“การให้ส่งเซียนทุกคนที่อยู่ขั้นสร้างรากฐานขึ้นไปนั้นเป็นเรื่องไร้เหตุผล ต่อให้พวกเขากำลังต่อสู้กับลัทธิอสูรก็ตาม!”

 

เซี่ยวอู่โยวยืนอยู่นอกค่ายกลคนเดียว และกำลังเผชิญหน้ากับเรือยักษ์สองลำอย่างไม่หวั่นกลัว

 

ในขณะที่มองเซี่ยวอู่โยว ที่อยู่ขั้นกลางของสร้างรากฐาน ชายแก่ไม่มีหนวดก็เย้ยหยัน “เซี่ยวอู่โยว เจ้าคิดจริงๆเหรอว่าเจ้าจะสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบแค่เพราะเจ้าก้าวเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐานแล้ว? ข้าจะบอกให้นะ เจ้าสำนักมังกรมรกตเองก็ไปถึงขั้นสร้างรากฐานแล้วเหมือนกัน แต่ว่าเป็นยังไงล่ะ? ตอนนี้เขาตายไปแล้ว แต่เดิมนั้น สำนักอู๋ซินพยายามอดทนกับสำนักของเจ้าอยู่ แต่ตอนนี้ความอดทนของพวกเราหมดลงแล้ว! ถ้าเจ้าไม่ส่งคนมาตามที่บอกภายในครึ่งวัน เจ้ากับศิษย์ทุกคนในสำนักของเจ้าจะต้องตาย!”

 

หลังจากที่พูดออกมาเช่นนั้น ชายแก่อีกคนก็ออกมาจากเรือลำยักษ์อีกลำนึง คนผู้นี้เองก็อยู่ขั้นสร้างรากฐาน

 

ในขณะที่มองยอดฝีมือขั้นสร้างรากฐานสองคนตรงหน้าเขา ที่มาจากสำนักอู๋ซินกันทั้งคู่ สีหน้าของเซี่ยวอู่โยวก็เคร่งขรึมและดูเศร้าหมอง

 

‘ข้าสามารถหนีได้ถ้าต้องการ แต่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสำนักล่ะ?’

 

นี่มันกะทันหันเกินไป เขาเริ่มรู้สึกขัดแย้งและลังเล

 

 

“ศิษย์พี่ ท่านมาจากรัฐจิน ท่านเคยเจอเฉินเฉินคนนั้นมาก่อนไหมครับ? เขาเป็นคนแบบไหน? ผู้อาวุโสในสำนักไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับเขานัก”

 

ในระหว่างทางไปสำนักเทียนหยุน หยวนฉิงเทียนถามเรื่องเฉินเฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็ถอนหายใจ

 

เขาพูดอย่างจริงจัง “เขามีออร่าที่เก่งกาจและเปี่ยมไปด้วยพลัง แค่นั้นก็เป็นคำอธิบายในตัวมันเองแล้ว ที่สำคัญกว่านั้น เขามีไหวพริบที่ยอดเยี่ยม! ระดับการฝึกตนของเขานั้นล้ำลึกและอยู่เหนือกว่าผู้สืบทอดทั่วไปมากนัก! นอกจากนี้ คนๆนั้นยังมีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวด้วย เขาเคยฆ่ายอดฝีมือที่อยู่อันดับสองของการจัดอันดับในรัฐจินมาแล้ว! ถ้าข้าต้องประเมินเขา… ข้าคงบอกได้แค่ว่าเขาเป็นยอดฝีมือซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของสวรรค์ บางทีในกลุ่มนายน้อยของสำนักอสูร ณ ตอนนี้คงจะมีแค่ข้าที่สามารถต่อกรกับเขาได้”

 

เมื่อได้ฟังความคิดเห็นพวกนี้ สีหน้าของหยวนฉินเทียงก็เคร่งขรึม แต่สายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและจิตวิญญาณต่อสู้

 

แม้กระทั่งสีหน้าของโจวเฟิงและโจวฉานก็ดูจริงจัง

 

โชคดีที่ พวกเขาได้ตัวนายน้อยสาขามาจากรัฐจิน ไม่อย่างนั้น จะมีใครที่สามารถยับยั้งและต่อสู้กับผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนในอนาคตได้ล่ะ?

 

“นายน้อยสาขาครับ อย่าดูถูกตัวเองไปเลย ตอนนี้ท่านไปถึงขั้นกลางของแก่นทองคำแล้ว เจ้าเฉินเฉินนั่นอยู่ต่ำกว่า เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านหรอกครับ” โจวเฟิงเตือนเขา

 

เฉินเฉินถอนหายใจเล็กน้อย สายตาของเขานั้นลึกซึ้งและเขาก็พึมพำออกมาเบาๆ “เมื่อสิบวันก่อน ข้าเป็นแค่คนธรรมดาคนนึง เห้อ ใครจะรู้ล่ะว่าจะได้มีการพบเจอที่แสนวิเศษเช่นนี้ในชีวิต?

