ตอนที่ 612 หรงจิงลอบช่วยเหลือ / ตอนที่ 613 รสชาติความคิดถึง

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 612 หรงจิงลอบช่วยเหลือ 

 

 

จิ้งเฟยพูดถึงตอนนี้แล้วยิ้มน้อยๆ มองดูเซียงฉือแล้วพูดว่า 

 

 

“ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อองค์หญิงอย่างเสด็จพ่อที่เมตตา พระองค์ทรงทนเห็นพระธิดาถูกทำร้ายไม่ได้ ความน่ากลัวและอันตรายในวังพระองค์ทรงทราบดีดังนั้นจึงตามใจซูเฟย ซึ่งในความเป็นจริงเป็นการโอ๋หรงฟัง จินกุ้ยเฟยจึงไม่กล้าทำอะไรนางจริงจัง” 

 

 

“นางทนทุกข์เพราะซูเฟยมาแล้ว ยังจะยอมทนคนต่อไปได้อีกหรือ อย่างเช่นเจ้านี่” 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือได้ยินแล้วนิ่งงันไป นางมองดูจิ้งเฟยพลันเข้าใจจุดประสงค์ที่นางมาในวันนี้ อดไม่ได้ต้องทอดถอนใจ สตรีผู้นี้มองความคิดของทุกคนได้อย่างปรุโปร่ง 

 

 

เซียงฉือถอนหายใจแล้วจึงพูดว่า 

 

 

“พี่หญิงทรงสอนสั่ง หม่อมฉันจดจำไว้หมดแล้วเพคะ ทุกวันในวังนี้ล้วนเหมือนดั่งนิทาน พวกเราเป็นเพียงตัวละครหนึ่งในนั้นเท่านั้น หาที่มั่นคงให้ตนเองก็จะไม่เป็นการนำพาเรื่องที่ควรมิควรเข้าหาตัวแล้ว เป็นพระกรุณาที่พี่หญิงประทานสอนสั่งเพคะ” 

 

 

เซียงฉือพูดแล้วจิ้งเฟยก็ลุกขึ้น พูดยิ้มๆ ว่า 

 

 

“วันนี้พี่ออกมานานแล้ว หรงเย่ว์ตื่นจากนอนกลางวันคงถามหา จะกลับแล้วนะ” 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือกำลังจะพูดอะไร แต่จิ้งเฟยหันกลับมาพูดว่า 

 

 

“เรื่องที่พี่พูดให้ฟังพวกนี้น้องเซียงฉือก็เพียงฟังไว้ ส่วนชีวิตในวังนั้น อย่างไรก็ต้องผ่านการเคี่ยวกรำด้วยตนเองจึงจะได้รู้ถึงรสชาติต่างๆ ของมัน” 

 

 

เซียงฉือฟังแล้วพยักหน้า ส่งจิ้งเฟยออกไป 

 

 

อวิ๋นเซียงฉือยืนอยู่ในโถง คำพูดสุดท้ายของจิ้งเฟยทำให้นางใจลอย ขณะนั้นจิ้งเฟยเพิ่งเดินออกจากตำหนักเฟิ่งอี๋ไม่นาน นางหันกายกลับไปมองดูตำหนักใหญ่ตระหง่านสูงเด่นเบื้องหลังนิ่ง แล้วยิ้มเยือกเย็น 

 

 

“จิ้งเฟย” 

 

 

จิ้งเฟยได้ยินคนเรียกนางจึงหันกายกลับอย่างคิดไม่ถึง เมื่อเห็นคนที่มาจึงย่อกายลงทำความเคารพ 

 

 

“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอทรงพระเกษมสำราญเพคะ” 

 

 

คนที่มาคือหรงจิง เขาเดินไปข้างกายนางแล้วประคองนางยืนขึ้น เห็นนางแล้วความเหนื่อยล้าตรงกลางหน้าผากมลายไปสิ้น มองดูนางด้วยความแปลกระคนดีใจ 

 

 

“วันนี้เจ้ามาถึงนี่ได้อย่างไร ร่างกายเจ้าอ่อนแออากาศก็ไม่ดีเช่นนี้ ไม่ควรจะไปๆ มาๆ เช่นนี้เลย” จิ้งเฟยยิ้มแล้วพูดว่า 

 

 

“ฝ่าบาท มิใช่ทรงมีรับสั่งให้หว่านเอ๋อร์มาที่นี่หรือเพคะ ฝ่าบาททรงลืมแล้วกระมังเพคะ” 

 

 

พวกคนที่ติดตามมาด้านหลังพากันถอยออกไป จึงมีเพียงคนทั้งสองยืนอยู่บนพื้นที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ หรงจิงประคองจิ้งเฟยยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า 

 

 

