทียนได้ล่ะก็ ชื่อเสียงในคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องของมันต้องสูงขึ้นแน่นอน

 

ดังนั้นแล้วในสายตาของฉีจิ้ง ต้วนหลิงเทียนจึงต้องเป็นศัตรูกับมัน และยังต้องเป็นหินรองเท้าให้มันก้าวข้ามไป!

 

หลังจากที่ฉีจิ้งมาถึงมันก็ไม่ได้รีบร้อนจะท้าทายใคร

 

ต่อมาอีกพักหนึ่งในที่สุดหลวงจีนลายบุผากับจิ้งชวีจื่อก็พากันขึ้นเวทีประลอง ส่วนด้านจ้าวเวทีที่ถูกทั้งคู่เลือกก็เร่งกล่าวยอมแพ้ออกมาโดยสดุดี ทั้งคู่กลายเป็นจ้าวเวทีโดยที่ไม่แม้แต่จะออกแรงใดๆ

 

เมื่อหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อกลายเป็นจ้าวเวทีแล้ว ทั้งคู่ก็พากันมองไปทางฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง

 

“ตอนนี้มิใช่ว่าสมควรแก่เวลาที่ฉีจิ้งจึ้ขึ้นเวทีแล้วหรือ?”

 

“ช่างวางท่านัก! กลับรอให้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อลงมือก่อน ฉีจิ้งผู้นี้ถึงจะเคลื่อนไหว!!”

 

“ข้าคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะมันหวาดกลัวรึเปล่า? หากมันขึ้นประลองก่อน แล้วถูกหลวงจีนลายบุปผาหรือจิ้งชวีจื่อท้าทายจักให้ทำอย่างไรเล่า? ถึงตอนนั้นมันคงได้อับอายเพราะพ่ายแพ้แล้ว…”

 

“ด้วยพลังฝีมือของมันจะแพ้หลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อยังถือเป็นเรื่องแปลกอะไร? แม้มันคิดจะหลีกเลี่ยงทั้งคู่ตอนนี้ แต่รอบจัดอันดับมันยังหนีพ้นหรือ?”

 

……

 

หลายคนเริ่มกระซิบกระซาบในทำนองฉีจิ้งกลัวหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อ

 

ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านี้ ชายหนุ่มหลังค่อมที่ยืนอยู่ด้านหลังฉีจิ้งถึงกับแสยะยิ้มดูแคลน คล้ายขบขันความโง่เขลาไม่รู้เรื่องราวของฝูงชน

 

พลังฝีมือของนายน้อยมันตอนนี้…หาใช่อะไรที่นายน้อยของมันในกาลก่อนจะเทียบได้แล้ว!

 

ด้านฉีจิ้งก็ยังคงเฉยเมย คล้ายไม่ได้ยินเสียงซุบซิบนินทาโดยรอบ

 

‘หืม?’

 

ปากที่ยกแสยะขึ้นมาเชิงดูถูกของชายหนุ่มหลังค่อมด้านหลงฉีจิ้ง ย่อมไม่พ้นสายตาของต้วนหลิงเทียน ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ‘ดูเหมือนผู้ติดตามของฉีจิ้งจะมั่นใจในตัวมันมาก…นี่ตลอดปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับมันกันแน่?’

 

ไม่แปลกที่ต้วนหลิงเทียนจะคิดแบบนี้

 

ต้องทราบด้วยว่าเมื่อต้นปีที่แล้ว เขาได้ข่าวมาว่าฉีจิ้งยังคงมีพลังฝึกปรือแค่ขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นต้นเท่านั้น

 

ดังนั้นแล้วต่อให้ตลอดปีที่ผ่านมา ฉีจิ้งจะฝึกฝนบ่มเพาะโดยใช้ทรัพยากรล้ำค่ามากมายเพียงใด แต่เต็มที่ก็สมควรทะลวงถึงเซียนขัดกลางเท่านั้น

 

และการที่ทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้ไม่นานแบบนี้ พลังฝีมือของมันก็ไม่น่าจะเทียบกับหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวื่อได้เลย…

 

เพราะหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อนั่นแม้ไม่ทราบแน่ชัดว่าทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญหรือยัง แต่ถึงยังอยู่ในขอบเขตเซียนขัดเกลาขั้นกลาง ก็น่ากลัวว่าจะมีเซียนขัดเกลาขั้นกลางน้อยคนนักที่เอาชนะพวกมันได้

 

ท่ามกลางสายตาของผู้คน ในที่สุดฉีจิ้งก็เริ่มเคลื่อนไหว

 

มันหันมามองต้วนหลิงเทียนก่อน ทำให้ใจต้วนหลิงเทียนเต้นรัวขึ้นมาทันที ‘มันคิดเลือกข้า?’

