ภาคที่ 4 บทที่ 46 ผลึกลวงตา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 46 ผลึกลวงตา

ผ่านไปนาน จูเซียนเหยาจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน “ซูเฉิน เป็นเจ้าใช่หรือไม่ ?”

ซูเฉินไม่ตอบ แต่หันไปมองเฮ่อซื่อ

เฮ่อซื่อทำท่าจนใจ “ข้าไม่ได้ตั้งใจนะ”

คำนั้นก็เท่ากับยอมสารภาพ

ซูเฉินถอนใจแผ่วเบา

เขาแสร้งทำไปก็คงไม่ได้อะไรแล้ว

ซูเฉินไม่เอ่ยคำอีก ร่างกายเขาเปลี่ยนรูปไปเรื่อย จนกระทั่งกลับไปเป็นรูปร่างหน้าตาดังเดิมของเขา

และเมื่อนางได้เห็นใบหน้าคุ้นตา จูเซียนเหยาก็พลันโกรธเคืองเป็นยิ่งนัก

“เป็นเจ้า ! เป็นเจ้าจริง ๆ!”

ฟ้าว !

ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์

นางมุ่งไปที่คอ เปิดฉากด้วยท่าสังหารทันใด

หากแต่ซูเฉินไม่แปลกใจ เขาหายตัวไป ปรากฏตัวที่ด้านหลังแล้วผลักเฮ่อซื่อใส่นางเพื่อกันนางไว้ จากนั้นถอนใจอีกที “ทำเช่นนี้แล้วได้อะไร ? เจ้ารู้ไปแล้วมันได้อะไรกัน ?”

“ก็ดีกว่าเป็นลิงแสดงให้เจ้าใช้เล่น !” จูเซียนเหยาผลักเฮ่อซื่อออกแล้วพุ่งใส่ซูเฉิน

ซูเฉินกระโดดหลบไปด้านข้าง ยังตามหลบหลังเฮ่อซื่อต่อ “ข้าไม่เคยทำกับเจ้าเช่นนั้น ครั้งนี้ได้พบกันคือเรื่องบังเอิญ จุดหมายของข้าคือการช่วยคนและดำเนินการตามแผน”

“ข้าไม่สน เจ้าโกหกข้า !” จูเซียนเหยาส่งลูกเตะดุดัน

ซูเฉินรีบหลบ ลูกเตะถูกร่างเฮ่อซื่อแทน

“อ๊ะ !” เฮ่อซื่อร้องขึ้นมา

ซูเฉินยังหลบอยู่หลังเฮ่อซื่อต่อไป ฉะนั้นจึงมีคนกลางระหว่างซูเฉินกับจูเซียนเหยาคั่นอยู่ตลอด “ข้าสัญญาแล้วว่าจะมอบความทรงจำคืนให้เจ้า ทำไมเจ้าต้องทำเช่นนี้ด้วย ?”

“อย่าเล่นเช่นนี้กับข้า ! เจ้าบอกว่าจะให้ข้ารู้ความจริง ไม่ใช่คืนความจำ เจ้าจะต้องโกหกข้าอีกแน่นอน !” จูเซียนเหยาปล่อยอีกลูกเตะ ครั้งนี้เล็งที่ศีรษะเฮ่อซื่อ

โอ้ ตอนนี้นางสมองกระต่าย รู้จักความต่างระหว่างความจริงกับคืนความจำแล้วหรือ

ซูเฉินลอดใต้ขาเฮ่อซื่อไป “ข้าสัญญาว่าจะบอกความจริงกับเจ้า”

“บอกแค่บางส่วนก็นับว่าเป็นความจริงเช่นกัน ทำให้ข้าเข้าใจผิดหรือเลือกตอบแค่บางส่วนย่อมทำได้ !” จูเซียนเหยายังคงส่งลูกเตะออกไปเรื่อย ๆ ทำการกรีดเรียวขาไปทุกแห่ง

เหมือนสติปัญญานางจะสูงขึ้นกะทันหัน

เคราะห์ดีที่ซูเฉินใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายได้แล้ว เขาหายวับไปอยู่หลังเฮ่อซื่อ จับตัวอีกฝ่ายไว้แล้วถอยไปพร้อมกัน

เฮ่อซื่อร้องเสียงหลง “ทำไมเอาแต่หลบหลังข้าเล่า !”

