แดนรกร้างของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนกว้างใหญ่อย่างหาที่เปรียบมิได้ สัตว์ประหลาดนิรนามต่างๆ มีอยู่มากมายจนนับไม่ถ้วน ยิ่งเป็นสถานที่ที่อันตรายมาก แม้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงบุ่มบ่ามเข้าไป ก็อาจจะไม่มีชีวิตรอด

คนจากเผ่าต่างๆ ต้องมาเพลี่ยงพล้ำในแดนรกร้างมากมายจนนับไม่ถ้วน

แต่เช่นนั้นเพื่อตามหาวัตถุดิบล้ำค่าและวาสนาต่างๆ ในแดนรกร้างแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรก็ยังคงทยอยเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย

เผ่ามนุษย์อยู่ตรงมุมรกร้างของแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน เทียบกับเผ่าใหญ่ๆ ในแผ่นดินใหญ่แล้วก็อ่อนแอกว่าเป็นอย่างมาก แม้กระทั่งเทียบกับเผ่าต่างๆ ที่อยู่ใกล้กัน ก็ไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเท่าใดนัก

โชคดีที่พละกำลังไม่ต่างอันใดกับเผ่าปีศาจร่วมมือกันนัก และยิ่งไปกว่านั้นทั้งสองเผ่าจากทั้งหมดสามเขตเจ็ดแดนก็ยังถูกผู้บำเพ็ญเพียรที่ยิ่งใหญ่ของทั้งสองเผ่าวางเขตอาคมระดับสุดยอดปิดผนึกเอาไว้

นอกจากทางเข้าทางเมืองเทวะสวรรค์แล้ว ก็ไม่มีที่อื่นที่สามารถเข้ามาในสองเผ่าได้อีก นี่จึงทำให้ทั้งสองเผ่าพอจะฝึกบำเพ็ญเพียรได้อย่างปลอดภัยได้ และยืนอยู่ในแดนวิญญาณได้จนมาถึงทุกวันนี้

แน่นอนว่าเมืองเทวะสวรรค์เองก็ถือเป็นสถานที่สำคัญในสายตาของทั้งสองเผ่า ไม่เพียงมีผู้มีความสามารถของทั้งสองเผ่าอาศัยอยู่จำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีสมาคมผู้อาวุโสเทวะสวรรค์ที่คอยดูแลความปลอดภัยโดยเฉพาะ

แม้ว่าสมาคมผู้อาวุโสจะมีสมาชิกไม่มาก แค่สิบคน แต่ทุกคนล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไป หากอาวุโสหนึ่งในสิบคนเพลี่ยงพล้ำไป ก็จะเลือกมนุษย์และปีศาจระดับผสานอินทรีย์ขึ้นใหม่จากทั้งสองเผ่ามาเข้าร่วม

เช่นนั้นถึงได้ทำให้เมืองเทวะสวรรค์มั่นคงเรื่อยมา

เช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรจากทั้งสองเผ่ามนุษย์และปีศาจอยากเข้าไปในแดนรกร้าง ก็ทำได้เพียงต้องผ่านทางเข้าเพียงทางเดียวที่เมืองเทวะสวรรค์

และผู้บำเพ็ญเพียรทั่วๆ ไปล้วนไม่กล้าเข้าไปในส่วนลึกของแดนรกร้าง ส่วนใหญ่แค่เคลื่อนไหวอยู่ห่างจากเมืองเทวะสวรรค์เป็นระยะทางสองสามเดือน หากพบกับอสูรโบราณที่โหดเหี้ยมอันใดหรืออันตรายอันใด ก็จะมีโอกาสได้หนีกลับมาขอความช่วยเหลือจากเมืองเทวะสวรรค์

แน่นอนว่าต้องมีอิทธิฤทธิ์วิเศษ และเก่งกล้าสามารถ จึงจะเข้าไปในส่วนลึกของแดนรกร้างได้

ทว่าเช่นนั้นอัตราการเพลี่ยงพล้ำย่อมเพิ่มขึ้นสองสามเท่าแล้ว

ยามนี้กลางอากาศเหนือทะเลสาบรกร้าง มีผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์สองสามคนกำลังตกอยู่ในอันตรายใกล้จะเพลี่ยงพล้ำ

เผ่ามนุษย์สี่คน เป็นบุรุษสองคนและสตรีสองคน กำลังถูกอสูรโบราณร่างกายใหญ่ยักษ์ล้อมปิดตายอยู่ในทะเลสาบ

