ส่วนที่ 4 ตอนที่ 31

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

วันปีใหม่ของคนทั้งสองที่อยู่ต่างแดน

 

 

 

เนื่องจากมีผู้ป่วยการเดินทางของอวิ๋นเยี่ยจึงจำเป็นต้องชะลอตัวลง เมื่อมีอาคารนี้มันก็เป็นที่พักที่ปลอดภัยที่สุดในการกำบังลมบนทุ่งหญ้า หลังจากเหน็ดเหนื่อยตะลุยอยู่บนทุ่งหญ้ามาหลายวัน ในที่สุดก็ได้พักผ่อน เรื่องที่กังวลใจก็สามารถปล่อยวางลงได้ชั่วคราว กองกำลังทั้งกองกำลังเสพสุขกับช่วงเวลาที่สุขสงบอันแสนสั้นนี้

 

 

เลียนแบบเยี่ยถัวสร้างเมืองแห่งรถลากเลื่อนขึ้นบ้าง ม้าก็ปล่อยไว้ที่ชั้นล่างของอาคาร ทหารยามยืนบนระเบียงของอาคารเฝ้าสังเกตการณ์ระยะไกล ที่นี่ไม่มีชาวเผ่าทูเจวี๋ยแล้ว พ่อแม่และน้องชายของน่ารื่อมู่ถูกชนชั้นสูงของชาวทูเจวี๋ยจับตัวไปจากทุ่งหญ้าแห่งนี้ ถอยกลับไปที่เชิงเขาอินซันอันแสนไกล เตรียมพร้อมที่จะเปิดศึกแลกชีวิตกับกองทัพอันยิ่งใหญ่ของต้าถัง

 

 

อวิ๋นเยี่ยรู้ว่าจะไม่มีฉากสังหารหมู่ของสองกองทัพอย่างแน่นอน หลังจากหมอกหนาผ่านไป ชาวทูเจวี๋ยตะวันออกจะไม่ปรากฏในบันทึกประวัติศาสตร์อีกต่อไป

 

 

ในฐานะที่เป็นทูต ถังเจี่ยนเป็นคนต่ำช้าน่ารังเกียจ เขามาที่ค่ายของข่านเจี๋ยลี่โดยมีเป้าหมายแอบแฝง มาเพื่อถ่ายทอดข่าวดีเกี่ยวกับการที่ต้าถังเตรียมจะเป็นพันธมิตรที่ดีต่อชาวทูเจวี๋ยตะวันออก ข่านเจี๋ยลี่จอมโง่เมื่อได้ยินข่าวดีนี้ ก็ไม่อยากหนีตายอีกแล้ว เขาอาลัยอาวรณ์ที่จะทิ้งทุ่งหญ้าที่สวยงามภายใต้เขาอินซันแห่งนี้ ยิ่งอาลัยอาวรณ์ที่จะละทิ้งความหวังในการปล้นชิงพลเรือนของต้าถังได้ทุกเวลา เขาประเมินความทะเยอทะยานของหลี่ซื่อหมินผิดไปและก็ประเมินความเจ้าเล่ห์ของหลี่จิ้งผิดไปด้วยเช่นกัน

 

 

ถังเจี่ยนรู้สึกว่าชีวิตของเขาหนึ่งชีวิตแลกเปลี่ยนกับการล่มสลายของทูเจวี๋ยตะวันออกได้ช่างคุ้มค่ามาก คนบ้าคนนี้ไม่สนใจชีวิตของเขา เห็นตัวเองเป็นตัวประกันเพื่อขัดขวางการหนีตายของข่านเจี๋ยลี่ที่กำลังจะดำเนินต่อ การเจรจายังคงดำเนินต่อไป เหล่าชนชั้นสูงของชาวทูเจวี๋ยยังคงเย่อหยิ่งทระนง พูดจากำเริบเสิบสาน พวกเขาเชื่อว่าราชวงศ์ถังไม่มีกำลังที่จะบุกมายังเขาอินซันแล้ว หากชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่ยิ่งใหญ่ดุดันอดทนจนรอดพ้นจากฤดูหนาวอันโหดร้ายนี้ได้ หลังจากที่รอจนถึงฤดูใบไม้ร่วงมาศึกกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ชาวถังที่อ่อนน้อมเหมือนลูกแกะก็สามารถถูกพวกเขาช่วงชิงปล้นฆ่าวางเพลิงได้ตามอำเภอใจอีกครั้ง พวกเขากลั่นแกล้งถังเจี่ยนอย่างสะใจ อยากจะเห็นนักการทูตแห่งต้าถังตัวสั่นเทาเหมือนนกกระทาเพราะถูกดาบจันทร์เสี้ยวของเขาข่มขู่

