กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 940
ไป๋หลี่หมิงเยียนโบกมือและตั้งค่ายกลกระบวนค่ายหนึ่งขึ้นในทันใดเพื่อขังกู้ชูหน่วนเอาไว้ในนั้น
กู้ชูหน่วนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ความโกรธของยอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับหกมิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็สามารถทนได้
แม้ว่านางจะมีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ปกป้องอยู่ก็ไม่มีข้อยกเว้น
การต่อสู้ในครั้งนี้นางได้รับบาดเจ็บสาหัสและพ่ายแพ้ไป
ไป๋หลี่หมิงเยียนสูดหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับดูดปี่หยกและวงแหวนอวกาศเข้ามาไว้ในฝ่ามือ
เขามองดูของศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างละเอียดและพบว่านอกจากวัสดุของสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างนี้พิเศษและสัมผัสแล้วอุ่นมือก็ไม่มีสิ่งทีพิเศษอื่นใด
เขาวิเคราะห์อยู่สักพักหนึ่งแต่ก็ไม่รู้ว่าจะขยับของศักดิ์สิทธิ์นี้เช่นไร
แต่กู้ชูหน่วนเพิ่งจะใช้ปี่หยกและวงแหวนอวกาศระเบิดพลังอันน่าเกรงขามออกมาจนเกือบจะทำให้เขาผู้เป็นขั้นสูงสุดระดับหกผู้นี้พ่ายยับเยิน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
เขาเก็บวงแหวนอวกาศและปี่หยกเอาไว้แล้วก้าวเดินเข้ามาใกล้กู้ชูหน่วนทีละก้าวๆ ในแววตานั้นเปล่งประกายด้วยแสงระยิบระยับอันแปลกประหลาด
“แม่หนู ในช่วงเวลาข้านำดวงวิญญาณนั้นออกมาให้ข้าดูความทรงจำของเจ้าก่อนนะ”
กู้ชูหน่วนเนื่องด้วยบาดเจ็บสาหัสรูม่านตาจึงกระจายเล็กน้อย นางฝืนบังคับตนเองให้รู้สึกตัวเนื่องจากเกรงว่าตนเองสลบไปแล้วก็จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก
เมื่อเผชิญหน้ากับบีบบังคับแต่ละก้าวๆ ในใจของกู้ชูหน่วนรู้สึกหนาวขึ้นเล็กน้อย
หรือว่าวันนี้ตนเองจะถูกอัดอยู่ในมือของเขาหรือ?
ตามวิชาชั่วร้ายที่ไป๋หลี่หมิงเยียนฝึกฝน หากว่าความทรงจำถูกเขาดูดไป แม้ว่านางจะไม่ตายก็กลายเป็นคนพิการได้
แต่นาง……
ไร้ซึ่งกำลังที่จะต่อต้านเสียแล้ว
เมื่อเห็นว่าไป๋หลี่หมิงเยียนเริ่มร่ายคาถากู้ชูหน่วนก็เป็นกังวลและทำสิ่งใดไม่ถูก จึงทำได้เพียงภาวนาให้เกิดปาฏิหาริย์ขึ้น
“อืม……”
ทันใดนั้นกู้ชูหน่วนก็บังเกิดเสียงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดออกมา
ราวกับทั้งร่างกายของนางถูกฟ้าผ่าเจ็บปวดเสียจนตัวนางสั่นสะท้านไม่หยุด และก็บังเกิดเสียงโหวงๆๆดังขึ้นที่ข้างหูซึ่งไม่สามารถได้ยินสิ่งที่ผู้คนรอบตัวกล่าว เห็นเพียงซือม่อเฟยก่นด่าบางสิ่งอย่างโกรธเคือง
