บทที่ 457 เจ้าคงเชื่อแล้วสินะ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 457 เจ้าคงเชื่อแล้วสินะ

เกิดความเงียบดังขึ้นรอบเวที

หลินเป่ยเฉินโคจรพลังลมปราณด้วยลักษณะแปลกประหลาด เขายกมือหนึ่งข้างเหมือนกับจะชี้หน้าเจียงจี้หลิว

เมื่อพลังลมปราณถูกระเบิดออกมา

แขนข้างหนึ่งของเจียงจี้หลิวก็ถึงกับระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด

นี่คือกระบวนท่ากระบี่ชนิดใดกัน?

น่ากลัวเกินไปแล้ว

ทุกคนเกิดความไม่เข้าใจ

รวมถึงจูปี้ฉีกับติงซานฉือที่อยู่ด้านล่างเวทีด้วยเช่นกัน

พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น

“ฟู่…”

หลินเป่ยเฉินกำลังเป่าลมหายใจลงไปที่ปลายนิ้วมือของตนเอง

เขากำลังเป่าควันที่ปลายกระบอกปืน

แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือเด็กหนุ่มกำลังเป่านิ้วชี้ของตัวเอง

“ขอโทษที อย่าใส่ใจข้าเลยนะ…”

หลินเป่ยเฉินรีบพูดออกมาเมื่อพบว่าทุกคนกำลังจ้องมองเขาอย่างผิดปกติ

เขารีบหาจังหวะเปลี่ยนเรื่องทันทีว่า “การโจมตีเมื่อสักครู่นี้ ถือว่าข้าเมตตาเจ้ามากแล้วนะที่ไม่ได้เล็งไปที่หัวของเจ้า… เจียงจี้หลิว เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้แต่โดยดีเสียเถิด เจ้าจะไม่พูดอะไรก็ได้ แต่ว่า… เฮ้อ อย่างน้อยเจ้าก็สมควรโยนกระบี่ในมือทิ้งไปซะ”

เกิดอะไรขึ้น?

เมื่อมีปืนกระบอกนี้อยู่ในมือ ทำไมหลินเป่ยเฉินถึงได้รู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งขนาดนี้

เขาถึงกับกล้าสั่งให้อีกฝ่ายยอมแพ้แล้ว

ฝ่ายตรงข้าม

ความตกตะลึงบนสีหน้าของเจียงจี้หลิวได้จางหายไป

เขาชำเลืองมองแขนข้างที่ขาดของตนเอง

ในดวงตาไม่มีความเศร้าโศกสักเท่าไหร่

แต่ในทางกลับกัน แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ว่ากระบวนท่าเมื่อสักครู่นี้คืออะไรกันแน่

“เจ้าเลือกโจมตีแขนซ้ายของข้า เพราะรู้ว่าข้าใช้กระบี่ด้วยมือขวา เจ้าไม่อยากจะให้ข้าต้องเลิกเป็นมือกระบี่ใช่หรือไม่?”

เจียงจี้หลิวถามพร้อมกับยิ้มกว้าง

“เฮอะ” หลินเป่ยเฉินแค่นหัวเราะในลำคอ “อย่าเพิ่งได้ใจไปหน่อยเลยน่า ความจริงข้าพลาดเป้าต่างหาก เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าลองใช้กระบวนท่าศักดิ์สิทธิ์”

เจียงจี้หลิวยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิมในขณะที่กล่าวต่อไป “ไม่ทราบว่ากระบวนท่านี้มีชื่อเรียกว่าอะไร?”