 

 

ถังเจี่ยนนั้นกำลังตัวสั่น ดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ถึงฝีเท้าของกองทัพม้าเหล็กที่เหยียบทุกอย่างละเอียด เขาหวังว่าม้าเหล็กเหล่านี้จะเหยียบลงบนศพของเขา แล้วฉีกชาวทูเจวี๋ยตะวันออกออกเป็นชิ้นๆ ทุกครั้งที่คิดถึงว่าชื่อของตัวเองจะปรากฏเป็นเกียรติโดดเด่นอยู่ในประวัติศาสตร์ เขาก็อยากจะร้องเพลง อยากจะเต้นรำ…

 

 

แผนการชั่วร้ายเริ่มหมักเน่าอยู่ภายใต้แสงแดดที่ส่องสว่างและสุกงอม เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครจะสามารถดื่มเหล้าชั้นเลิศที่มีดีกรีแรงถ้วยนี้ได้ บรรยากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งแผนการอันเลวร้ายนั้น อวิ๋นเยี่ยได้กลิ่นแล้ว เขามองดูน่ารื่อมู่ที่ยังร้องเพลงอยู่ด้วยสายตาที่สงสารเวทนา ไม่รู้ว่าพ่อแม่และน้องชายของนางจะมีชีวิตรอดหรือไม่

 

 

จะเป็นการดีที่สุดหากนางได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตลอดไป ลืมความโหดเ**้ยมของทุ่งหญ้า อวิ๋นเยี่ยไม่สามารถลืมแววตาที่เห็นตัวเองปรากฏตัวขึ้นก็กระโดดลิงโลดดีใจได้ แม้ว่าตัวนางจะต้องเผชิญหน้ากับการสังหารที่โหดร้ายที่สุดก็ตาม

 

 

การเดินทางไปยังทุ่งหญ้าครั้งนี้อวิ๋นเยี่ยได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มากมาย อิสรภาพและความอิสระของซีถง ความใสซื่อบริสุทธิ์ของน่ารื่อมู่ ความดึงดันของเสวียนจั้ง ต่างก็ได้ประทับความทรงจำอย่างลึกซึ้งไว้ในชีวิตของเขา

 

 

เฉิงฉู่มั่วที่เดินกะเผลกได้ก่อกองไฟขนาดใหญ่ขึ้น เปลวไฟสีส้มแดงพุ่งสูงอยู่ในอากาศ เหล่าทหารเสริมทุบหน้าอกร้องเพลงออกเดินทัพ “โอรสสวรรค์บัญชาข้า ให้มุ่งหน้าสู่ซั่วฟางเพื่อปกป้อง แลดูน่าเกรงขามดังกึกก้อง ให้พวกพ้องนำพาชัยกลับมา ก่อนหน้านี้ที่ข้าได้ไป คือวันในฤดูที่ฟ้าเจิดจ้า แต่ครั้งนี้เมื่อข้าได้กลับมา ทั่วพื้นหญ้ามีแต่หิมะขาว ชาติกำลังประสบกับทุกข์ภัย หรือมีใครไม่อยากพักยาว แต่ก็หวั่นต่อกองทัพที่ส่งข่าว เหล่าแมลงต่างร้องเสียงยาว ตั๊กแตนขายาวๆ กระโดดบนกอหญ้า”

 

 

เพลงกลอนหนึ่งท่อน เหล้าหนึ่งจอก คนที่ร่ายรำเป็นก็ลุกขึ้นร่ายรำตั้งแต่ตอนที่เพลงขึ้นตั้งนานแล้ว วันนี้เป็นวันปีใหม่ เป็นวันที่ละทิ้งวันเก่าๆ ต้อนรับวันใหม่ๆ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจงดเว้นกฎเป็นพิเศษ นอกจากกำหนดจำนวนปริมาณเหล้าแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้พวกเขาสนุกได้อย่างเต็มที่ เหอเซ่าเองก็หายากที่จะใจกว้างสักครั้ง มอบของกินออกมามากมาย