เลือดได้ไหลออกลงมาตามข้างหูของนาง ศีรษะของกู้ชูหน่วนเจ็บปวดทรมานราวกับเริ่มฉีกขาดเช่นนั้น
พลังอันทรงพลานุภาพราวกับจะผ่าศีรษะของนางออกเป็นสองส่วนและนำสิ่งของในสมองออกไป
นางขัดขืนสุดกำลังและต่อต้านสุดชีวิต
อย่างไรก็ตามยิ่งนางต่อต้านมากเท่าไหร่พลังนั้นก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ในสมองของนางก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
หลังจากลากไปดึงมาโดยไม่รู้ว่านานเพียงใดกู้ชูหน่วนก็กระอักเลือดออกมา ความแข็งแกร่งในตัวก็ค่อยๆเลือนหายไป แม้แต่การหายใจของนางก็ค่อยๆอ่อนแรงลง
นางสามารถรู้สึกได้ว่าความตายกำลังไล่ตามนางอยู่
และในช่วงเวลาที่นางเจ็บปวดรวดร้าวจนศีรษะจะแยกออก ทันใดนั้นได้มีแสงสีขาวแว๊บผ่านและพื้นดินก็สั่นไหวไม่หยุด
ค่ายกลที่ขังนางไว้ทลายลง
เรี่ยวแรงที่ต้องการแยกศีรษะของนางออกก็มลายหายไปด้วย กู้ชูหน่วนถึงได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
มือทั้งสองของนางใช้แรงยันพื้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง และเห็นเพียงร่างสีขาวราวกับหิมะประกายเส้นหนึ่งในอากาศต่อสู้อยู่กับไป๋หลี่หมิงเยียน
ร่างสีขาวราวกับหิมะนั้นสง่างามนัก ทุกท่าทุกความเคลื่อนไหวล้วนเป็นธรรมชาติ แม้ว่าจะต่อสู้กันอย่างดุเดือดก็ยังคงเผยให้เห็นถึงความสูงส่งและสง่างามที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ซึ่งก็มิใช่เหวินเส่าอี๋หรอกหรือ
เหวินเส่าอี๋……
เขาเป็นผู้ที่ช่วยนางไว้……
ไม่ เขาเพียงแค่ต้องการดวงวิญญาณนั้น
ดวงวิญญาณนั้นที่ผู้ใดก็ต้องการ
“พี่หญิง……ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
ข้างหูของนางยังคงส่งเสียงดังโหวงๆๆ และไม่ได้ยินสิ่งใดเลย
แต่จากรูปร่างปากของซือม่อเฟย นางสามารถคาดเดาได้ว่าเขากล่าวสิ่งใดอยู่
“ไปเถอะ อาม่อจะพาท่านออกจากที่นี่ซะก่อน”
กล่าวอยู่ซือม่อเฟยก็ดึงนางจากไป
กู้ชูหน่วนบาดเจ็บสาหัสนักแล้วจะเดินไหวที่ใดกัน เดินเพียงก้าวเดียวก็ล้มลงไปเสียแล้ว
ซือม่อเฟยแบกกู้ชูหน่วนไว้บนหลังเลย
ในอากาศไม่รู้ว่าเหวินเส่าอี๋ต่อสู้กับไป๋หลี่หมิงเยียนได้อย่างไร และพื้นดินก็สั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหวใหญ่เช่นนั้น
ซือม่อเฟยล้มลงตั้งหลายครั้ง
กู้ชูหน่วนถูกโยนออกไปและก็กลิ้งไปตั้งหลายครั้ง
