บทที่ 61 พระจักรพรรดินีทรงทำเกินไปนะเพคะ

Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี

เมื่อแพทริเซียอนุญาต โรสมอนด์ก็เดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย ผิวพรรณของนางดูแย่ลงเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ แพทริเซียเบื่อหน่ายกับความโอหังนั้นจึงเอ่ยปากตำหนิ

“คนที่กล้าทำตัวไม่มีมารยาทในตำหนักจักรพรรดินีก็คงมีแต่เจ้าคนเดียวกระมัง”

“หม่อมฉันทำอะไรให้พระองค์มีรับสั่งเช่นนั้นหรือเพคะ ฝ่าบาท”

“เรากำลังบอกให้เจ้ารักษามารยาท ท่าทางเจ้าจะต้องศึกษาเรื่องมารยาทอย่างเร่งด่วนนะ”

ได้ยินดังนั้นโรสมอนด์ก็แผดเสียงออกมาอย่างทนไม่ได้

“คนที่จำเป็นต้องศึกษาเรื่องมารยาทคงมิใช่หม่อมฉันแต่เป็นฝ่าบาทต่างหากเพคะ”

“เราหรือ?”

“เพคะ ฝ่าบาท”

หญิงสาวถามแพทริเซียด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “เหตุใดถึงตัดค่าใช้จ่ายของตำหนักเวนเพคะ”

“อ้อ”

แม้จะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่เอาเข้าจริงๆ แพทริเซียกลับรู้สึกแปลกกว่าที่คิด หญิงสาวปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติก่อนจะตอบ

“แล้วมีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ”

“จู่ๆ ฝ่าบาทจะมาสั่งตัดงบเช่นนี้ได้อย่างไรเพคะ แม้หม่อมฉันจะคืนตำแหน่งบารอเนสไปแล้วแต่หม่อมฉันก็ยังเป็นอนุภรรยาขององค์จักรพรรดินะเพคะ”

“ใช่แล้ว เจ้าเป็นอนุภรรยา ‘อย่างไม่เป็นทางการ’ ของฝ่าบาทสินะ ดูเหมือนจะไม่มีกฎมนเทียรบาลข้อไหนระบุว่าต้องจัดสรรงบประมาณให้อนุภรรยาของจักรพรรดิเสียด้วยสิ เพียงแต่ทำเป็นธรรมเนียมสืบต่อกันมาเท่านั้น”

“เช่นนั้นหม่อมฉันก็สงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงเพิกเฉยต่อธรรมเนียมปฏิบัติและกระทำการตามอำเภอใจเช่นนี้”

“มันก็แน่อยู่แล้วมิใช่หรือ เลดี้โรสมอนด์ ตำหนักเวนเองก็มีข้ารับใช้อยู่แล้ว และอย่างที่เลดี้กล่าว เลดี้มิใช่บารอเนสอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น เราในฐานะประมุขของฝ่ายในจึงเห็นสมควรที่จะลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงก็เท่านั้น”

พูดจบ แพทริเซียก็พูดเรื่องอื่นต่อด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อีกอย่าง เป็นแค่บุตรีของบารอนแต่กลับมาพบเราโดยไม่แจ้งนัดเวลาล่วงหน้า เรื่องเช่นนี้ไม่เคยปรากฏมาก่อน เลดี้โรสมอนด์ ที่เรายอมปล่อยให้เจ้าเข้ามาเพราะเราเห็นว่าเจ้าเป็นอนุภรรยาของฝ่าบาทเท่านั้น”

“เป็นแค่บุตรีของบารอนอย่างนั้นหรือเพคะ” โรสมอนด์ยิ้มพรายก่อนจะแก้คำพูดของแพทริเซีย “แต่ว่าฝ่าบาทเพคะ น่าเสียดายที่ตอนนี้หม่อมฉันมิใช่บุตรีของบารอนแดโรว์อีกต่อไปแล้ว นับแต่นี้นามสกุลนั้นไม่มีความหมายอะไรกับหม่อมฉันอีกแล้วเพคะ”

ได้ยินดังนั้นแพทริเซียก็เลิกคิ้วข้างหนึ่งและถามกลับ

“เรื่องนั้นหมายความว่าอย่างไร”

“บิดาแท้ๆ ของหม่อมฉันลงนามในเอกสารสละอำนาจปกครองบุตรแล้วเพคะ อีกไม่นานหม่อมฉันก็จะได้เป็นบุตรีบุญธรรมของตระกูลดยุกเอเฟรนี ดังนั้น ต่อไปนี้หม่อมฉันหาได้ ‘เป็นแค่บุตรีของบารอน’ แต่เป็นบุตรีของหนึ่งในสามตระกูลดยุกที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ”

“แล้ว?”

แพทริเซียถามกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ซึ่งนั่นทำให้โรสมอนด์ไม่พอใจ

“หม่อมฉันกำลังบอกให้พระองค์หยุดดูหมิ่นดูแคลนหม่อมฉันได้แล้วเพคะ”

“เลดี้โรสมอนด์ เราไม่รู้หรอกนะว่าเราไปดูหมิ่นอะไรเจ้าตอนไหน เจ้าจะเป็นบุตรีของบารอนหรือบุตรีของดยุกก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เพราะไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร เราก็ยังคงเป็นสตรีที่สูงส่งที่สุดในจักรวรรดิ สตรีคนใดก็มิอาจเทียบเทียมเราได้ แล้วเราจะต้องใส่ใจอะไรกับคำพูดของเจ้า”

“…”

น่าเศร้าที่คำพูดของแพทริเซียเป็นเรื่องจริงทุกประการ

“แต่เรื่องนั้นก็น่ายินดีทีเดียว ก่อนอื่นก็ยินดีด้วยนะ เลดี้โรสมอนด์ เราคงต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าล่วงหน้า เท่าที่เรารู้มาทรัพย์สินของตระกูลเอเฟรนีมีไม่น้อยเลยทีเดียว เช่นนี้ยิ่งไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องเพิ่มงบประมาณให้ตำหนักเวน ไม่สิ น่าจะต้องตัดเพิ่มด้วยซ้ำ”

“ฝ่าบาท!”

“อย่าขึ้นเสียงสิ เลดี้โรสมอนด์ ผู้ที่กำลังจะได้เป็นบุตรีของดยุกควรรักษาเกียรติและมารยาทให้เหมาะสม เจ้าคงต้องเข้ารับการอบรมมารยาทของตระกูลขุนนางอีกครั้งก่อนจะเข้าตระกูลดยุกกระมัง หากเจ้าอายที่จะพูดด้วยตัวเอง เราย่อมยินดีที่จะพูดกับดยุกให้”

“ไม่เพคะ พระองค์ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น” โรสมอนด์ตอบ นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง “บิดาของหม่อมฉันให้สัญญาแล้วว่าจะหาอาจารย์ให้ เพราะฉะนั้นหม่อมฉันคงไม่จำเป็นต้องพึ่งบารมีของฝ่าบาทหรอกเพคะ”

“เช่นนั้นก็ดีทีเดียว เพราะจักรพรรดินีมิใช่ตำแหน่งที่มีเวลาว่างมากพอจะไปใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนั้น”

“…”

“พูดจบแล้วใช่หรือไม่ รีบออกไปเถอะ ตอนนี้เรากำลังยุ่ง”

พูดจบแพทริเซียก็เรียกข้ารับใช้เข้ามาในห้อง เมื่อพวกนางถามว่ามีอะไรให้รับใช้ แพทริเซียก็ออกคำสั่งอย่างอ่อนโยน

“เลดี้โรสมอนด์จะกลับตำหนักเวนแล้ว พวกเจ้าช่วยพานางไปส่งทีนะ”

“เพคะ ฝ่าบาท”

คำสั่งไล่แขกทางอ้อมนั้นทำให้โรสมอนด์หน้าตึง แต่แพทริเซียไม่ได้สนใจ เพียงแต่กลับไปนั่งที่โต๊ะและตรวจทานกองเอกสารที่ค้างอยู่เท่านั้น โรสมอนด์เห็นดังนั้นก็ยิ้มเย็นชาอย่างผิดปกติก่อนจะหันไปพูดกับบรรดานางกำนัลตำหนักจักรพรรดินีด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“พวกเจ้าไปเถอะ ขาข้ามิได้พิกลพิการ”

พูดจบโรสมอนด์ก็เดินออกไปแต่เพียงผู้เดียวด้วยท่วงท่าแสนเย่อหยิ่ง แม้จะรู้สึกว่านางกำนัลกระซิบกระซาบกันอยู่ด้านหลังแต่โรสมอนด์ก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจและเดินต่อไปอย่างรักษามาด นางกำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะนางแพทริเซียคนนั้นจึงคิดว่าจะไปผ่อนคลายจิตใจที่ตำหนักกลางเสียหน่อย