 

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ โจวฉางและโจวเฟิงก็ตกอยู่ในความเงียบ เพราะพวกเขารู้สึกว่ามันมีเหตุผล

 

กลุ่มคนที่กำลังบินอยู่บนสมบัติของโจวเฟิง ซึ่งรวดเร็วมากๆได้มาถึงส่วนลึกของรัฐจินในเวลาไม่นาน

 

เมื่อมองง้าวที่อยู่ใต้เท้าของเขา หัวใจของเฉินเฉินก็เต็มไปด้วยความอิจฉา

 

ผู้ฝึกตนระดับฝึกพลังปราณทุกคนอยากได้สมบัติที่เป็นของตัวเองโดยเฉพาะ แต่เพื่อที่จะได้มา พวกเขาต้องไปถึงระดับแก่นทองคำ ในอีกด้านนึง ผู้ฝึกตนสายขัดเกลาร่างกายนั้นต้องไปถึงระดับก่อกำเนิดวิญญาณ

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฝั่งไหนเขาก็ใกล้จะถึงแล้ว และเขาไม่รู้ว่าเขาจะสามารถสร้างสมบัติได้เมื่อไหร่

 

ในขณะที่คิดเกี่ยวกับปัญหาพวกนี้ เขาก็เข้าใกล้สำนักเทียนหยุนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนนี้ ง้าวได้หยุดลงอย่างกะทันหัน และสีหน้าของโจวเฟิงก็ขุ่นมัว

 

“นายน้อยสาขาครับ มีการต่อสู้เกิดขึ้นที่สำนักเทียนหยุน ดูเหมือนว่าสำนักอู๋ซินจะส่งเรือขจัดความเกลียดชังมาสองลำครับ?”

 

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ หัวใจของเฉินเฉินก็เต็มไปด้วยความกังวล แต่ภายนอกเขายังเยือกเย็นอยู่ เหมือนกับว่าเขากำลังวางแผนอะไรบางอย่าง

 

“สำนักอู๋ซินคงกังวลจริงๆเพราะสำนักพยัคฆ์ขาว สำนักวิหคสีชาด และสำนักเต่าดำร่วมมือกัน สำนักอู๋ซินก็เลยตัดสินใจจะกำจัดพวกเขา ดังนั้นพวกเขาต้องเริ่มด้วยสำนักเทียนหยุน นี่คือโอกาสของพวกเรา”

 

“จะให้พวกเราทำอะไรเหรอครับ?”

 

“ไปสอนบทเรียนให้สำนักอู๋ซิน ถ้าพวกเราสามารถใช้โอกาสนี้สังหารเซียนระดับก่อกำเนิดวิญญาณได้หนึ่งหรือสองคน นั่นก็คงจะเยี่ยมไปเลย” เฉินเฉินพูดอย่างใจเย็น

 

เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา โจวเฟิงนั้นไม่มีความสงสัยอยู่เลย อันที่จริง มีออร่าสังหารอยู่ในดวงตาของเขาในขณะที่ง้าวใต้เท้าเขาเร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน ในเวลาแค่ชั่วขณะ มันก็บินไปได้หลายพันเมตร และเรือยักษ์สีดำสองลำก็เข้ามาอยู่ในทัศนวิสัยของเฉินเฉิน

 

‘ระยะการรับรู้ของโจวเฟิงกับโจวฉานอยู่ที่ประมาณ 4,000 เมตรสินะ’ เฉินเฉินคิด

 

 

ในตอนนี้ สำนักเทียนหยุนตกอยู่ในความวุ่นวายแล้ว เซี่ยวอู่โยวกำลังรับมือกับยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิดวิญญาณสองคนพร้อมกัน และถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เหนือกว่า แต่เขาก็ไม่มีที่ท่าว่าจะถอยเลย

 

และนอกจากยอดฝีมือขั้นก่อกำเนิดวิญญาณแล้ว ก็ยังมียอดฝีมือขั้นแก่นทองคำอีกหลายคนที่กำลังต่อสู้อยู่ อย่างเช่นผู้อาวุโสจ้าว ที่ทำหน้าที่คุ้มกันเฉินเฉินในเมืองหลวง

 

นอกจากนั้น เรือยักษ์สองลำก็กำลังกระหน่ำยิงใส่ค่ายกลป้องกันและกลุ่มศิษย์สำนักเทียนหยุนที่มีระดับการฝึกตนต่ำก็กำลังมองฉากที่เกิดขึ้นจากข้างในค่ายกลด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด

 

ตูม!