“จิ้งเฟยเข้าใจความคิดของเราที่สุด เราเพียงพูดคุยเรื่องนี้เรื่อยเปื่อยกับใต้เท้าหลิ่วเท่านั้น ไม่คิดว่าหว่านเอ๋อร์ช่างแสนดีเข้าใจและมีเหตุผลเช่นนี้” 

 

 

หลิ่วหว่านลูบไล้หลังมือหรงจิงแผ่วเบาด้วยความนุ่มนวล 

 

 

“ฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อยงานเมือง มีราชกิจมากมายทุกวัน เรื่องที่หว่านเอ๋อร์จะทำได้มีไม่มาก ท่านพ่อก็เป็นข้าราชบริพารในพระองค์ การได้ช่วยแบ่งเบาพระภาระบ้างเป็นสิ่งที่เราพ่อลูกสมควรทำเพคะ เรื่องที่ฝ่าบาททรงสั่งไว้กระทำเสร็จสิ้นแล้ว ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้แล้วเพคะ” 

 

 

วันนั้นหรงจิงเพียงแต่เปรยกับเจ้ากรมหลิ่วว่าเซียงฉือยังไม่เข้าใจความเป็นพระชายา คิดว่าทุกคนพูดความจริงใจไปเสียหมดในพระราชวังที่ใหญ่โตขนาดนี้” 

 

 

เจ้ากรมหลิ่วย่อมต้องใส่ใจกับเรื่องนี้ หลังจากบอกกับจิ้งเฟยแล้วเรื่องก็จะเป็นไปตามสถานการณ์ 

 

 

หรงจิงฟังคำพูดจิ้งเฟยแล้วยิ่งเกิดความเกรงใจ กุมมือนางไว้พูดว่า 

 

 

“ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ ทำไมมือเจ้าเย็นเช่นนี้ บ่าวพวกนี้ดูแลกันอย่างไร ไม่รู้จักเพิ่มเสื้อผ้าให้เจ้าสักชิ้น” 

 

 

หรงจิงพูดอย่างห่วงใย จิ้งเฟยสะบัดมือตอบอย่างนุ่มนวล 

 

 

“หม่อมฉันเป็นเช่นนี้เองเพคะ สุขภาพไม่ดีมือเท้าจึงเย็นสักหน่อย เพียงแค่ฝ่าบาทไม่ทรงทราบ ไม่ใช่ความผิดพวกเขาหรอกเพคะ” 

 

 

หรงจิงรู้สึกเก้อเขิน สั่งซูกงกงว่า 

 

 

“ไปนำเครื่องหนังอย่างดีสองผืนส่งไปตำหนักเฮ่อเหลียน” 

 

 

ซูกงกงรับบัญชา จิ้งเฟยแสดงความขอบคุณแล้วพูดว่า 

 

 

“เป็นพระกรุณาเพคะ หรงเย่ว์นอนกลางวันคงจะตื่นแล้ว หากไม่พบหม่อมฉันจะร้องไห้ใหญ่ หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ” 

 

 

หรงจิงพยักหน้าปล่อยนางจากไป 

 

 

ชั่วขณะที่จิ้งเฟยหมุนตัวกลับ แววตาซาบซึ้งบนใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นความเงียบเหงาขึ้นมาแทน 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 613 รสชาติความคิดถึง 

 

 

หรงจิงเดินเข้าตำหนักเฟิ่งอี๋ เซียงฉือยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่กับที่ เขาห้ามมิให้สี่กงกงป่าวร้องแล้วเดินไปข้างหลังนางสวมกอดนางไว้ 

 

 

“คิดอะไรอยู่ เคลิบเคลิ้มถึงขนาดนี้” 

 

 

เซียงฉือเหมือนตกใจแต่หลังจากได้ยินเสียงของหรงจิงแล้วก็ยิ้ม นางเอนพิงพนักเก้าอี้สายตาที่หันกลับไปมองเขาเจือแววโกรธ 

 

 

“หม่อมฉันกำลังคิดว่าเมื่อไหร่ฝ่าบาทจะเสด็จมาเพคะ” 

 

 

เซียงฉือยิ้มน้อยๆ หรงจิงค่อยๆ กระชับแขนแน่นขึ้นโอบนางไว้ ซุกไซ้ผิวกายนางเบาๆ งึมงำว่า 

 

 

“ทำตัวน่ารักหน่อย เราอยากจะกอดเจ้าไว้แบบนี้สักครู่ ครู่เดียวเท่านั้น…” 

 

 

เสียงงึมงำของหรงจิงเจือความแสร้งโกรธออดอ้อน เซียงฉือได้ยินแล้วนึกขำไม่ได้แข็งขืน อ้อมกอดของหรงจิงอ่อนโยนและเขาก็นุ่มนวลอย่างยิ่ง เซียงฉือสังเกตเห็นความเหนื่อยล้าของเขา เมื่อปล่อยให้เขากอดอยุ่ครู่หนึ่งแล้วจึงตีหลังมือเขาเบาๆ พูดยิ้มๆ 