 

 

น่ารื่อมู่หัวเราะอย่างเบิกบานเป็นที่สุด นางเรียนภาษาฮั่นได้หนึ่งประโยคแล้ว ไม่รู้ว่าปีศาจไร้คุณธรรมตนไหนสอนนาง ไม่ว่าพบใครก็เรียกพี่ชาย แต่ละคนที่ได้ยินนางเรียกเช่นนี้ก็หัวเราะหน้าบาน หลังจากเหอเซ่าถูกเรียกเช่นนี้ ก็หยิบปิ่นปักผมอันหนึ่งออกจากอกเสื้อมอบให้น่ารื่อมู่ ขณะที่เห็นว่านางกำลังจะเรียกซุนซือเหมี่ยวว่าพี่ชาย อวิ๋นเยี่ยรีบดึงนางออกมาอย่างรวดเร็ว นางจึงหมอบลงที่หน้าขาอวิ๋นเยี่ย เงยหน้าขึ้น ตะโกนเสียงฟังชัด “พี่ชาย”

 

 

หยกของอวิ๋นเยี่ยถูกนางใช้เชือกหนังที่น่าเกลียดเส้นหนึ่งแขวนไว้ที่คอ กลายเป็นสีกุหลาบแดงภายใต้แสงของเปลวไฟที่ส่องสะท้อน คอเสื้อของหญิงสาวถูกอวิ๋นเยี่ยที่ดึงตัวออกมาเมื่อครู่เปิดกว้างขึ้น จนเกือบจะเห็นทรวงอกขาวๆ บางทีอาจเพราะยังเยาว์วัย จึงไม่อิ่มเอิบ อวิ๋นเยี่ยหันหน้าหนีและช่วยนางดึงคอเสื้อให้ดี แต่กลับทำให้หญิงสาวหัวเราะเสียงดังขึ้น ผู้หญิงแห่งทุ่งหญ้ามักจะร้อนแรงเสมอ ร้อนแรงเหมือนไฟ…

 

 

ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ดวงดาวที่ส่องประกายกว่าในยุคปัจจุบันมากนัก หลังจากอวิ๋นเยี่ยตรวจสอบทหารเวรเสร็จแล้ว ก็ยืนอยู่บนอาคารอยากลองดูเมืองฉางอัน แต่โชคไม่ดีที่ถูกภูเขาที่ห่างไกลบังไว้ มองไม่เห็นท่านย่า มองไม่เห็นอาหญิง ไม่รู้ว่าพวกเสี่ยวยาตอนนี้มีความสุขหรือไม่

 

 

ฤดูหนาวของกวนจงทุกอย่างจะไม่ค่อยเติบโต ในเมืองฉางอันยังคงมีผู้คนหนาแน่น ดวงอาทิตย์กำลังจะพ้นขอบฟ้า เสียงฆ้องระวังภัยก็กำลังจะดังขึ้น ชาวเผ่าหูกำลังตะโกนโหวกเหวกขายสินค้า หญิงชาวเผ่าหูที่เย้ายวนต่างก็เทเหล้าใส่ในน้ำเต้าและกอดไว้ที่อก ให้แขกเลือกได้ตามใจชอบ เนินอกใหญ่ๆ กึ่งเปลือยถูกลมเย็นพัดจนเริ่มมีสีม่วง ก็มีแขกผู้ใจดีช่วยพวกนางอบอุ่นด้วยมือของเขา หญิงชาวเผ่าหูก็หัวเราะระริกระรี้หลบซ้ายหลีกขวา แต่ก็ยังมีมือบางคนที่ได้สมปรารถนา

 

 