 

หากฉีจิ้งเลือกเขา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นจะเป็นผลลัพธ์ที่เขาอยากเห็นมากที่สุด!

 

ด้วยเป็นเช่นนั้น บางทีเขาอาจจะแก้ปัญหาให้เฉวี่ยไน่ได้ทันที!

 

“ฉีจิ้งคิดท้าทายลี่เฟิงงั้นหรือ?”

 

ตอนนี้เองผู้คนส่วนใหญ่ยังพบว่าฉีจิ้งกำลังมองใคร

 

“มันคงมิได้คิดว่าลี่เฟิงเป็นพลับสุกหรอกนะ …พลังฝีมือที่ลี่เฟิงเผยออกก่อนหน้า อย่างน้อยๆก็ทัดเทียมกับจงกู้แน่นอน!”

 

หลายคนเริ่มออกความเห็น

 

“พลังฝีมือของลี่เฟิงไม่เพียงแต่จะทัดเทียมกับจงกู้หรอก! ข้าว่ากระทั่งหลวงจีนลายบุผากับจิ้งชวีจื่อยังไม่แน่ว่าจะรอดพ้นจากแรงระเบิดก่อนหน้านี้ได้ด้วยซ้ำ..ทว่าลี่เฟิงกลับรอดมาได้! เช่นนั้นไม่แน่ว่าเผลอๆลี่เฟิงอาจจะแข็งแกร่งเหนือกว่าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อเสียอีก!!”

 

บางคนกล่าวเสริม

 

โดยรวมแล้วการที่ต้วนหลิงเทียนรอดตายมาได้ก่อนหน้านี้ ทำให้ทุกคนตกตะลึงไม่น้อย ขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกคนเริ่มตระหนักถึงพลังฝีมือเขาอีกครั้ง

 

ย่อมไม่มีใครกล้าดูเบาเขา เพราะอย่างไรอายุเขาก็ยังไม่ถึง 40 ปี…

 

โชคร้ายนัก ภายใต้สายตาของทุกคน ฉีจิ้งที่มองต้วนหลิงเทียนอยู่เมื่อครู่ ไม่นานมันก็หันไปมองหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่ออีกครั้ง

 

“นั่นมันคิดจะท้าหลวงจีนลายบุปผาหรือไม่ก็จิ้งชวีจื่องั้นเหรอ?”

 

จังหวะนี้ผู้ชมอดไม่ได้ที่จะมึนงง

 

ส่วนต้วนหลิงเทียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย…

 

“ฮึ่ม! มันมองลี่เฟิงแต่สุดท้ายก็มิได้ท้าลี่เฟิง…มันมองหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อ ก็มิแน่ว่าจะท้าหนึ่งในนั้นเสียหน่อย!”

 

ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดโพล่งออกมา แต่น้ำเสียงออกเหยียดๆอย่างเห็นได้ชัด

 

“ข้าคิดว่ามันก็แค่มองไปเรื่อยๆนั่นล่ะ…ข้ามิคิดว่ามันจะกล้าท้าหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อจริงๆหรอก”

 

หลายคนเห็นด้วย

 

และปรากฏว่าหลายคนเดาถูก เพราะไม่นานฉีจิ้งก็ละสายตาออกจากหลวงจีนลายบุปผาและจิ้งชวีจื่อจริงๆ

 

“นั่นไง! ข้าพเจ้าว่าแล้วเชียว!!”

 

“ข้าก็บอกแล้วว่าฉีจิ้งมันมิกล้าท้าทายหลวงจีนลายบุปผากับจิ้งชวีจื่อตอนนี้หรอก!”

 

……

 

มีหลายคนที่เผยยิ้มเชิดๆ ชักสีหน้าประมาณว่า ‘ข้าพเจ้าว่าแล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้’ ออกมา แววตาที่พวกมันใช้มองฉีจิ้ง คล้ายจะเพิ่มความดูแคลนขึ้นอีกส่วน…