ร่างของอสูรยักษ์ดูราวกับเต่าทะเลยักษ์ตัวหนึ่ง แต่แผ่นหลังมีหนวดสิบกว่าเส้นราวกับหนวดปลาหมึก โบกสะบัดไปมาอย่างแรง เงาสีดำทับซ้อนเป็นชั้นๆ กลายเป็นตาข่ายยักษ์ผืนหนึ่ง บีบทั้งสี่คนที่อยู่กลางอากาศเข้าด้วยกัน

แม้ว่าทั้งสี่คนจะมีพลังปราณไม่อ่อนแอ ล้วนมีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง ควบคุมสมบัติอาคมสองสามชิ้นจนเปล่งแสงนับหมื่นสายที่ไม่ธรรมดา แต่ไม่ว่าจะดาบบิน กระบี่บินหรือว่ากงจักรไม้เท้ายักษ์ โจมตีไปที่หนวด ล้วนถูกดีดออกอย่างไม่เกรงใจ ไม่อาจทะลวงผ่านตาข่ายยักษ์ได้เลยสักนิด

หากไม่ใช่บุรุษวัยกลางคนสวมชุดนักปราชญ์คนหนึ่งควบคุมสมบัติอาคมที่มีรูปร่างเหมือนสมประสงค์สีเงินซึ่งดูมหัศจรรย์มาก ต้านทานพลังแรงกดกว่าครึ่งของหนวดปลาหมึกที่กลายเป็นตาข่ายยักษ์เอาไว้ ทั้งสี่คนก็น่าจะถูกโจมตีจนเกราะป้องกันแตก และเพลี่ยงพล้ำไปตั้งนานแล้ว

แต่เช่นนั้นทั้งสี่คนก็หอบหายใจ เหงื่อแตกท่วมหลัง ท่าทางไม่อาจประคับประคองได้อีกนานนัก

“พี่หั่ว เจ้ารีบปล่อยไข่มุกอัสนีออกมาเร็วเข้า พวกเราสำแดงไม้ตายออกมาแล้ว” นักปราชญ์เห็นสถานการณ์กำลังคับขัน ก็ร้องตะโกนใส่อีกคนที่อยู่ด้านข้างด้วยเสียงอันดัง

“ไม่ได้ แม้ว่าไข่มุกอัสนีจะร้ายกาจ แต่หากปล่อยห้วงเวลาแคบๆ ออกมา แม้แต่พวกเราก็จะถูกดูดไปด้วย” ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์สวมชุดเกราะสีแดงอีกคนหนึ่งตอบกลับพร้อมกับหน้าเปลี่ยนสี

“ข้ารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ยามนี้อย่าไปสนใจอันใดมาก เต่าศิลาปราณตัวนี้มีอิทธิฤทธิ์ระดับหลอมสุญตาขั้นต้น ร้อยวิญญาณสมประสงค์ของข้าไม่อาจต้านทานได้นานนัก และหากไม่ลงมือโจมตี พวกเราอยากจะเอาชีวิตรอดก็ไม่มีโอกาสแล้ว” นักปราชญ์เอ่ยเสียงเหี้ยม เผยท่าทีเด็ดขาดออกมา

ชายร่างใหญ่เกราะสีแดงได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง แต่ก็ยังคงลังเลเล็กน้อย

หนวดปลาหมึกของอสูรโบราณโบกสะบัดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เสียงฟ้าผ่าดังแว่วมา พลังมหาศาลที่ส่งออกมาตาข่ายยักษ์เพิ่มขึ้นไม่น้อย

หยกสมประสงค์ที่กลายเป็นลำแสงสีขาวทั่วท้องฟ้า สัมผัสกับหนวดปลาหมึกอย่างต่อเนื่อง ชั่วขณะนั้นแสงสีดำพลันหม่นแสงลงไม่น้อย จำใจต้องหดเล็กลงกว่าครึ่งอีกครั้ง ทำให้ทั้งสี่คนทำได้เพียงหันหลังชนกันต้านทานการโจมตีจากหนวดปลาหมึก

ทุกอย่างทำให้ความคิดของชายร่างใหญ่เกราะสีแดงที่ว่า ‘โชคดีแล้ว’ หายไป!

