บทที่ 492 ใส่ร้ายป้ายสี

Mars เจ้าสงครามครองโลก

Mars เจ้าสงครามครองโลก บทที่ 492 ใส่ร้ายป้ายสี
สิบนาทีหลังจากที่เย่เซิ่งเทียนและหวางซีจากไป เปาเจิ้นและคนอื่นๆ ถึงฟื้นคืนสติ

“เมื่อกี้นี้มันเกิดอะไรขึ้น?”

“หมอเทวดาโก้ว หมอเทวดาเจียงและหมอเทวดาเผยพวกเขาจากไปตอนไหน?”

“แล้วไอ้หนุ่มที่หยิ่งผยองในตอนเมื่อกี้นี้ล่ะ?”

ทุกคนดูสับสน และมองดูคนรอบข้างด้วยความสับสน

ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

นี่ก็คือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของห้าหมอเทวดาของสมาคมทางการแพทย์ในวันนี้

“วันนี้ การประชุมแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ของเมืองโมตู จบลงเพียงเท่านี้”

พิธีกรประกาศว่า

“ไม่ใช่ มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ”

เปาเจิ้นขมวดคิ้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนเมื่อกี้นี้มันน่าแปลกประหลาดเสียจริง ตัวเองกลับผล็อยหลับไปงั้นเหรอ ถ้ามันเป็นเช่นนั้นก็คงจะไม่น่าแปลกสักเท่าไหร่ แต่ผู้คนจำนวนมากมายขนาดนี้ก็เหมือนจะสูญเสียความทรงจำไปพร้อมๆ นี่มันก็ค่อนข้างน่ากลัวเล็กน้อยแล้ว

มันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ

ในเวลาเดียวกัน เย่เซิ่งเทียนตัวอุ้มหวางซี และกลับไปถึงที่ตระกูลหลี่

ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปในบ้าน เย่เซิ่งเทียนและหวางซีก็ถูกล้อมรอบไปด้วยบอดี้การ์ดกลุ่มใหญ่

“เยี่ยมเลย พวกเจ้ายังกล้าที่จะกลับมางั้นเหรอ!! เจ้าหมาป่าเนรคุณที่เลี้ยงเสียข้าวสุก คุณท่านดีต่อพวกเจ้าขนาดไหน แต่พวกเจ้ากลับลงมือกับเย็นหรานงั้นเหรอ!”

หลี่เฟิงคำรามด้วยดวงตาสีแดง “ทำร้ายลูกสาวของฉัน จับตัวพวกมันเดี๋ยวนี้!”

หวางซีขมวดคิ้วและพูดว่า “คุณลุงใหญ่ คุณเข้าใจผิดแล้ว เซิ่งเทียนกับฉันไปประชุมแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ เกิดอะไรขึ้นเรายังไม่รู้เลย”

“ไม่รู้งั้นเหรอ?”

ในเวลานี้ คนในตระกูลหลี่ก็ออกมาทั้งหมด

หลี่ซิ่วหลันเดินออกมา และเยาะเย้ยว่า “เจ้ายังอยากจะโกหกอีกงั้นหรือ? ฉันว่านะพวกเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา พาตัวออกมา!”

ชายที่มีรอยแผนเต็มตัวก็ถูกนำตัวออกมา

หลี่กั๋วหรงไม่ได้พูดอะไรเลย

หลี่หลานกัดฟันและพูดว่า “พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาใส่ร้ายลูกสาวและลูกเขยของฉัน โดยอาศัยคำพูดของบุคคลนี้เพียงผู้เดียว? หลี่ซิ่วหลัน อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าแกกำลังคิดอะไรอยู่”

นายหญิงตระกูลหลี่เจี่ยงหมิ่นกล่าวอย่างสง่างามว่า “ยังไม่ยอมรับใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาชี้แจงสักหน่อย ดูว่าพวกเจ้าได้ทำหรือไม่ แม้ว่าเย็นหรานจะดื้อรั้น แต่นิสัยของเธอก็ไม่เลว เธอเคยทำให้พวกเจ้าขุ่นเคืองก่อนหน้านี้ และมีเพียงพวกเจ้าเท่านั้นถึงมีแรงจูงใจที่จะทำร้ายเย็นหราน”

เย่เซิ่งเทียนเลิกคิ้ว พอจะเดาออกได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น อันที่จริงก็จะมาไม้นี้นี่เอง

หลี่กั๋วหรงถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ซีเอ๋อร์ เซิ่งเทียน พวกเจ้าพูดมาตรงๆ พวกเจ้าได้ส่งคนไปจับตัวเย็นหรานหรือไม่?”

หวางซีพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า “คุณตา ท่านขอให้เซิ่งเทียนกับฉันไปเข้าร่วมการประชุมแลกเปลี่ยนทางการแพทย์ เราจะมีเวลาทำสิ่งเหล่านี้ที่ไหนกัน? เย็นหรานถูกจับตัว พ่อบ้านโจงเป็นคนบอกเราเอง อีกอย่าง ทางด้านตระกูลไป๋ก็ได้สารภาพแล้ว มันคือมู่ซิ่วหลินและหลี่เซียงหลันที่ติดต่อพวกเขา และอยากจะแก้แค้นฉันและเซิ่งเทียนผ่านหลี่เย็นหราน”

“เหลวไหล! ตระกูลไป๋และตระกูลหลี่ของเราเป็นศัตรูกัน อีกอย่างซิ่วหลินกับฉันก็เป็นเหมือนน้ำกับไฟกับทางด้านตระกูลไป๋ นี่คือสิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้เรื่อง! อีกอย่างตระกูลไป๋ก็เกือบเทียบเท่ากับตระกูลหลี่ของเราด้วย เจ้าคิดว่าไป๋เหวินเซวียนจะเชื่อฟังพวกเราไหม?”

หลี่เซียงหลันคิดว่าตัวเองทำได้อย่างไร้ที่ติ และพูดอย่างชอบธรรมว่า “ยังจะโกหกอีกหรือ? คนนี้ได้สารภาพแล้ว แกหวางซีเป็นคนติดต่อเขาทางโทรศัพท์ และเขาก็มีบันทึกเสียงของแกอยู่ในโทรศัพท์มือถือของเขาอีกด้วย! ดูเหมือนว่าแกนี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา โทรศัพท์เครื่องนี้ก็คือของฝู้ปิน”

หลังจากพูดแล้ว หลี่เซียงหลันก็เปิดการบันทึกเสียงในโทรศัพท์ของเธอ และเสียงของหวางซีก็ดังออกมา

เนื้อหาของการบันทึกเสียง ก็คือหวางซีไปหาฝู้ปิน และขอให้เขาลักพาตัว หลี่เย็นหราน และสั่งสอนหลี่เย็นหรานสักหน่อย

“พูดจาเหลวไหล ฉันไม่รู้จักคนนี้เลยด้วยซ้ำ นี่คือโทรศัพท์มือถือของฉัน ดูว่าในนั้นมีบันทึกการสื่อสารหรือไม่!”

หวางซีโกรธมาก เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาโดยตรง

เจี่ยงหมิ่นกัดฟันและพูดว่า “หวางซี เรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้วแกยังจะโกหกอยู่เหรอ? แม้แต่หญิงชราอย่างฉันก็รู้ว่า บันทึกการโทรสามารถลบออกได้! และโทรศัพท์ของฝู้ปินนี้มีบันทึกการโทรของแกอยู่!”