 

 

“ฝ่าบาทเสด็จมาถึงที่หม่อมฉันนี่แล้ว หม่อมฉันมิบังอาจปล่อยให้ฝ่าบาททรงต้องยืนอยู่เช่นนี้ตลอดไปเพคะ 

 

 

ถ้าหากฝ่าบาทไม่ทรงรังเกียจ ทูลเชิญเสด็จตามหม่อมฉันเข้าไปประทับด้านในสักครู่หนึ่ง ดีไหมเพคะ” 

 

 

หรงจิงได้ยินก็พยักหน้าอย่างอ่อนโยน เขาลืมตาแล้วปล่อยเซียงฉือ เดินไปเบื้องหน้าแล้วจูงมือนาง พากันเดินเข้าไปในห้อง 

 

 

เซียงฉืออมยิ้มเดินตามเขาไป เตาผิงในห้องถูกจุดไว้แล้ว อบอุ่นนุ่มนวลไปทั่วห้อง เซียงฉือถูกหรงจิงดึงให้เดินเข้าห้องไป 

 

 

หรงจิงยิ้มแล้วอุ้มเซียงฉือนั่งลงบนตักมองดูนาง กลิ่นหอมเย็นสายหนึ่งลอยออกมาจากบนร่าง 

 

 

“วันนี้จุดจันทน์หอม เจ้าชอบกลิ่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” 

 

 

หรงจิงยิ้มสายตาอ่อนโยน เซียงฉือถูกอุ้มอยู่จึงทาบกายลงบนไหล่เขา อิงแอบหัวไหล่หรงจิงช้าๆ ชิดใกล้ 

 

 

“เราเลือกวันดีไว้วันหนึ่ง วันที่สิบแปดเดือนสิบสอง เจ้าคิดว่าอย่างไร” 

 

 

เซียงฉือฟังคำพูดหรงจิงแล้วสงสัยจึงกะพริบตามองดูหรงจิง ถามอย่างเชื่องช้าว่า 

 

 

“ฝ่าบาททรงหมายถึงอะไรเพคะ หม่อมฉันไม่เข้าใจ วันดี วันดีสำหรับอะไรเพคะ” 

 

 

หรงจิงยิ้มกอดกระชับนางแน่นขึ้น เขายกนิ้วมือขึ้นลูบไล้ใบหน้าน้อยๆ ของเซียงฉืออย่างช้าๆ แล้วยิ้มพูดขึ้นเหมือนพูดเล่นว่า 

 

 

“ก็เป็นวันที่จะแต่งงานกับเจ้าไง” 

 

 

เซียงฉือได้ยินดังนั้นก็ปิดหน้าเขินอายไม่กล้ามองดูเขา มือทั้งคู่บดบังอยู่เบื้องหน้าใบหน้าน้อยๆ ที่แดงซ่านไม่กล้ามองหมุนกายแล้วคิดจะวิ่งหนีแต่ถูกมือของหรงจิงรั้งเอวไว้ ดึงเข้าสู่อ้อมกอดไม่ยอมปล่อย 

 

 

“ยังไม่ได้ตอบเราว่าได้ไหม” 

 

 

เสียงนุ่มนวลของหรงจิงทำให้เซียงฉืออึ้งไป นางหมุนกายซุกหน้าซ่อนอยู่บนแผ่นอกเขา แล้วทุบอกเขาด้วยความเขินอาย 

 

 

“ฝ่าบาท เกลียดนักเชียว” 

 

 

หรงจิงขำคำพูดนาง เขาบีบไหล่นางแล้วถามว่า 

 

 

“เกลียดเราตรงไหน ดีใจเห็นอยู่ชัดๆ หรือไม่ใช่” 

 

 

“ในเมื่อเจ้าไม่เห็นขัดข้องแต่อย่างไร เราก็จะกำหนดวันที่สิบแปดเดือนสิบสองเป็นวันเข้าห้องหอกับเจ้า” 

 

 

พอหรงจิงพูดจบเซียงฉือก็วิ่งหนีไปจริงๆ เขาไม่ได้ติดตามไป เพราะรู้ว่านางอายจึงยิ้มแล้วออกจากตำหนักเฟิ่งอี๋ เรื่องของขุนพลหลินสะสางแล้ว อวิ๋นเซียงฉือไม่ต้องถูกทำให้ลำบากใจอีกต่อไป ราวกับเรื่องมากมายได้จบสิ้นลงแล้ว และเขาก็ควรจะได้เปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเองสักครั้ง 

 

 

จักรพรรดิไม่ใช่บุรุษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกจากการทุ่มเทชีวิตอ่านรายงาน เขาต้องการได้มาในสิ่งที่ตนปรารถนา มีชีวิตอย่างมีความสุขทั้งกายใจ