เขามองหน้าหลินเป่ยเฉินซึ่งกำลังระเบิดเสียงหัวเราะเหมือนกำลังรับฟังเรื่องตลกขบขัน

แต่ทุกคนกลับเงี่ยหูฟังด้วยความตื่นเต้น

เพราะพวกเขาล้วนอยากรู้ว่านี่คือกระบวนท่าใดกันแน่

หลินเป่ยเฉินหยุดหัวเราะ นิ่งเงียบอยู่อึดใจใหญ่ ก่อนตอบในที่สุด “กระบวนท่านี้มีชื่อว่า… เอ่อ กระบี่อสนีบาต”

ที่หลินเป่ยเฉินเลือกใช้ชื่อนี้ ก็เพราะว่าตอนที่ยิงปืน เสียงของมันดังกัมปนาทปานเสียงฟ้าผ่า

แทบจะไม่แตกต่างกันเลยก็ว่าได้

“เอ๋ กระบี่อสนีบาตอย่างนั้นหรือ?”

เจียงจี้หลิวพยักหน้าหงึกหงัก “นับเป็นชื่อที่แปลกประหลาดนัก เจ้าพอจะอธิบายเพิ่มเติมได้หรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดมันถึงได้มีชื่อนี้?”

หลินเป่ยเฉินไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้ว

ก็ในเมื่อชื่อกระบวนท่าบอกชัดถึงขนาดนั้น ยังจะต้องให้เขาอธิบายอะไรอีกหรือ?

“ถ้าเจ้าไม่เข้าใจก็ไม่ต้องเข้าใจ”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะต้องเข้าใจอยู่แล้ว”

ร่างกายของเจียงจี้หลิวโงนเงนไปมาเล็กน้อย เหงื่อเม็ดโป้งปรากฏขึ้นบนหน้าผากของเขา แต่เด็กหนุ่มชุดขาวก็ยังฝืนยิ้มกล่าวต่อไป “มีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะรู้ เจ้าสามารถใช้กระบวนท่าเมื่อสักครู่นี้ได้กี่ครั้ง?”

สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปทันที

เขาเข้าใจความหมายในคำพูดของเจียงจี้หลิวแล้ว

“อย่าสร้างปัญหาให้แก่ตนเองอีกเลย ถ้าข้าระเบิดพลังออกมาอีกรอบ คราวนี้เจ้าตายแน่”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังหนักแน่น

เจียงจี้หลิวยังคงยิ้มแย้มอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว “ก่อนหน้านี้ ข้าไม่ได้โจมตีเจ้าเต็มที่ เจ้าจึงเพียงบาดเจ็บสาหัสและรอดชีวิตมาได้ เมื่อสักครู่ เจ้าไม่ได้ระเบิดพลังมาที่ศีรษะของข้า เท่ากับว่าบัดนี้พวกเราเสมอกันแล้ว ต่อจากนี้ไป ขอให้เจ้าระเบิดพลังออกมาให้เต็มที่ ข้าเองก็จะไม่ออมมือเช่นกัน การประลองในวันนี้ มีแต่เพียงผู้แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น ถึงจะรอดชีวิตกลับไปได้”

เด็กหนุ่มถือกระบี่ด้วยมือขวาแนบแน่น

เลือดที่เคยไหลทะลักออกมาจากบาดแผลบนหัวไหล่ซ้ายหยุดลงแล้ว

พลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกายอย่างรุนแรง

ไม่ได้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้สักนิด

“นับว่าเจ้ารนหาที่ตายเองนะ” สีหน้าของหลินเป่ยเฉินกลับกลายเป็นเย็นชาปานน้ำแข็ง

เท่ากับว่าเขาต้องชาร์จพลังบรรจุกระสุนใหม่สินะ?

ถ้าอย่างนั้น…

หลินเป่ยเฉินโคจรพลังลมปราณลงไปที่ปืนอินทรีหิมะอีกครั้ง

แล้วลวดลายอักขระบนกระบอกปืนซึ่งมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่มองเห็น ก็เปล่งประกายเป็นลำแสงสีเงินสว่างเจิดจ้า พลังลมปราณถูกชาร์จเข้าไปในหลอดบรรจุกระสุนเต็มพิกัด

วูบ!

