หลังจากงานมิตรภาพจบลง เฉินโม่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกจี๋ต๋าจิ่วตูและคนอื่นๆ ตำหนิ โดยเฉพาะจี๋ต๋าจิ่วตู ที่ระบายความคับแค้นใจในหลายวันที่ผ่านมาออกมา
จนกว่าเฉินโม่จะตอบรับเขาเป็นศิษย์ เขาถึงจะยอมปล่อยเฉินโม่ไป
แน่นอน เฉินโม่ไม่ได้รับเขาเป็นลูกศิษย์จริงๆ เขาไม่ต้องการที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของจี๋ต๋าจิ่วตู เขามีชีวิตของเขาเอง
เมื่อเพื่อนร่วมหอพักกลับไปถึงประตูอาคารหอพัก เฉินโม่ก็ถูกพวกไล่กลับอย่างไม่ลังเล เป็นผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น เฉินโม่เข้าใจสายตาแบบนั้น
เฉินโม่พามู่หรงยานเอ๋อร์ไปส่งที่หอพักหญิง ระหว่างทางมู่หรงยานเอ๋อร์เงียบผิดปกติ ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว อยู่เป็นเพื่อนเฉินโม่เงียบๆ
สิ่งนี้ทำให้เฉินโม่รู้สึกไม่คุ้นชิน
“เธอไม่ถามหน่อยเหรอว่าหลายวันมานี้ผมไปไหนมา?” เฉินโม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
มู่หรงยานเอ๋อร์ยิ้มสงบเสงี่ยม “สิ่งที่ฉันควรรู้ นายจะต้องบอกกับฉันแน่ สิ่งที่ฉันไม่ควรรู้ ถามไปก็ไม่มีประโยชน์”
เฉินโม่รู้สึกสงสารอยู่ในใจ ในสายตาของคนอื่น อาจจะรู้สึกว่ามู่หรงยานเอ๋อร์เป็นเด็กดีเชื่อฟังและมีเหตุผล แต่สิ่งที่เฉินโม่เห็นก็คือ มู่หรงยานเอ๋อร์ได้สูญเสียความเป็นตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ถ่อมตัวมากและพยายามทำให้เขาพอใจอย่างเต็มที่
ในความทรงจำของเขา มู่หรงยานเอ๋อร์ไม่ควรจะเป็นแบบนี้
บางครั้งเฉินโม่ก็ครุ่นคิดว่า ในการเกิดใหม่ เขาได้ช่วยเหลือมู่หรงยานเอ๋อร์หรือว่าทำร้ายเธอกันแน่
แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะควบคุมผลกระทบของตัวเองที่มีต่อคนรอบข้าง แต่บัตเตอร์ฟลายเอฟเฟกต์ที่ไร้รูปร่าง เป็นเหมือนธรรมะในโลกใต้ดิน ไม่ใช่สิ่งที่เขาควบคุมได้เลย
“ถ้าเธอถาม ผมจะบอกเธอ!” เฉินโม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม
มู่หรงยานเอ๋อร์เผยรอยยิ้มออกมา มองเข้าไปในดวงตาของเฉินโม่ พลางกล่าวด้วยความสุข “ได้ฟังคำพูดประโยคนี้ของนาย ฉันก็มีความสุขมากแล้ว!”
“เอาล่ะ ฉันมาถึงแล้ว นายกลับไปพักผ่อนเถอะ!” มู่หรงยานเอ๋อร์ยิ้มอย่างสง่างาม
“อืม เธอก็รีบพักผ่อนเถอะ!” เฉินโม่ยิ้มให้มู่หรงยานเอ๋อร์เช่นกัน
เฉินโม่มองตามมู่หรงยานเอ๋อร์กลับไปถึงหอพัก เฉินโม่หันหลังกลับและเดินจากไป เขาไม่ได้บอกมู่หรงยานเอ๋อร์ว่าเขาได้ทำลายองค์กรล่าชีวิตแล้ว เขาไม่อยากให้มู่หรงยานเอ๋อร์รู้เรื่องนี้ เขารู้สึกว่าเด็กสาวอย่างมู่หรงยานเอ๋อร์ควรใช้ชีวิตอยู่ใต้แสงอาทิตย์
เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ที่ตนเช่าไว้ เฉินทงที่แต่งตัวดี สะอาดสดใสได้ยืนรออยู่ที่สนามเป็นเวลานานแล้ว
เฉินโม่มองไปที่เฉินทง ขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ในที่สุดก็กลับมา” เฉินทงสีหน้าเย็นชา พยายามข่มน้ำเสียงไม่ให้โกรธเกรี้ยว
เฉินโม่ไม่สนใจเขา เดินผ่านเขาไปเงียบๆ แล้วพูดว่า “ผมไม่ต้องการฟังนายพูด ที่นี่ไม่ต้อนรับนายเช่นกัน นายกลับไปดีกว่า!”
สีหน้าของเฉินทงเย็นชาลง
“ฮึ่ม ไอ้หนุ่ม ผมไม่สนหรอกว่านายมีที่พึ่งพิงอะไร แต่ผมจำเป็นต้องเตือนนายอีกครั้ง นายไม่สามารถล่วงเกินตระกูลหยุนได้ ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเฉิน ผมมีหน้าที่ต้องเกลี้ยกล่อมนายอีกครั้ง ไปขอโทษหยุนเทียนหลิงซะ แล้วอยู่ให้ห่างจากเล่หรูหั่ว มิฉะนั้นแม้แต่ตระกูลเฉินก็คุ้มครองเธอไม่ได้!”
เฉินโม่ไม่หยุดเดิน สีหน้าของเฉินทงบึ้งตึงจนถึงขีดสุด
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู เฉินโม่ก็หยุดเดินโดยไม่ได้หันกลับไปมอง น้ำเสียงสงบนิ่งจนทำให้ใจสั่น “ผมไม่ต้องการใครมาปกป้อง ไม่มีใครสามารถหยุดผมได้ ตระกูลหยุนก็ไม่ได้ หยุนเทียนหลิงก็ไม่ได้ นาย ยิ่งไม่ได้!”
“ไปเถอะ ที่นี่ไม่ต้อนรับนายอีก!”
พูดจบเฉินโม่ก็เดินตรงเข้าไปในห้อง
เฉินทงใบหน้าซีดเผือด ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาตวาดใส่เฉินโม่โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ “ไอ้หนุ่ม นายรู้ไหมว่าตระกูลหยุนมีปรมาจารย์คอยนั่งบัญชาอยู่? ความแข็งแกร่งและการพึ่งพาของนายเป็นเพียงเรื่องตลกในสายตาของปรมาจารย์!”
“นายจะเอาอะไรไปสู้กับตระกูลหยุน?”
“นายจะลากตระกูลเฉินแห่งหนานซูทั้งหมดเข้าไปด้วย!”
เฉินโม่ยังคงไม่สนใจเหมือนเดิม เสียงราบเรียบดังออกมาจากห้อง “พูดจบก็ออกไปได้แล้ว วันหลังอย่ามาอีก”
เฉินทงแทบบ้า ในฐานะที่เป็นคนโปรดของสวรรค์จากตระกูลเฉินแห่งหนานซู ไม่เคยมีใครกล้าเพิกเฉยต่อเขาเช่นนี้
เฉินทงแผดเสียงใส่เฉินโม่อย่างโกรธเกรี้ยวภายในห้องอีกครั้ง “ไอ้หนุ่ม ปีนี้นายน่าจะอายุเต็มสิบแปดปี ผมจะรอนายที่งานประชุมประจำปีปีนี้!”
“จัดไป!” เสียงเฉยชาของเฉินโม่ดังขึ้นอีกครั้ง