เมื่อซือม่อเฟยต้องการจะแบกนางขึ้นอีกครั้งนางก็ขวางไว้โดยกล่าวว่า “พวกเขาล้วนไม่ต้องการให้พวกเราไป พวกเราไปไม่ได้หรอก พยุงข้าขึ้นข้าจะปรับลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บครู่หนึ่ง
กู้ชูหน่วนหยิบยาอายุวัฒนะออกจากวงแหวนอวกาศมารักษาอาการบาดเจ็บด้วยความเคยชิน ถึงได้รู้ว่าวงแหวนอวกาศไม่ได้อยู่ในมือของนางแล้ว จึงทำได้เพียงเอื้อมมือคลำตรงอกแล้วหยิบยาอายุวัฒนะที่ได้เตรียมสำรองไว้ใช้อีกขวดออกมา
นางได้รับบาดเจ็บเป็นประจำยังโชคดีที่ยังมียาที่เตรียมใช้สำรองอยู่ในอก ไม่เช่นนั้นวันนี้นางทำได้เพียงแค่นอนราบกับพื้นให้ถูกสังหารไปเสียแล้ว
หลังจากกินยาอายุวัฒนะเข้าไปแล้ว อวัยวะภายในในร่างกายได้เดือดพล่านอย่างร้ายกาจ
กู้ชูหน่วนไม่สามารถปรับลมปราณขึ้นมาได้ตั้งหลายครั้งและใบหน้ากลับเจ็บปวดเสียจนซีดเซียว
ซือม่อเฟยกล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า “ลมปราณภายในของท่านไม่เสถียรนักไม่สามารถใช้ลมปราณได้อีก ไม่เช่นนั้นการบำเพ็ญทั้งร่างของท่านนี้เกรงว่าจะถูกทำลายจนแหลกซะแล้ว”
“บึ้ม……”
ในช่วงเวลาขณะนี้ท่ามกลางอากาศได้เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น เหวินเส่าอี๋และไป๋หลี่หมิงเยียนต่างโบยบินตกลงมาจนต่างคนต่างถอยหลังไปสองสามก้าว
อาการหูอื้อของกู้ชูหน่วนได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
นางสามารถมองเห็นสีหน้าซีดเซียวเล็กน้อยของเหวินเส่าอี๋กับไป๋หลี่หมิงเยียนซึ่งดูไม่ค่อยดีนัก
และก็สามารถได้ยินการสนทนาของพวกเขา
ไป๋หลี่หมิงเยียนมองไปยังท่าทางอันสง่างามและหน้าตาอันหล่อเหลาของเหวินเส่าอี๋ที่ไม่สามารถซ่อนความตื่นตระหนกไว้ได้ “ผู้นำตระกูลเหวินอายุน้อยๆก็มีการบำเพ็ญเช่นนี้ช่างทำให้น่าตกใจนัก ตระกูลไป๋หลี่และตระกูลเหวินไม่เคยมีความโกรธแค้นชิงชังต่อกันมาก่อน เพียงแค่ไม่รู้ว่าผู้นำตระกูลเหวินยื่นมือเข้ามาสอดเรื่องของตระกูลไป๋หลี่ของข้าด้วยเหตุผลอันใดรึ?”
เหวินเส่าอี๋แบกฉินหิมะไว้บนหลังพร้อมด้วยสองมือไขว้หลังโดยที่หลังของเขาตั้งตรง สายลมพัดผ่านพัดเอาเส้นผมสองสามเส้นข้างขมับของเขาขึ้น ยิ่งทำให้เขาดูราวเทพเซียนที่ถูกเนรเทศไร้ความกังวลและสูงส่งเกินมนุษย์
“ข้ามาที่ตระกูลไป๋หลี่เพียงเพื่อของสิ่งเดียวเท่านั้น”
“ออ…สิ่งของอันใดรึ?”
“ดวงวิญญาณดวงหนึ่ง ดวงวิญญาณที่มิได้เข้าไปอยู่ในหน้าผากของนาง” เหวินเส่าอี๋เหลือบมองกู้ชูหน่วนด้วยความหมายที่มิได้กล่าวก็รู้ได้
“โอ้……ผู้นำตระกูลเหวินต้องการดวงวิญญาณดวงนั้นเพื่อก้าวสู่ระดับเจ็ดรึ?”