ซูเฉินว่า “ที่นี่ว่างเปล่า ไม่มีอะไรให้หลบนอกจากใช้เจ้า อีกทั้งเจ้ายังเผยตัวตนข้า ต้องสั่งสอนสักหน่อย”

จูเซียนเหยากระแทกอีกหนึ่งฝ่ามือออกไป

ซูเฉินคว้าเฮ่อซื่อแล้วถอยต่อ “หากจะคิดเป็นเช่นนั้นข้าก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ก่อนอื่นข้ามีเรื่องอยากบอก”

“ข้าไม่ฟัง !” จูเซียนเหยาตอบ

นางหมายจะโจมตีอีกครั้ง แต่กลับรู้สึกมึนงงชั่วขณะ ราวกับพลังในร่างเหือดหายไปสิ้น ร่างนางซวนเซแล้วทรุดลงกับพื้น

เกิดอะไรขึ้น ?

จูเซียนเหยาชะงักไป

ซูเฉินเดินข้ามา “ไม่ต้องกังวล ก่อนหน้าเจ้าเพิ่งดื่มยาไป ถึงจะฟื้นฟูร่างได้เร็ว แต่ก็ใช้พลังกายมาก ดื่มแล้วต้องอย่าใช้แรงมากนักเพราะร่างกายต้องดูดซึมยา แต่ในเมื่อเจ้าดึงดันจะใช้แรง เจ้าจึงใช้พลังกายที่เหลืออยู่เสี้ยวสุดท้ายไปแล้ว ไม่ต้องกลัว งีบสักหน่อยก็หายดี……”

จูเซียนเหยาไม่ได้ยินคำที่เหลือเพราะมึนงงมาก นัยน์ตานางเหลือกกลับแล้วหมดสติไปในพลัน

“เฮ้อ ! ตกใจเกือบตาย” เฮ่อซื่อทรุดนั่งลงกับพื้น เหนื่อยอ่อนเป็นยิ่งนัก ซูเฉินส่งสายตาเย็นชามองอีกฝ่าย

แล้วเอ่ย “เจ้าทำให้เสียเวลาอีก เช่นนั้นก็ภาวนาให้ตนทำงานให้เร็วขึ้นอีกหน่อยเถอะ”

เฮ่อซื่อสะดุ้งเฮือก ไม่นั่งพักอีกต่อไป กระโดดขึ้นมาขุดเอาหินล้ำค่าไปโดยเร็ว

ตอนนี้เขาเริ่มเห็นแล้วว่าที่นี่ไม่มั่นคง ใกล้จะพังทลายเต็มที

หรือก็คืออย่างไรก็เก็บเอาหินไปได้ไม่หมดแน่

เฮ่อซื่อรู้สึกเสียดายเป็นยิ่งนัก

น่าเสียดายจริง !

ทว่าซูเฉินไม่ใส่ใจเขา ชายหนุ่มเดินไปคว้าร่างซาเค่อกับจูเซียนเหยาแล้วเดินออกจากถ้ำ

ด้านนอกเป็นเยว่หลงซายืนอยู่

เมื่อเห็นซูเฉิน เยว่หลงซาก็ยิ้มน้อย ๆ “ดูท่าปัญหาของเจ้าจะเพิ่งเริ่มนะ”

“คงเป็นชะตากระมัง พยายามมากเท่าไหร่ ก็ไม่พ้นเรื่องร้าย” ซูเฉินหัวเราะ

“เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไรต่อ ?” เยว่หลงซาถาม

ซูเฉินคิดครู่หนึ่ง “ในเมื่อนางอยากรู้ความจริง ข้าก็จะให้ความจริงกับนาง แต่เจ้าควรเป็นคนบอก เจ้าคิดว่าอย่างไร ?”

“ข้า ?” เยว่หลงซาชี้นิ้วใส่ตนเองด้วยความตกใจ

“ใช่ เจ้า !” ซูเฉินเอ่ยเสียงมั่น “ข้าคิดว่าวิธีนี้จะทำให้นางยอมรับสถานการณ์ได้ดีที่สุด ตอนนี้นางมีอคติกับข้า ไม่ว่าจะพูดอะไรนางคงไม่ฟัง ส่วนเจ้า อย่างน้อยนางก็น่าจะรู้ได้ว่าเจ้าไม่ได้โกหก”

“……”

เยว่หลงซากอดอก “แล้วจะตอบแทนอย่างไร ?”