รถคันเล็กที่คลุมด้วยผ้าม่านสีฟ้าอ่อนแล่นมาช้าๆ หญิงชาวเผ่าหูไม่มีเวลาสนใจมือสกปรกของแขกพวกนั้น วิ่งไปหยุดอยู่หน้ารถม้าและตะโกนว่าเหล้าของนางนั้นดีที่สุดและราคาถูกที่สุด หวังว่าแขกที่อยู่ในรถม้าจะหยุดพักสักครู่ องครักษ์ที่อยู่ข้างรถม้าได้ดึงหญิงชาวเผ่าหูไปด้านข้าง จากนั้นจึงหันไปเตะอันธพาลที่จะฉวยโอกาสฉกฉวยของมีค่าไปจนล้มหัวคะมำ อันธพาลกำลังจะด่า แต่บังเอิญเห็นลวดลายเมฆลายขนนกบนรถม้า จึงรีบหยุดปากทันทีและเดินมุดเข้าไปด้านหลังของฝูงชน

 

 

อาหญิงอวิ๋นนั่งโบกผ้าเช็ดหน้าอยู่ในรถม้าด้วยอาการเบื่อหน่าย เตาผิงขนาดเล็กในรถนั้นร้อนเกินไป สาวใช้กำลังยุ่งอยู่กับการดูแลอีกคนหนึ่งกินอาหาร ปากเล็กๆ ที่อ้าและหุบมีเปลือกของผลไม้เปลือกแข็ง[1]ก็แตกออก  ร้ายกาจกว่ากระรอกเสียอีก

 

 

“เสี่ยวยา เจ้าโตเป็นผู้หญิงเต็มวัยแล้ว ไม่ควรกินเม็ดลูกท้อเช่นนี้อีก เจ้าเพิ่งจะเปลี่ยนฟันไป ระวังจะฟันหักอีก หากฟันหลอจะไปหาสามีได้อย่างไร” อาหญิงทนไม่ได้กับเสียงที่เสี่ยวยาส่งเสียงออกมา จึงเอ่ยปากห้าม

 

 

“ไม่เป็นไร หากฟันหักไป พี่ชายจะทำให้แน่” หลังจากพูดจบก็กัดเม็ดลูกท้ออีกเม็ดแล้วปอกเปลือกหยิบเนื้ออย่างงุ่มง่าม

 

 

ในสายตาของนางไม่มีอะไรที่พี่ชายทำไม่ได้ เรื่องเล็กๆ อย่างเรื่องฟันหักนั้นไม่เป็นปัญหาเลย อาหญิงจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ นี่ก็คือนางมารร้ายของตระกูล ถูกพี่ชายตามใจจนเสียนิสัยแล้ว ไม่ว่าทำอะไรก็ทำตามอารมณ์ เพียงแต่ยังมีจิตใจดีมีเมตตา ยกเว้นแต่เรื่องรังแกคนอื่น แม้รังของนกบนหลังคาบ้านก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือนาง

 

 

ตอนนี้วั่งไฉเห็นนางก็จะเดินหนีออกไป นางเอาถุงเงินใต้คอของวั่งไฉออกมาและแจกจ่ายให้กับเด็กๆ ในหมู่บ้านไปซื้อขนมกิน ทำให้วั่งไฉต้องอดดื่มเหล้าเป็นเวลาสองวันจนร้องไม่หยุด มีแต่คนขับรถม้าที่ฟันหลอของที่บ้านเลี้ยงวั่งไฉดื่มเหล้าหมักหนึ่งกะละมัง จึงถือว่าได้ปลอบใจจิตใจที่บอบช้ำของวั่งไฉ

 

 

ท่านย่าทนนางไม่ไหว บ่นว่านางอยู่บ้านแล้วทำให้วุ่นวาย ในตอนเช้าจึงได้ให้อาหญิงที่จะกลับฉางอันพาไปด้วย ที่บ้านจึงค่อยเงียบสงบลงบ้าง

 

 

วันนี้ทำธุระหลายสิ่งหลายอย่าง รถม้าที่คลุมด้วยผ้าสีฟ้าอ่อนด้านหลังมีรถม้าติดตามมาเป็นขบวนยาว สิ่งเหล่านี้เป็นของที่ซื้อให้กับครอบครัวในปีใหม่ อายุเพิ่มทุกปี แต่ฐานะที่บ้านกลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ปีก่อนยังคงกังวลเกี่ยวกับมื้ออาหารของวันพรุ่งนี้ แต่วันนี้กลับมีเสื้อผ้าสวยงามใส่ มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง อาหญิงมองฝูงชนที่วิ่งอยู่ด้านนอกรถ ความรู้สึกที่ตนอยู่เหนือกว่าผู้อื่นก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ตระกูลที่มีผู้ชายดูแลเป็นผู้นำนั้นต่างกันจริงๆ แม้ว่าจะมีอายุเพียงสิบหกปี ไม่สิ หลังจากปีใหม่ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว ได้ทำให้ตระกูลที่เกือบจะพังทลายลงอย่างสิ้นเชิงกลับพลิกฟื้นขึ้นมาได้ ทั้งยังทำให้มีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีเป็นที่เกรงขามไปทั่ว ได้แต่หวังว่าพระพุทธเจ้าจะทรงเมตตา ปกป้องคุ้มครองเขาที่อยู่ในทุ่งหญ้าให้ปลอดภัย