ทันใดนั้นเขาพลันกัดฟัน พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ไข่มุกทรงกลมขนาดเท่าไข่ไก่ปรากฏออกมา

ไข่มุกทรงกลมเปล่งแสงสีฟ้าเรืองรอง ผิวของมันมีอักขระสีฟ้าหนาแน่น ดูแล้วลึกลับเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นชายร่างใหญ่หยิบไข่มุกทรงกลมสีฟ้าออกมา สตรีผู้บำเพ็ญเพียรหน้าตางดงามอีกสองคนก็หน้าถอดสี

ภายใต้อารามร้อนใจ สตรีนางหนึ่งพลันบริกรรมคาถา สะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้าง ยันต์วิเศษระดับสูงสิบกว่าสายพุ่งออกมา กลายเป็นม่านลำแสงห่อหุ้มทั้งสี่คนเอาไว้

สตรีอีกนางหนึ่งชูมือขึ้น ระฆังใบเล็กสีดำใบหนึ่งพลันบินออกมา

ระฆังใบนี้ขยายใหญ่ขึ้น เสียง “เคร้ง” ดังขึ้น หมอกลำแสงสีดำอ่อนม้วนวนลงมา ห่อหุ้มทุกคนไว้เช่นกัน

นักปราชญ์ผู้นั้นตัดสินใจพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาสองสามกลุ่ม

ทุกครั้งที่พ่นออกมา สีหน้าจะซีดขาวขึ้นส่วนหนึ่ง จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ไปสองสามครั้งอย่างรวดเร็ว

โลหิตบริสุทธิ์เปล่งแสงสว่างวาบ จมหายเข้าไปในสมประสงค์กลางอากาศ

สมประสงค์เดิมมีสีมัวๆ พลันเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นม่านลำแสงสีขาวแข็งตัวขึ้นในพริบตา

ชายร่างใหญ่เกราะสีแดงเห็นสหายร่วมวิถีเตรียมการป้องกันแล้ว ก็สะบัดข้อมืออย่างไม่ลังเลเลยสักนิด สำแดงไข่มุกทรงกลมสีฟ้าออกไป

ไข่มุกทรงกลมออกจากมือ ก็กลายเป็นลำแสงสีฟ้าเจิดจ้าจนแสบตา

ชายร่างใหญ่เกราะสีแดงใช้มือหนึ่งร่ายอาคมกระตุ้น ลำแสงสีฟ้าหมุนคว้าง จนมีขนาดเท่าล้อรถ และพุ่งไปหาหนวดปลาหมึกที่กำลังร่ายระบำ แล้วดีดออก

เสียง “ปัง” ดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้น

เมื่อลำแสงสีฟ้าสัมผัสกับหนวดปลาหมึกก็ระเบิดออกทันที ระลอกคลื่นสีฟ้าระเบิดออกมาห่อหุ้มรอบด้านเอาไว้

หนวดปลาหมึกสิบกว่าสายกลายเป็นตาข่ายยักษ์ ชั่วพริบตาก็ถูกลำแสงสีฟ้าห่อหุ้มเอาไว้ ระลอกคลื่นกินอาณาบริเวณสองสามลี้ ลำแสงสีฟ้ามีเสียงกรีดร้อง ดังอย่างต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน

เสียง “สวบๆ” ดังขึ้น

สายรุ้งสองสามสายพุ่งออกมาจากระลอกคลื่น หลังจากกะพริบวาบ ก็เชื่อมต่อกัน แล้วบินทางไปขอบฟ้า

บุรุษและสตรีทั้งสี่คนในลำแสงหลีกหนีล้วนมีท่าทีจนตรอก!

นักปราชญ์หนึ่งในนั้น บนเรือนร่างมีโลหิตเปื้อนร่างกาย แขนขาดกระเด็นไปข้างหนึ่ง

ที่เหลือทั้งสามคนเองก็สวมเสื้อผ้าขาดๆ หน้าซีดขาว ล้วนมีท่าทีได้รับบาดเจ็บไม่น้อย

โชคดีที่ทั้งสี่คนล้วนไม่ได้สูญเสียพลังการบิน ลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบ ยังคงบินหนีไปด้วยความรวดเร็ว

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ระลอกคลื่นกลางอากาศก็สลายออก ระเบิดลำแสงสีฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป

เห็นเพียงอสูรโบราณราวกับเต่ายักษ์ตัวนั้น หนวดหายไปกว่าครึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งก็ไหม้เกรียมไม่สมประกอบ

เสียงคำรามด้วยความโกรธดังออกมาจากปากของอสูรโบราณ หนวดปลาหมึกเปล่งแสงสีเขียววาววับ คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันงอกออกมาใหม่ จากนั้นผิวน้ำบริเวณรอบก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น น้ำในทะเลสาบหมุนวนคาดไม่ถึงว่าจะห่อหุ้มเต่ายักษ์เอาไว้กลายเป็นเมฆน้ำขนาดสองสามหมู่ พุ่งไล่ตามทั้งสี่คนไป

ทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหน้าเห็นเช่นนั้นก็ตกตะลึง แน่นอนว่าย่อมกระตุ้นลำแสงหลีกหนีอย่างสุดชีวิต คิดจะสลัดเมฆน้ำด้านหลัง