ซูเฉินยิ้มขื่น “ก็ติดค้างเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ได้หรือไม่ ?”

“ไม่ได้ !” เยว่หลงซาเลิกคิ้วสูง

“พวกเราเป็นสหาย ไม่ใช่ว่า……”

เยว่หลงซากระดิกนิ้ว “พวกเราเป็นสหาย แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะทำงานให้เจ้าโดยไม่ได้อะไรนะ”

“เช่นนั้นเจ้าอยากได้อะไร ?” ซูเฉินถาม

เยว่หลงซาคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ในเมื่อข้าช่วยเจ้าขนาดนี้ ข้าก็ควรได้ส่วนแบ่งของด้วยกระมัง ?”

ซูเฉินชะงักไป

ครั้งก่อนที่เขาเสนอมันให้เยว่หลงซา นางกลับไม่พอใจ

ทว่าครั้งนี้ พอเขาพูดเรื่องสหาย เยว่หลงซากลับคิดจะต่อรองเขาผลประโยชน์

เกิดอะไรขึ้นกัน ?

เขามองเยว่หลงซา ดูสับสนเล็กน้อย ทว่าเยว่หลงซากลับยื่นมือมา “เอาอย่างนี้ ให้ข้าพูดก่อนแล้วกัน ประการแรก ข้าไม่รับของไร้มูลค่า”

“เรื่องนี้……” ซูเฉินลังเลอยู่บ้าง ก้อนจะลองดูสิ่งที่ตนเองมี พบว่าไม่มีอะไรที่เหมาะกับนางเลย

เขามองเยว่หลงซาแงะเอาหินสีรุ้งออกจากมือเขา

มันคือผลึกลวงตาที่ซูเฉินเพิ่งจะแงะออกมาจากผนังถ้ำ

ผลึกลวงตานี้ไม่ได้มีค่ามากมาย ใช้บ่มเพาะพลังไม่ได้ อีกทั้งยังหาไม่ยาก ราคาไม่สูง แต่เพราะมันถึกทนนัก คนทั่วไปจึงใช้มันแทนความรักมั่นคง ผลึกลวงตาที่ซูเฉินพบนั้นหายากอยู่เล็กน้อย ทั้งยังมีหลายสี มีรอยสลักคล้ายดวงจันทร์และมนุษย์สองคน ทำให้ใช้เป็นของล้ำค่าได้ไม่ยาก ดังนั้นซูเฉินจึงแกะมันออกมา คิดว่าจะเอาไปให้กู่ชิงลั่ว

ไม่คิดว่าเยว่หลงซาจะหมายตามันไว้

ใบหน้านางมีความยินดีวาดผ่านแล้วเอาผลึกลวงตาสีรุ้งมาจากมือซูเฉิน “มันงามนัก ใช้มันเป็นค่าตอบแทนที่ข้าช่วยเจ้าก็แล้วกัน”

“เจ้า……” ซูเฉินมองนางหน้าตะลึง

“อะไร ? เจ้าไม่อยากให้หรือ ?” เยว่หลงซาถาม

ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าให้ได้ ในเมื่อเจ้าชอบก็เอาไปเถอะ”

“เช่นนั้นหากปฏิเสธคงเสียมารยาท” เยว่หลงซาว่าพลางคว้าร่างจูเซียนเหยาขึ้นแล้วเดินจากไป

นางอยากออกไปก่อน

ซูเฉินมองนางเดินจากไป ยืนนิ่งเงียบอยู่เช่นนั้นอึดใจหนึ่ง

ในที่สุดก็เริ่มเกิดรอยแตกขึ้นทั่วทุกทิศ

หมายความว่าแดนกายลวงตากำลังจะสลายแล้ว

ภายในถ้ำ เฮ่อซื่อเองก็มุ่งหน้าออกมาด้วยความไม่ยินยอม เขาได้หินล้ำค่าติดมือมาไม่กี่ชิ้นเท่านั้น……