 

 

เมื่อคิดถึงงานเลี้ยงกลางวันในวันนี้ ท่าทีของหญิงมีฐานะเหล่านั้นช่างน่าขำ ตัวเองเป็นเพียงหญิงที่ถูกสามีหย่าเท่านั้นเอง พวกหญิงมีฐานะที่ใจแคบเหล่านั้นเหมือนกับว่าจะความจำเสื่อม ปฏิบัติต่อนางดีเป็นที่สุด เพียงเพราะต้องการน้ำหอมขวดเล็กๆ หนึ่งขวดเท่านั้น เช่นนี้ก็ถือเป็นผู้หญิงที่มีชาติตระกูลของต้าถังอย่างนั้นหรือ ก็แค่ฝูงหนอนที่น่าสงสารเท่านั้นเอง เพื่อทำให้สามีพอใจสามารถทำได้ทุกอย่าง ตลอดทั้งวันก็รู้จักแต่แต่งหน้าทาแป้ง ยั่วยวนพวกผู้ชาย ลืมหน้าที่ที่สำคัญที่สุดของผู้หญิงซึ่งก็คือการอบรมสั่งสอนลูก หากไม่มีผู้ชายแล้วเห็นทีพวกนางคงจะได้อดตายกระมัง

 

 

สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดของอาหญิงก็คือการทนฟังเสียงฆ้องเวรยามกลางคืน ต้องเคาะถึงแปดร้อยรอบไม่รู้จักจบสิ้น ตอนนี้ก็ดังอยู่ ทุกครั้งที่เสียงกลองดังขึ้นราวกับว่าจะเร่งรีบให้คนกลับไปเร็วๆ อาหญิงอุดหูไว้ ใช้เท้าถีบประตูรถให้คนขับรถม้ารีบๆ ออกจากเมือง ตระกูลอวิ๋นมีบ้านอยู่ในฉางอัน แต่ไม่มีใครชอบอยู่ในเมืองเลยสักคน แม้ว่าเร่งเดินทางยามค่ำคืนพวกเขาก็จะต้องกลับไปที่ที่ดินพระราชทาน อาหญิงรู้สึกว่าเตียงที่นั่นนอนแล้วจึงจะสบายที่สุด

 

 

เสี่ยวยานอนหลับไปแล้ว สาวใช้กอดเสี่ยวยาไว้ในอ้อมแขน กลัวว่าจะทับถูกนาง คุณหนูตัวน้อยหลับไปแล้วจึงดูมีความเงียบสงบขึ้นบ้าง

 

 

การเดินทางยามค่ำคืนไม่ได้มีแต่พวกนาง แต่ยังมีนักศึกษาและอาจารย์มากมายของสำนักศึกษาอีกด้วย รถม้าของตระกูลอวิ๋นนั้นกว้างใหญ่ เมื่อเห็นภรรยาและลูกของเหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษาจึงได้หยุดรถและให้โดยสารมาด้วย ต้องบอกให้รู้ว่ารถเกวียนเทียมวัวเมื่อเดินทางจนครบห้าสิบลี้นั้นฟ้าก็สว่างแล้ว สำหรับอาจารย์ก็กระโดดขึ้นรถม้าที่ลากของคันไหนก็ได้ พูดคุยกับคนขับรถม้าเป็นครั้งคราวอย่างอิสรเสรี สำหรับรถเทียมวัวก็ให้คนรับใช้รีบขับกลับไป บางครั้งก็มีศิษย์ที่ขี้เกียจแอบกระโดดเกาะรถไปด้วย หัวถึงพื้นก็หลับสนิท จนกระทั่งถึงสำนักศึกษาจึงถูกปลุกให้ตื่นขึ้น