เจียงจี้หลิวพลิ้วกายด้วยความรวดเร็ว

มวลอากาศปั่นป่วน

มือกระบี่พันหน้าใช้วิชาแยกเงากระจายร่าง

ทว่า…

“หากเจ้าไม่ได้บาดเจ็บ ก็คงพอมีโอกาสอยู่บ้าง แต่บัดนี้…”

หลินเป่ยเฉินปล่อยคลื่นพลังจิตออกไปเพื่อตรวจจับทิศทางการเคลื่อนไหวของเจียงจี้หลิวตัวจริง เมื่อค้นพบแล้ว เขาจึงสามารถใช้วิชาตัวเบาย่องหาโฉมสะคราญหลบหลีกการโจมตีกระบี่แรกของเจียงจี้หลิวได้สำเร็จ

ยังไม่ทันที่เจียงจี้หลิวจะได้จู่โจมออกมาด้วยกระบวนท่าที่สอง…

เปรี้ยง!

หลินเป่ยเฉินเหนี่ยวไกยิง

พลังลมปราณพวยพุ่งออกไปจากปากกระบอกปืนอีกครั้ง

นี่คือการยิงปืนนัดที่สองของเขา

ม่านหมอกเลือดสาดกระจายในอากาศ

เงาร่างคนตกลงมาจากกลางอากาศ

เป็นเจียงจี้หลิวร่วงหล่นกระแทกพื้นอย่างรุนแรง

แขนขวาของเขาหายไปแล้ว

ชุดเสื้อคลุมสีขาวที่เคยสะอาดบริสุทธิ์แปดเปื้อนด้วยคราบโลหิต

ดูสวยงามราวกับดอกเบญจมาศที่เบ่งบานกลางหิมะฤดูหนาว

ใบหน้าของเจียงจี้หลิวบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงโคจรพลังลมปราณเตรียมสู้ต่อไปด้วยความดื้อรั้น เจียงจี้หลิวม้วนตัวกลิ้งไปบนพื้นเวทีและใช้ปากคาบด้ามจับกระบี่ขึ้นมา…

เขาตีลังกาไปด้านหลัง

และหยัดยืนด้วยสองเท้า

ได้อย่างมั่นคงแข็งแรง

ไม่ต่างจากภูผาหิน

ติ๋ง ติ๋ง ติ๋ง

นั้นคือเสียงเลือดที่หยดออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์บนหัวไหล่ทั้งสองข้างของเจียงจี้หลิว

ดวงตาของเขาเบิกโตด้วยประกายเร่าร้อน

เด็กหนุ่มยังคงอยากสู้ต่อไป

ร่างของหลินเป่ยเฉินลอยกระเด็นไปไกลหลายวาด้วยแรงถีบจากปืนอินทรีหิมะ

แต่โชคดีที่ครั้งนี้เขามีประสบการณ์แล้ว

หลินเป่ยเฉินจึงสามารถม้วนตัวตีลังกากลางอากาศ

และทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนพื้นเวทีได้ด้วยความสง่างามเช่นกัน

ไม่ต้องอับอายขายหน้าเหมือนครั้งที่ยิงปืนนัดแรกอีกแล้ว

แต่เมื่อเงยหน้ามองไปข้างหน้า สีหน้าของหลินเป่ยเฉินก็ต้องแปรเปลี่ยนไป

เขารู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณอันแรงกล้าในการต่อสู้จากตัวของเจียงจี้หลิว และนั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินยิ่งรู้สึกหงุดหงิดใจมากกว่าเดิม

เขาไม่สามารถควบคุมความหงุดหงิดของตนเองได้อีกแล้ว

การยิงปืนที่ผ่านไปทั้งสองนัดเมื่อสักครู่นี้ ผลาญพลังลมปราณในร่างกายของหลินเป่ยเฉินไปถึงสองในสามส่วน

หลินเป่ยเฉินเหลือพลังสามารถยิงปืนได้อีกแค่นัดเดียวเท่านั้น

“ในเมื่อเจ้าอยากตายนัก ข้าก็จะทำให้เจ้าได้สมความปรารถนา”