***

“รอยช้ำรุนแรงทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ที่บาดเจ็บเมื่อคราวก่อนพระวรกายก็ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ โปรดระมัดระวังพระวรกายให้มากด้วยเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

“เรารู้แล้ว ลอร์ด เรื่องนี้เราผิดเอง ท่านเลิกพูดเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท อย่าลืมเสวยพระโอสถด้วยนะพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อลูซิโอพยักหน้ารับคำ หมอหลวงจึงมีสีหน้าโล่งใจและออกจากตำหนักกลางไป โรสมอนด์เห็นหมอหลวงเดินออกมาก็สงสัย

“ฝ่าบาท?”

“อ้อ โรส มาแล้วหรือ”

“เพคะ ว่าแต่ทำไมจู่ๆ หมอหลวงถึง…” โรสมอนด์ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ประชวรตรงไหนหรือเปล่าเพคะ”

“เปล่าหรอก โรส ข้าไม่เป็นไร” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง

“ไม่เป็นไรหรือเพคะ ถึงขั้นเรียกหมอหลวงมาแบบนี้น่าจะร้ายแรง…”

“ไม่เป็นไรจริงๆ เจ้าไปคฤหาสน์บารอนมาแล้วหรือ”

“…เพคะ” โรสมอนด์ยิ้มด้วยสีหน้าขมขื่นก่อนจะเล่าโดยสรุปให้เขาฟัง “บารอนลงนามในเอกการสละอำนาจปกครองบุตรแล้ว นี่คือหลักฐานเพคะ”

พูดจบโรสมอนด์ก็ยื่นเอกสารให้เขา ลูซิโอรับเอกสารมาและพยักหน้า

“ดยุกเอเฟรนีน่าจะประกาศรับหม่อมฉันเข้าตระกูลในฐานะบุตรีบุญธรรมอย่างเป็นทางการในเร็ววัน เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจะมิใช่แค่บุตรีของบารอนอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นบุตรีของดยุกผู้สูงส่งแล้วนะเพคะ”

“…ดูเหมือนเจ้าจะยึดติดกับฐานันดรศักดิ์เสียเหลือเกิน”

“มันก็แน่อยู่แล้วมิใช่หรือคะ ลูซิโอ ข้าต้องทำเช่นนั้นเพื่อจะได้รักกับท่านโดยไม่มีข้อบังคับใดๆ”

พูดจบโรสมอนด์ก็จุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของลูซิโอ สีหน้าของลูซิโอขณะได้รับจูบนั้นดูไม่อ่อนโยนเหมือนก่อน แต่โรสมอนด์หลับตานางจึงไม่รู้เรื่องนั้น

“ถ้าได้เป็นบุตรีของดยุกแล้วน่าจะครอบครองตำหนักจักรพรรดินีได้ง่ายขึ้นนะเพคะ”

“…”

ลูซิโอไม่ได้พูดอะไร โรสมอนด์จึงทึกทักเอาเองว่าความเงียบนั้นหมายถึงการเห็นด้วย นางเริ่มออดอ้อนเหมือนเด็กคล้ายว่าเมื่อครู่ไม่ได้สนทนาเรื่องจริงจังกันอยู่

“จะว่าไปแล้ว ฝ่าบาทเพคะ”

“อะไรหรือ โรส”

“พระจักรพรรดินีทรงทำเกินไปนะเพคะ”

นางพองแก้มเหมือนเด็กแสดงความไม่พอใจ ลูซิโอจึงให้ความสนใจและถามกลับ

“เกิดอะไรขึ้นหรือ”

“ไม่รู้สิเพคะ มาสั่งตัดงบตำหนักเวนอะไรก็ไม่รู้”

ตัดไปตั้งครึ่งหนึ่ง มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือเพคะ? ได้ยินโรสมอนด์บ่นเช่นนั้น ลูซิโอก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

“ที่ผ่านมาตำหนักเวนได้รับงบประมาณมากเกินไปจริงๆ ที่ถูกตัดไปก็ไม่ได้มากมายมิใช่หรือ ต่อให้เหลือเพียงครึ่งเดียวก็น่าจะเพียงพอสำหรับเจ้าและข้ารับใช้นะ”

“…เพคะ?”