 

ในตอนนี้เอง มีเสียงที่รุนแรงเกิดขึ้น และค่ายกลป้องกันก็พังทลาย

 

เซียนสำนักอู๋ซินบนเรือเหาะเห็นภาพนี้แล้วรีบออกมาในขณะที่ส่งเสียงโห่ร้อง เซียนระดับแก่นทองคำคนนึงที่เป็นผู้นำได้ตะโกนออกมาด้วย “จับตัวผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุน เฉินเฉิน!”

 

ใช่แล้ว มี ‘เฉินเฉิน’ อยู่ในกลุ่มศิษย์

 

“เฉินเฉิน” ในตอนนี้หน้าซีดเผือดเหมือนหิมะและกำลังนั่งอยู่บนรถเข็น เขาดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บหนัก ซุนเทียนกังกับศิษย์ภายในอีกหลายคนที่มีระดับการฝึกตนอยู่ขั้นสร้างรากฐานคอยยืนอยู่ข้างเขาเพื่อรักษาความปลอดภัยให้เขา

 

ศิษย์ของทั้งสองสำนักเปิดฉากปะทะกันในเวลาไม่นาน เมื่อเทียบกับศิษย์สำนักอู๋ซิน ศิษย์สำนักเทียนหยุนนั้นอ่อนแอกว่ามาก ถ้าไม่ใช่เพราะมีศิษย์ภายในบางส่วนคอยยืนค้ำเอาไว้ที่แนวหน้า ศิษย์จากสำนักเทียนหยุนก็คงจะพ่ายแพ้ในเวลาไม่นาน

 

ตูม!

 

อย่างไรก็ตาม แค่ชั่วครู่ต่อมา เสียงดังสนั่นก็มาจากท้องฟ้าและเรือเหาะสีดำลำนึงก็ถูกหอกสีดำทะลวง พลังปราณข้างบนเรือริบหรี่ลงอย่างกะทันหัน

 

เมื่อเห็นฉากนี้ ยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณที่กำลังต่อสู้กับเซี่ยวอู่โยวก็รู้สึกโกรธอย่างมาก และตะโกนออกมา “เซี่ยวอู่โยว! นี่เจ้าบังอาจสมรู้รวมคิดกับสำนักอสูรเรอะ!”

 

ใบหน้าของเซี่ยวอู่โยวเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในขณะที่เขาอุทานด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ร่วมมือกับสำนักอสูรเหรอ? มันก็เห็นๆอยู่ว่าพวกเจ้านั่นล่ะที่ล่อคนจากสำนักอสูรมาที่นี่!”

 

หลังจากที่พูดเช่นนี้ เซี่ยวอู่โยวก็รู้สึกอับอาย เขากลายเป็นคนที่หน้าด้านขึ้นมากหลังจากที่รับเฉินเฉินมาเป็นศิษย์ของเขา

 

ณ ตอนนี้โจวฉานกับโจวเฟิงได้ทำการโจมตีใส่ยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณทั้งสองคนของสำนักอู๋ซินแล้ว

 

พวกเขาทั้งคู่เป็นคนโหดร้าย พวกเขาโจมตีในทันทีโดยไม่พูดอะไร

 

แต่เดิมนั้นเซียนก่อกำเนิดวิญญาณทั้งสองคนต่อสู้กับเซี่ยวอู่โยวที่ตัวคนเดียวได้อย่างสบายๆ แต่ตอนนี้ พวกเขาได้เสียความได้เปรียบไปแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่ามีคนจากสำนักอสูรไม่มากนัก พวกเขาถอนหายใจอีกครั้งแล้วตะโกนบอกศิษย์สำนักอู๋ซินที่อยู่ด้านล่าง “เร็วเข้า จับตัวผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนมาให้ได้!”

 

ทุกคนรู้ดีว่าเซี่ยวอู๋โยวได้ไปที่สำนักอสูรเพียงลำพังเพื่อแก้แค้นเฉินเฉิน

 

ดังนั้น ในความคิดของพวกเขา ตราบใดที่พวกเขาควบคุมเฉินเฉิน ผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุนได้ เซี่ยวอู่โยวก็จะร่วมมือกับพวกเขาในการจัดการกับยอดฝีมือระดับก่อกำเนิดวิญญาณสองคนของสำนักมารที่จู่ ๆก็โผล่มา จากนั้นพวกเขาก็จะได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน

 

พวกเขาก็แค่ลองเชิงในตอนที่พวกเขาบอกว่าเซี่ยวอู่โยวสมรู้รวมคิดกับสำนักอสูร บางที ถ้าพวกเขาทำแบบนั้นกันจริงๆ ในตอนนี้ก็คงจะมีศิษย์สำนักอสูรมากกว่านี้