หลินเป่ยเฉินมองหน้าคู่ต่อสู้ผู้แขนขาดไปแล้วทั้งสองข้าง เมื่อเห็นว่าเจียงจี้หลิวย่างสามขุมเข้ามาหาพร้อมกับกระบี่ที่คาบอยู่บนปาก หลินเป่ยเฉินก็พูดต่อไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจ “อย่าหาว่าข้าใจร้ายรังแกคนพิการอย่างเจ้าก็แล้วกัน แต่เป็นเจ้าที่ฆ่าคนบริสุทธิ์และจับตัวเหล่าสหายของข้าไปก่อน เพื่อบังคับให้ข้าลงนามในสัญญามอบความตายฉบับนั้น ความผิดครั้งนี้มีแต่เจ้าต้องตาย ถึงจะเป็นการรับโทษอย่างสาสม”

สีหน้าของเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดแห่งเมืองหยุนเมิ่งแสดงออกถึงความโกรธแค้นอย่างชัดเจน

ยิ่งเขาคิดถึงบรรดาชายฉกรรจ์จากหน่วยสืบข่าวที่ต้องเสียชีวิตในกระท่อมร้างแห่งนั้น ยิ่งหลินเป่ยเฉินนึกถึงกงกงที่ต้องสูญเสียมือด้วยความทุกข์ทรมาน หัวใจของเขาก็เต็มเปี่ยมด้วยจิตสังหารขึ้นมาทันที

ถ้าก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพราะหลินเป่ยเฉินเห็นว่าเจียงจี้หลิวน่าจะยังพอมีหวังในการเกลี้ยกล่อมให้กลับมาเป็นคนดีได้อยู่บ้าง เขาก็คงยิงหัวหมอนี่กระจุยไปตั้งแต่แรกแล้ว น่าเสียดายที่เขามองคนผิดไปอย่างน่าเหลือเชื่อ

แต่เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน เจียงจี้หลิวกลับหยุดชะงักไป

ใบหน้าที่ซีดขาวเพราะสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมาก พลัน แสดงความประหลาดใจออกมาอย่างแท้จริง

ดูเหมือนเขาจะแปลกใจมากยิ่งกว่าตอนที่ตนเองแขนขาดเสียด้วยซ้ำ

เจียงจี้หลิวสะบัดหน้าเล็กน้อย

เคล้ง!

แล้วกระบี่ทมิฬก็หล่นออกจากปากของเขาตกลงไปอยู่บนพื้นเวที

“ฆ่าคนบริสุทธิ์? จับตัวเพื่อนของเจ้า?”

เจียงจี้หลิวขมวดคิ้วด้วยความสับสน “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่เคยทำเรื่องเช่นนั้นเลย”

หลินเป่ยเฉินเองก็ถึงกับต้องขมวดคิ้วด้วยเช่นกัน

หมอนี่ไม่รู้เรื่องด้วยอย่างนั้นหรือ?

ในวินาทีนั้น หลินเป่ยเฉินเลือกที่จะเชื่อคำพูดของเจียงจี้หลิว

เพราะเจียงจี้หลิวไม่มีเหตุผลที่จะต้องโกหกเขา

เจียงจี้หลิวเคยบอกว่าจะโกหกแต่กับสตรีเท่านั้น

แล้วเขาก็ไม่ใช่สตรีสักหน่อย

ดังนั้น…

บัณฑิตใบหน้าสองสีและหญิงสาวชุดเขียวคนนั้น รวมถึงชายฉกรรจ์ชุดดำอีกหลายคน ผู้ใดเป็นคนส่งมากันแน่?

ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าในวันที่เขาปรากฏตัวด้วยฐานะของวีรบุรุษหน้ากากแดง ดูเหมือนเขาคงมองข้ามบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมากๆ ไปแล้วสินะ

จังหวะนั้น เกิดเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นรอบเวที

เพราะบทสนทนาระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสองคน ได้รับการกระจายผ่านเครื่องขยายเสียง

ชาวเมืองจึงได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน

โดยเฉพาะประโยคของหลินเป่ยเฉินที่ว่าเจียงจี้หลิวเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการ “จับตัวคน สังหารผู้บริสุทธิ์”

บัดนี้ ในดวงตาของติงซานฉือและคณะอาจารย์คนอื่นๆ เป็นประกายแวววาวระยิบระยับ

สุดท้าย พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใดหลินเป่ยเฉินถึงต้องลงนามในสัญญาส่งมอบความตายฉบับนั้น

นั่นเป็นเพราะว่าหลินเป่ยเฉินไม่มีทางเลือก

เขาจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องชีวิตของผู้บริสุทธิ์อีกจำนวนมาก

เมื่อคิดได้ดังนั้น ติงซานฉือและคณะอาจารย์อาวุโสก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“ต่ำช้านัก”

ติงซานฉือหันขวับมองไปที่จูปี้ฉี

จูปี้ฉีไม่ตอบรับคำใด

แต่เมื่อเจียงจี้หลิวหันหน้ามองมาจากด้านบนเวที จูปี้ฉีก็สูดหายใจลึกและส่ายศีรษะเล็กน้อย

เจียงจี้หลิวหันหน้ากลับไป

ท่ามกลางเสียงตะโกนด่าจากกลุ่มคนดู เด็กหนุ่มเจ้าของฉายามือกระบี่พันหน้าจ้องมองหลินเป่ยเฉินพร้อมกับกล่าวว่า “พวกเราไม่ได้รู้เห็นในเรื่องนี้ด้วย แต่ข้าจะหาคำอธิบายมามอบให้เจ้าอย่างแน่นอน”

พลัน หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะ

ไม่รู้เพราะเหตุใด หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้สึกอยากหัวเราะออกมา

เหมือนเขากำลังมีความสุขเหลือเกิน

“เฮอะ เจ้าจะหาทางขจัดมลทินให้ตนเองหรือ? ก็ดี รีบลงจากเวทีไปซะ หากเจ้าไม่ห้ามเลือดและรักษาบาดแผลเสียแต่ตอนนี้ เจ้าก็คงไม่มีปัญญาหาคำอธิบายมามอบให้ข้าได้อีก”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

เจียงจี้หลิวพยักหน้า สะกิดปลายเท้าซ้ายลงบนพื้นเวทีพร้อมกับระเบิดพลังลมปราณออกมา แล้วกระบี่ทมิฬกับฝักของมันก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่กระบี่จะสอดคืนฝักด้วยตัวของมันเองได้อย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง

“ข้าแพ้แล้ว”

เจียงจี้หลิวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ชีวิตของข้าเป็นของเจ้า หลังจากที่ข้าสามารถหาคำอธิบายมามอบต่อเจ้าได้แล้ว หลังจากนั้น ถ้าเจ้าอยากจะสังหารข้า ข้าก็จะไม่ขัดขืนเจ้าแม้แต่น้อย”

พูดจบ เด็กหนุ่มแขนด้วนก็รวบรวมพลังลมปราณกระโดดลงไปจากเวที พร้อมด้วยกระบี่คู่ใจที่ลอยกลับลงมาเกี่ยวกับสายรัดที่ข้างเอวได้อย่างแม่นยำ

“น้องสี่…”

จูปี้ฉีรีบวิ่งเข้ามาดูอาการ

เจียงจี้หลิวส่งยิ้มให้ชายชรา

แต่หลังจากนั้น ร่างของเด็กหนุ่มก็ยืนโงนเงน สีหน้าของเขากลับกลายเป็นเหม่อลอย สุดท้ายจูปี้ฉีก็ต้องช่วยประคองกายเอาไว้ไม่ให้เจียงจี้หลิวล้มลงไปกับพื้น

“น้องสี่ เจ้าต้องอดทนไว้ก่อน”

จูปี้ฉีโอบกอดร่างของเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขารีบถ่ายทอดพลังลมปราณเข้าไปในร่างกายของเจียงจี้หลิว เพียงไม่นาน เมื่อแน่ใจแล้วว่าองครักษ์ลำดับที่ 4 ประจำตัวเว่ยหมิงเฉินพ้นขีดอันตรายแล้ว จูปี้ฉีถึงได้ระบายลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเฮือกใหญ่

เรื่องราวมาลงเอยเช่นนี้ได้อย่างไรกันนะ?