 

 

ท่านย่ายังไม่เข้านอน กำลังนั่งตรวจบัญชี ตระกูลเหอรีบส่งเงินเหรียญทองแดงสองพันก้วนมาให้ก่อนวันปีใหม่ ทั้งยังมีจดหมายของหลานชาย หลังจากอ่านจดหมายจึงได้รู้ว่า หลานชายได้ทำการค้าเล็กๆ กับตระกูลเหอและตระกูลเหอเป็นผู้ออกหน้า ตอนนี้พวกเขาได้ส่งกำไรครั้งแรกมาให้ ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ดูท่าทีแล้วยังสามารถคบค้ากับตระกูลเหอต่อไปได้

 

 

เตาเผาปูนซีเมนต์ได้ถูกทางการยึดไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถเผาปูนซีเมนต์ออกมาได้ พวกช่างฝีมือทำงานอย่างขอไปที อัตราส่วนของดินเหนียวและปูนเม็ด ไม่เคยผสมให้เหมาะสมเลย เผาเสียครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังไม่รู้จักจำ พวกโง่เขลาเหล่านั้นยังได้เป็นขุนนาง ช่างน่าขายหน้าเสียจริง ทั้งยังกล้าแบกหน้ามาขอช่างฝีมือ ถึงที่หมู่บ้านอีก หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นไม่มีช่างฝีมือ อะไรทั้งนั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นเกษตรกร เมื่อว่างงานจากการทำนา ก็มาช่วยที่บ้านเจ้าของที่ดินเผาปูนซีเมนต์ไม่กี่เตาเพื่อนำไปสร้างบ้านตัวเอง ไม่ใช่ช่างฝีมือเสียหน่อย หากเจ้าแน่จริงก็แก้ข้อมูลเปลี่ยนให้ชาวนาในหมู่บ้านกลายเป็นช่างฝีมือดูสิ ตระกูลอวิ๋นไม่ใช่จะให้ใครมากดขี่ได้ง่ายๆ มานานแล้ว

 

 

แม้แต่ฝ่าบาทที่ต้องการเตาเผาปูนซีเมนต์ก็ยังต้องจ่ายเงินและเสบียงด้วยเช่นกัน การที่พวกเจ้าทำพลาดก็เป็นเรื่องของพวกเจ้า สูตรลับได้ส่งมอบให้กับทางการไปนานแล้ว เมื่อตอนส่งมอบเตาเผาปูนซีเมนต์ เสี่ยวไท่ก็ใส่ส่วนผสมที่ตามสูตรลับด้วยตนเอง ซึ่งก็สามารถเผาปูนซีเมนต์ที่มีคุณภาพออกมาได้ ยังกล้ามาพูดอีกว่าตระกูลอวิ๋นให้สูตรลับมั่วๆ ไม่ต้องให้ตระกูลอวิ๋นลงมือ เสี่ยวไท่ก็ฉีกปากของพวกเขาไม่เป็นชิ้นดีเอง

 

 

ในที่สุดเสี่ยวเค่อก็สามารถสร้างอาคารทั้งหมดได้สำเร็จก่อนที่หิมะรอบแรกจะตกลงมา ส่วนที่เหลือคือการตบแต่งภายในอาคาร ได้ยินมาว่ามีครอบครัวหนึ่งเดินทางมาสำนักศึกษา ซึ่งป็นลูกหลานของท่านหลู่ปัน ได้ยินว่าเก่งกาจมาก ไม่รู้ว่าหลานชายไปหาบุคคลที่เก่งกาจเช่นนี้มาจากที่ไหน

 

 

เมื่อนึกถึงหลานชาย ท่านย่าก็รีบไปคุกเข่าด้านหน้าพระพุทธรูปและสวดอ้อนวอน ขอให้พระพุทธองค์ปกป้องคุ้มครองให้หลานชายกลับบ้านอย่างปลอดภัย

 

 

 

 

——

 

 

[1] ผลไม้เปลือกแข็ง หมายถึง ผลของพืชบางประเภทที่มีเปลือกแข็งต้องกะเทาะเปลือกออกจึงทานผลข้างในได้ เช่น ผลเกาลัด