เหวินเส่าอี๋มิได้ตอบโดยที่มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าสีหน้าของเขาจะซีดเซียวอยู่บ้างแต่ก็ยังปรากฏรอยยิ้มจางๆราวกับสาบานว่าจะนำดวงวิญญาณนั้นมาให้จงได้
ไป๋หลี่หมิงเยียนไม่ต้องการมอบดวงวิญญาณออกไปอยู่แล้ว
เขาติดอยู่ตรงขั้นสูงสุดระดับหกมานานเพียงใดแล้ว และไม่สามารถเข้าสู่ระดับที่เจ็ดมาโดยตลอด
รวมถึงอายุขัยของเขากำลังใกล้เข้ามาแล้ว หากไม่บำเพ็ญให้สูงขึ้นแม้แต่ชีวิตก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้
แต่……
ผู้นำตระกูลเหวินฝีมือสูงส่งราวเมฆา ส่วนตระกูลไป๋หลี่ก็ประสบปัญหาอันใหญ่หลวงอีก ผู้อาวุโสแต่ละคนรวมทั้งผู้อาวุโสสูงสุดต่างออกไปปัดเป่าศัตรู ผู้นำตระกูลเหวินอยู่ในระดับเดียวกับเขาและเป็นขั้นสูงสุดระดับหก แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะได้รับบาดเจ็บคิดถึงว่าต้องการจัดการกับเขาในทันทีนั้นก็มิได้ง่ายดายเลย
หากบังเอิญว่าตระกูลเหวินยังมีผู้ที่มาช่วยอื่นอีก งั้นเขาก็คงจะไม่มีโอกาสชนะเลยแม้แต่น้อย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ไป๋หลี่หมิงเยียนก็ชะลอท่วงท่าลง “ในเมื่อเจ้ากับข้ามีเป้าหมายเดียวกัน เหตุใดถึงไม่ลองดึงความทรงจำทั้งหมดในดวงวิญญาณนั้นออกมาพร้อมกันเพื่อดูอย่างละเอียดด้วยกันและเข้าสู่ระดับเจ็ด”
เหวินเส่าอี๋ยิ้มอย่างสง่างามจากนั้นก็ลูบผมดำสนิทข้างหูตนเองแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆว่า “ขอบคุณในความหวังดีของผู้อาวุโสไป๋หลี่ เพียงแต่ข้าต้องการดวงวิญญาณนี้เพื่อใช้ในการอื่น เกรงว่าจะไม่สามารถทำตามที่ท่านปรารถนาเสียแล้ว ”
รอยยิ้มของไป๋หลี่หมิงเยียนแข็งทื่อเล็กน้อย “ฟังน้ำเสียงของผู้นำตระกูลเหวิน เรื่องนี้ไม่สามารถหารือกันได้ซะแล้ว?”
“เพียงแค่ผู้อาวุโสไป๋หลี่มอบดวงวิญญาณนั้นออกมา แล้วส่งวงแหวนอวกาศและปี่หยกมา ก็หารือกันได้เป็นธรรมดาอยู่แล้ว”
“ผู้นำตระกูลเหวินข้านึกถึงที่เจ้าอายุยังน้อย บำเพ็ญได้ถึงขั้นสูงระดับหกนั้นไม่ง่ายดายเลย ไม่ต้องการที่จะถือสากับเจ้าผู้เป็นชั้นผู้น้อย เจ้ากลับนำคนของตระกูลเหวินมาขัดขวางนิกายอื่นๆให้สนับสนุนตระกูลไป๋หลี่ ในตอนนี้ก็ต้องการแย่งชิงสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลไป๋หลี่เราไป ช่างเป็นการรังแกผู้อื่นเกินไปยิ่งนัก”
“สิ่งของศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลไป๋หลี่? หึ……นั่นเป็นสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลไป๋หลี่ของพวกท่านจริงหรือ?”
พูดคุยกันไม่ถูกคอ มิมีสิ่งใดที่จำเป็นต้องพูดจากันอีกแล้ว
ไม่ว่าเหวินเส่าอี๋หรือว่าไป๋หลี่หมิงเยียนล้วนไม่ยอมให้ซึ่งกันและกัน