จูปี้ฉีรู้สึกไม่อยากเชื่อ

มันเป็นเรื่องยากต่อการทำความเข้าใจ

เขาหันไปมองหลินเป่ยเฉินผู้ยืนอยู่บนเวทีด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น

หลินเป่ยเฉินควรจะจบชีวิตบนเวทีประลองในวันนี้

แต่กลับกลายเป็นเจียงจี้หลิวที่พ่ายแพ้อย่างไม่คาดฝันมาก่อน

นับมาจนถึงก่อนหน้านี้ แผนการของพวกเขาสามารถดำเนินได้ราบรื่นเสมอมา

แล้วเหตุไฉนมันถึงเป็นเช่นนี้ไปได้?

วูบ!

ได้ยินเสียงคมกระบี่เสียดแทงในอากาศ

ปรากฏว่ากระบี่พเนจรฉู่ฉู่เซียวดีดตัวขึ้นมาจากกลุ่มคนดูและชักกระบี่ออกจากฝักอีกครั้ง และทิศทางที่คมกระบี่โจมตีเข้าไป ก็คือหลินเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนเวทีประลอง

บัดนี้ เมื่อการแข่งขันยุติลงแล้ว กำแพงเวทมนตร์รอบเวทีจึงถูกสลายหายไป หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้ถึงพลังกดดันจากตัวกระบี่ที่พุ่งเข้ามาหา มันมีความหนักหน่วงราวกับว่าเขากำลังตกลงไปสู่ก้นบึ้งมหาสมุทรอย่างไรอย่างนั้น

ติงซานฉือ เยว่เว่ยหยาง และคณะอาจารย์อาวุโสยังคงอยู่ในอาการตกตะลึงที่หลินเป่ยเฉินสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างปาฏิหาริย์ กว่าที่พวกเขาจะตั้งสติขึ้นมาได้ มันก็สายเกินไปที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ

ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินได้อีก

แต่ทันใดนั้น…

“หยุดได้แล้ว”

เสียงที่เยือกเย็นสุขุมดังมาจากทิศทางของวิหารที่ตั้งอยู่ห่างไกลออกไป

เคล้ง!

แล้วม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ก็ก่อตัวขึ้นมากำบังรอบกายหลินเป่ยเฉิน

โครม!

กระบี่ของฉู่ฉู่เซียวปะทะเข้ากับม่านพลังอย่างแรง เกิดเป็นพลังดีดสะท้อนทำให้กระบี่พเนจรรู้สึกชาไปทั้งตัว ก่อนที่ร่างกายของเขาจะล้มลงกระแทกพื้นรุนแรง

ฉู่ฉู่เซียวกระอักเลือดออกมาจากปาก

เขากัดฟันกรอด

พยายามสงบสติอารมณ์

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของฉู่ฉู่เซียวปรากฏความหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว

“ใครกัน…”

ฉู่ฉู่เซียวยันตัวลุกขึ้นยืน กำลังจะอ้าปากส่งเสียงคำราม

แต่แล้วในวินาทีนั้นเอง…

เปรี้ยง!

เสียงกัมปนาทปานฟ้าผ่าดังขึ้นบนเวที

ในพริบตาต่อมา ศีรษะของฉู่ฉู่เซียวก็ระเบิดกระจุยแตกกระจาย กลายเป็นเพียงม่านหมอกเลือดในอากาศ

“ฟู่…”

หลินเป่ยเฉินยกปืนอินทรีหิมะขึ้นมาเป่าควันที่ปลายกระบอกอีกครั้ง

“บอกแล้วไงว่าข้าจะฆ่าเจ้า”

เขามองศพไม่มีหัวของมือกระบี่พเนจร ที่ค่อยๆ ล้มตึงลงไปกับพื้นเวทีและพูดว่า “ทีนี้เจ้าคงเชื่อแล้วสินะ”