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ กลุ่มศิษย์สำนักอู๋ซินที่อยู่ข้างล่างก็รู้กันหมดว่านี่คือสถานการณ์เร่งด่วง และกลายเป็นกลุ่มคนที่ไม่กลัวแม้แต่ความตาย ไม่นานนัก พวกเขาบางส่วนก็เข้ามาใกล้ “เฉินเฉิน”

 

ในขณะที่นั่งอยู่ในรถเข็น “เฉินเฉิน” เห็นฉากนี้ แต่สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนเลย

 

 

ด้วยใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากาก จางจีก็มองดูท้องฟ้าอันวุ่นวายและพึมพำกับตัวเอง “พี่ใหญ่ ข้าคงทำอะไรเพื่อท่านได้ไม่ค่อยมากนัก”

 

ในช่วงกลางดึกเมื่อวานซืนนี้ เจ้าสำนักได้มาหาเขาเพื่อแจ้งกับเขาว่าเฉินเฉินติดอยู่ในสำนักอสูร และเพื่อที่จะลบล้างความสงสัยของคนในสำนักอสูรอย่างสมบูรณ์ ต้องมีเฉินเฉินปรากฎตัวขึ้นด้วยกันกับสำนักเทียนหยุนด้วย

 

เนื่องจากเขาฝึกตนมาด้วยกันกับเฉินเฉิน เขาจึงรู้จักเฉินเฉินดี นอกจากนี้ ร่างกายของเขายังคล้ายกับเฉินเฉิน ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่มีความเหมาะสมที่สุดที่จะแกล้งปลอมตัวเป็นเฉินเฉิน

 

ในขณะที่มองหน้ากากที่เจ้าสำนักส่งมาให้เขา เขาก็ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย

 

เขารู้สึกมีความสุข และตื่นเต้นอย่างมากกับความจริงที่ว่าเขายังสามารถช่วยเฉินเฉินได้แม้ว่าพลังเซียนของเขาจะถูกทำลายไปแล้ว

 

ในช่วงสองวันมานี้ เขาได้พบกับผู้คนมากมายโดยใช้ตัวตนของเฉินเฉินและได้รับรู้ถึงความกดดันอย่างมหาศาล ดังนั้น เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเลียนแบบนิสัยและการวางตัวของเฉินเฉิน

 

เขาทำมันได้เป็นอย่างดี มีเพียงไม่กี่คนในสำนักที่สามารถบอกความแตกต่างได้

 

นอกจากนี้ ทั้งหมดมันก็เพื่อความปลอดภัยของเฉินเฉินด้วย ต่อให้มีหนอนจากสำนักอสูรอยู่ในสำนักเทียนหยุนก็คงไม่มีใครรู้

 

ตอนแรกเขาแค่ต้องทำแบบนี้ต่อไปอีกไม่กี่วัน แต่แล้วการต่อสู้ครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้น และสร้างความประหลาดใจให้กับเขา

 

เมื่อเห็นซุนเทียนกังถูกซัดกระเด็น ศิษย์สำนักอู๋ซินที่ดูชั่วร้ายก็รีบเข้ามาหาเขา

 

จางจีหลับตาและนึกถึงครั้งแรกที่เขาได้พบกับเฉินเฉิน

 

พวกเขาอยู่บนหน้าผาลมทมิฬ และเฉินเฉินก็ช่วยเขาเอาไว้ด้วยการกระโดดจากหน้าผาเพื่อดึงดูดความสนใจของนักล่า

 

ในมณฑลเสฉวน เฉินเฉินได้กวาดล้างตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลด้วยความสามารถของตัวเอง และช่วยครอบครัวของจางจีเอาไว้ได้

 

ในสำนักเทียนหยุน เฉินเฉินคอยดูแลเขาเป็นอย่างดี และแอบมอบสมบัติสวรรค์กับหินวิญญาณให้เขาอยู่ตลอด เขาถึงกับวางแผนเพื่อทำให้เขาได้กลายเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสแปรธาตุด้วย

 

ในเมืองหลวงของประเทศ เฉินเฉินเองก็ได้เสี่ยงชีวิตไปที่บ้านดอกไม้พระจันทร์และฆ่าฉีปู่ฝาน ที่อยู่อันดับสองในกลุ่มยอดฝีมือแค่เพื่อล้างแค้นให้เขา

 

เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ จางจีก็ยิ้มออกมาอย่างกะทันหัน ศิษย์สำนักอู๋ซินที่อยู่ใกล้กับเขาไม่ได้ดูน่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป

 

‘ข้าได้พบกับคู่หูที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตแล้ว ข้าจะไปต้องการอะไรอีก?’

 

‘ต่อให้ต้องตายตอนนี้ มันก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะ’