RC:บทที่ 669 ในปราสาททองคำ

ลมที่พัดแรงรอบตัวเขาก็ค่อย ๆ ช้าลง หลินเฟิงที่จากเดิมรู้สึกได้เพียงเกลียวลม ต่อมาภาพตรงหน้าของเขาก็ชัดเจนมากขึ้น

ลมที่พัดอยู่ด้านหน้าเปิดเผยให้รับรู้ถึงฝุ่นละอองและความกว้างใหญ่ไพศาล

ไม่นาน สติรับรู้ของหลินเฟิงจึงชัดเจนขึ้น เขามองไปรอบ ๆ ที่นี่ช่างกว้างใหญ่

พอมองรอบตัว มันเป็นสีเหลืองทั้งหมด มีภูเขาหินประปราย เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความหดหู่และเศร้าใจ

 

“ยินดีต้อนรับ ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณ” ทันใดนั้นก็มีเสียง ๆ หนึ่งดังขึ้นในหัวของเขา

เสียงนั้นดังและก้องกังวาน เต็มไปด้วยความสูงส่ง เมื่อผู้คนได้ยินก็เหมือนมีแรงผลักดันให้อยากเคารพยกย่อง

ใครน่ะ? ใครกำลังพูด?

ไม่ช้า เสียงก็ตอบคำถามของหลินเฟิง: “ข้าคือเทพเจ้ามังกร“

หลินเฟิงรู้สึกโง่งมที่ได้ยินเสียงของเทพเจ้ามังกรในทันทีที่เขาได้เข้ามา

นี่คือสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ความยิ่งใหญ่ของเขาอยู่เหนือผู้คน กาลเวลา และอวกาศ ต่อมา หลินเฟิงก็ร็สึกได้ว่าพลังวิญญาณในร่างของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา

เทพเจ้ามังกรพูดต่อ: “นี่คือมิติที่ข้าทิ้งเอาไว้ มันเต็มไปด้วยสิ่งประดิษฐ์ทุกประเภทรวมถึงสิ่งตกทอดจากคนรุ่นก่อน รอให้เจ้าไปค้นพบ“

“ในมรดกสิ่งประดิษฐ์ของข้าจะถูกแบ่งเป็นสี่ระดับคือ ระดับต่ำ, ระดับกลาง, ระดับสูง และระดับปลาย แต่ละระดับจะประกอบด้วยสิ่งประดิษฐ์ที่มีระดับแตกต่างกันอย่างมาก…”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลินเฟิงที่ได้ยินก็เข้าใจเพราะผู้เฒ่าไป๋เคยบอกให้ฟังมาแล้ว

หลินเฟิงฟังเทพเจ้ามังกรบรรยายไปอย่างเงียบ ๆ

 

“เป้าหมายของปราสาททองคำคือเพิ่มความแข็งแกร่งของเจ้าเพื่อต่อต้านหายนะ ดังนั้นในการแข่งขัน ข้าหวังว่าเจ้าจะไปถึงการแข่งขันรอบสุดท้ายและอย่าต่อสู้กันเอง“

พอพูดจบ เสียงเทพเจ้ามังกรก็หายไป

หลินเฟิงที่มีความเข้าใจเรื่องทั่วไปของปราสาททองคำแล้วก็มีความมั่นใจอยู่บ้าง

ตอนแรก เขานึกว่าที่เรียกกันว่าปราสาททองคำจะหมายถึงปราสาทหลังหนึ่งจริง ๆ ในตอนที่เขาเข้ามา

เขายังคิดต่อไปว่า มีคนเข้ามาในปราสาทมากมาย แล้วไม่แออัดจนตายเลยหรือ?

แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงคือปราสาททองคำนั้นเป็นแค่ฉากหน้า เพราะยังมีโลกอีกใบอยู่ในนี้

หลินเฟิงมองออกไปไกล มันเต็มไปด้วยฝุ่นสีเหลืองและหมอกจาง ๆ

ไม่รู้ว่าเขาจะต้องเผชิญกับสิ่งใดแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความคาดหวัง

 

ในตอนนั้นเอง เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาอยู่เพียงคนเดียว แล้วปิงหยวนจงกับหัวหน้านิกายจื่นหยวนหายไปไหน?

เขางุนงงอยู่ครู่เดียว จากนั้นก็คิดว่าอาจเป็นเพราะเขาถูกโจมตี จึงทำให้ถูกจับแยกกันไป

หลินเฟิงอดไม่ได้ที่จะสบถด่าเล่ยหยุนในใจ บ้าชะมัด เจ้าหมานี่อันตรายจริง ๆ!

จากนั้นเขาก็มองไปสุดสายตา ดูเหมือนในอนาคตที่ไม่แน่นอนนี้ เขาจำต้องพึ่งตัวเองซะแล้ว

หลินเฟิงเดินไปสองก้าว ทันใดนั้นความรู้สึกเมื่อยล้าก็กระจายไปทั่วร่าง ขาของเขาหมดแรงจนนั่งลงไปบนพื้น

 

หลังจากที่ต่อสู้อย่างดุร้ายกับเล่ยหยุน พลังวิญญาณและความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขาเหือดหายไปเป็นอย่างมาก

หลินเฟิงจึงนั่งขัดสมาธิ และเริ่มฟื้นฟูร่างกาย

ในตอนนี้เอง คิ้วของเขาก็เริ่มขมวด เต็มไปด้วยความสงสัย

ผ่านไปครู่หนึ่ง คิ้วของเขาก็เหยียดออก แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เขารับรู้ได้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยออร่า!

เขาอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ ออร่าที่แข็งแกร่งและมองไม่เห็นถูกสูดเข้าไปในตัวของเขาอย่างรวดเร็ว มันทำให้เขารู้สึกสบายตัวมากยิ่งขึ้น

 

เขาเคยได้ยินปรมาจารย์ปิงหยวนจงบอกกล่าวมาก่อนว่าพลังวิญญาณระหว่างสวรรค์และโลกในเวลานี้เบาบางลงมากซึ่งน้อยกว่าหนึ่งในห้าส่วนเมื่อในอดีต ดังนั้นการบำเพ็ญตบะจึงสำเร็จได้ช้ามากๆ เพราะเราทำได้เพียงดูดซับออร่าของสวรรค์และโลกเท่านั้น

และเขารู้ได้อย่างชัดเจนเลยว่าออร่าในมิติแห่งนี้มีหนาแน่นมากกว่าสิบเท่าของโลกภายนอก!

สภาพแวดล้อมในการบำเพ็ญของที่นี่ดีกว่ามาก!

ด้วยพลังวิญญาณที่อุดมสมบูรณ์และการช่วยเหลือจากหลงจื่อ หลินเฟิงจึงฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

เขารู้สึกสบายและสดชื่นจนอยากจะนั่งที่นี่ไปนาน ๆ และดูดซับออร่าแห่งสวรรค์และโลกอย่างตะกละตะกลาม

แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็รู้ดีว่าการดูดซับออร่าเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งนั้นเป็นการฝึกฝนที่ผิดวิธี เมื่อก่อนนั้น เขามีแค่เพียงพลังวิญญาณและไม่ถือเป็นคู่ต่อสู้เมื่อพบเจอกับผู้มีพลังได้เลย

 

ยิ่งกว่านั้น โลกนี้ก็เต็มไปด้วยอันตราย ไม่เพียงแค่มีผู้เข้าแข่งขันมากมายแต่ยังมีปีศาจอีกเป็นจำนวนมากเช่นกัน

ถ้าเขาใช้เวลาฝึกฝนอย่างยาวนานในที่แห่งนี้ ภายในไม่กี่วันก็เกรงว่าจะถูกกินจนไม่เหลือซาก

หลินเฟิงขยับตัวเล็กน้อย จากนั้นจึงเดินก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่รู้เป้าหมาย

สาเหตุที่เขาเลือกไม่บินขึ้นไปเพราะเพิ่งเข้ามาใหม่ที่นี่และอยู่คนเดียว มันคงจะแย่หากถูกนกตัวอื่นโจมตี

เวลาข้างในปราสาททองคำแตกต่างจากเวลาของโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าเขาจะเข้ามาในช่วงเช้า ตอนนี้บนโลกนี้คงเป็นช่วงค่ำ

ดวงอาทิตย์สาดแสงเก่า ท้องฟ้าค่อย ๆ มืดสลัว

หลินเฟิงเดินมาเรื่อย ๆ จนไม่รู้ว่ามาไกลแค่ไหนแล้ว ทันใดนั้นเขาก็เห็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ตรงหน้า

ความสุขเกิดขึ้นมาในใจ เขารีบวิ่งเหยาะๆ อย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่เพียงแค่หมู่บ้านแต่มันเป็นเมืองหลายเมืองในโลกแห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่ร้างให้ผู้คนได้พักผ่อน

 

ท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ หลินเฟิงเพิ่งนึกกังวลว่าเขาจะไม่มีที่นอน หมู่บ้านนี้ทำให้เขาประหลาดใจอย่างไม่ต้องสงสัย

ก่อนที่เขาจะวิ่งไปถึงหมู่บ้าน เขาก็พบว่ามีเส้นขีดยาวอยู่ที่ทางเข้าของหมู่บ้าน และที่ทางเข้านั้นมีผู้ตรวจสอบแต่ละคนที่เข้าไป

หลินเฟิงสงสัย ไม่ใช่ว่าที่แห่งนี้ไม่มีผู้ครอบครองหรือ? แล้วมีคนตรวจสอบได้อย่างไร?

เขาเข้าคิวและสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อนที่เขาจะได้รู้ว่าหมู่บ้านนี้มีผู้เข้ามายึดครองและแต่ละคนต้องจ่ายเงิน 100,000 หยวนหรือเทียบเท่าเพื่อพักอาศัยหนึ่งคืน

“มีเช่นนั้นด้วย?” คิ้วของหลินเฟิงเลิกขึ้น “ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะหารายได้ด้วย นี่จะไม่แข็งแกร่งเกินไปหรือ?”

ชายที่อยู่ข้างหน้าถอนหายใจ: “ช่วยไม่ได้ล่ะนะ พวกเขามีอยู่หกคน ห้าคนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อีกคนก็บรรลุขั้นหกกับอีกครึ่งก้าว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมรับความแข็งแกร่งเช่นนี้“

“พวกเราเป็นหน้าใหม่ที่นี่ เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง น่าจะดีกว่าที่จะหาที่พักในค่ำคืนแรก“

“ยิ่งกว่านั้น แม้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็ยังมีคนคอยดูแลไม่ใช่หรือ?”

เมื่อได้ยินความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้น หลินเฟิงก็แสดงความหยิ่งทะนงขึ้น

หากเป็นโลกภายนอก ความแข็งแกร่งเช่นนี้สามารถสร้างขุมพลังขุมหนึ่งได้เลย

แต่ด้วยการกระทำเช่นนี้ หลินเฟิงก็ยังรู้สึกดูแคลนอีกด้วย

ในตอนนั้น ก็มีเสียงเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหน้า