ตอนนั้นเองที่โรสมอนด์รับรู้ถึงความประหลาด นี่เป็นครั้งแรกที่ลูซิโอปกป้องแพทริเซียต่อหน้านาง เขาไม่เข้าข้างนาง! โรสมอนด์ถามกลับด้วยสีหน้าตกตะลึง

“ลูซิโอ…นั่นท่านพูดจริงหรือคะ”

“ข้าไม่ได้หวังให้เจ้าอยู่อย่างสมถะ แต่การฟุ่มเฟือยก็มิใช่เรื่องดี ยิ่งท้องพระคลังตอนนี้…”

“ฝ่าบาท!”

โรสมอนด์ตวาดแหวขึ้นมาด้วยสีหน้าตกตะลึง นี่เขามาถกปัญหาท้องพระคลังต่อหน้านางอย่างนั้นหรือ จักรพรรดิไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อนเลย

“จู่ๆ…จู่ๆ ไฉนจึงตรัสเช่นนั้นเพคะ ฝ่าบาท” โรสมอนด์ถามด้วยเสียงสั่นเครือ

“จู่ๆ อะไรกันโรส เจ้าก็ใช้จ่ายเกินตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนะ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าเพียงแต่มิได้ตำหนิอย่างเป็นทางการเท่านั้น ถึงอย่างไรอนุภรรยาก็เป็นตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิอย่างไม่เป็นทางการ ดังนั้นจึงไม่ควรใช้จ่ายฟุ่มเฟือย อีกทั้งตอนนี้เจ้าก็มิได้เป็นบารอเนสแล้วด้วย”

“…”

โรสมอนด์จ้องมองลูซิโอด้วยสีหน้าขุ่นเคืองและหุนหันออกจากตำหนักกลางไปโดยไม่พูดอะไร หญิงสาวเดินลงส้นเสียงดังออกจากห้องของลูซิโอ ใครมาเห็นก็รู้ว่านางกำลังโกรธ เมื่อเหลือลูซิโออยู่คนเดียว เขาก็ถอนหายใจยาวและบ่นพึมพำกับตัวเอง

“ถึงอย่างไรข้าก็คงทำถูกแล้วกระมัง”

***

“เขาทำกับข้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”

เมื่อกลับมาถึงตำหนักเวน โรสมอนด์ก็แผดเสียงด้วยความโกรธสุดจะกลั้น เป็นไปไม่ได้ ลูซิโอหักหลังนางเช่นนี้ได้อย่างไร หญิงสาวหอบหายใจและกวาดของที่อยู่บนโต๊ะลงไปกองกับพื้น เศษแก้วกระจายไปทุกทิศทางพร้อมเสียงดังเพล้ง คลาราที่ยืนอยู่ด้านข้างถึงกับหลับตาแน่น

“เลดี้ ใจเย็นๆ นะคะ”

“ใจเย็น? ตอนนี้ข้ายังใจเย็นได้อีกรึ เห็นๆ อยู่ว่าจักรพรรดิรักข้าน้อยลง!”

สิ้นเสียงตวาด หญิงสาวก็โยนขวดแก้วไปอีกใบ ขวดแก้วนั้นเฉียดคลาราไปเพียงเล็กน้อยอย่างน่าหวาดเสียว นางยกมือขึ้นทาบอกพลางถอนหายใจแรงด้วยความอกสั่นขวัญหาย คงไม่มีอาชีพใดสมบุกสมบันเท่าการเป็นข้ารับใช้ของโรสมอนด์อีกแล้ว

“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ฝ่าบาทต้องไปสมสู่กับนางนั่นไม่ผิดแน่!”

โรสมอนด์ระเบิดอารมณ์ด้วยคำผรุสวาท ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ คลาราสับสนไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรในสถานการณ์ที่ผู้เป็นนายเปลี่ยนสีหน้าอย่างรวดเร็วเช่นนี้ โรสมอนด์ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด

“คลารา ติดต่อหาดยุกเอเฟรนีเดี๋ยวนี้”

“ด้วยเรื่องใด…”

“ก็มีอยู่เรื่องเดียว! รับข้าเป็นลูกให้เร็วที่สุด ไปสิ!”

“ค่ะ ค่ะ เลดี้ ข้าเข้าใจแล้วค่ะ โปรดสงบใจก่อนนะคะ”

แม้คลาราจะปลอบโรสมอนด์ด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นแต่นางก็ดูยังมีน้ำโห คลาราจึงรีบออกจากตำหนักเวนเพื่อไม่ให้ถูกลูกหลงไปมากกว่านี้