แต่แม้ว่าเมฆน้ำจะใหญ่มโหฬาร ความเร็วกลับไม่ต่างอันใดกับลำแสงหลีกหนีของทั้งสี่คนที่ร่วมพลังกันด้านหน้า

ทั้งสองไล่ตามกันไปชั่วครู่ก็บินออกมาไกลถึงล้านลี้

และเมื่อเวลาผ่านไปลำแสงหลีกหนีและเมฆน้ำก็ค่อยๆ เข้าใกล้กันขึ้นเรื่อยๆ

ไม่ได้หมายความว่าเมฆน้ำเพิ่มความเร็วขึ้น กลับเป็นชนเผ่ามนุษย์ทั้งสี่คนที่อยู่ด้านหน้าได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว ประกอบกับพยายามหนีสุดชีวิต ในที่สุดก็เริ่มพลังปราณไม่พอ

ทั้งสี่คนย่อมพบว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว แต่พละกำลังไม่อาจต้านทานกับอสูรโบราณด้านหลังได้ แน่นอนว่าจึงทำอันใดไม่ได้

ในที่สุดเมื่อบินไปด้านหน้าได้แสนกว่าลี้ระยะห่างของทั้งสองก็เหลือแค่ร้อยกว่าจั้ง ด้านหลังมีเสียงคำรามของอสูรโบราณส่งมา เมฆน้ำเลือนราง จากนั้นเสียง “ปัง” ดังขึ้น แล้วระเบิดออกโดยทันใด

ไอวิญญาณน้ำสีขาวหมุนวนแล้วสลายหายไป เต่ายักษ์ตัวนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ทั้งสี่คนที่บินหนีอยู่ด้านหน้าย่อมมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นสถานการณ์นั้นนักปราชญ์แขนขาดก็หน้าเปลี่ยนสี ร้องอุทานว่า “แย่แล้ว” ออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง

แต่พวกเขาสี่คนยังไม่ทันได้คิดหาแผนการรับมืออันใด เหนือลำแสงหลีกหนีก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น หนวดปลาหมึกสีดำสองสามสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น พลางทุบลงมาด้านล่างอย่างแรงด้วยความเร็ว

ยังไม่ทันได้ทุบโดนพายุแรงกดขนาดยักษ์ก็กดลำแสงหลีกหนีจนสั่นเทากะพริบวาบไม่หยุด

ทั้งสี่คนร้องอุทานเสียงต่ำๆ ออกมา แทบจะสลายลำแสงหลีกหนีออกตามจิตสำนึก แยกกันพุ่งหนีไปกันคนละทิศละทาง

แม้ว่าพวกเขาจะหลบหลีกการโจมตีเหนือศีรษะได้ แต่ก็ถูกบีบให้สลายตัวออกแยกออกไปคนละทิศละทาง เมื่อมองสบตากันแวบหนึ่งก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ออกมา

เมื่อครู่พวกเขาสี่คนรวมพลังปราณเข้าด้วยกันยังไม่อาจสลัดการไล่ตามของอสูรโบราณได้ ยามนี้ถูกบีบให้แยกออกจากกัน หากคิดจะหนีเกรงว่าคงเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน

เงาสีดำขนาดใหญ่เปล่งแสงสว่างวาบขึ้นกลางอากาศ ร่างของเต่ายักษ์ปรากฏออกมา ดวงตาสีเขียวมรกตสองข้างกวาดมองทั้งสี่คนด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง

นักปราชญ์และพวกจิตใจหนักอึ้ง สัมผัสได้ว่าตนคงหนีไม่รอดแล้ว

ทว่าในเมื่อทั้งสี่คนฝึกฝนมาจนอยู่ในระดับนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นยังกล้าเข้ามาในส่วนลึกของแดนรกร้างย่อมต้องเป็นคนที่มีจิตใจไม่ธรรมดา แน่นอนว่าจึงไม่ยอมอยู่นิ่งๆ รอความตาย

พวกเขาพยายามฝืนใบหน้าที่สั่นระริกทยอยกันพ่นสมบัติอาคมออกมาเตรียมพร้อมที่จะสู้ตายอีกครั้ง

อสูรโบราณเต่ายักษ์เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ร้องคำรามเสียงต่ำๆ ออกมา แววตาฉายแววดูแคลนเหมือนมนุษย์ หนวดสิบกว่าเส้นที่แผ่นหลังโบกสะบัดแล้วกลายเป็นเงาสีดำอีกครั้ง

มองเห็นทั้งสองฝ่ายจะสู้รบกันอีกครั้ง ทั้งสี่คนและหนึ่งอสูรต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาด แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นก็มองไปยังเหนือศีรษะ

เห็นเพียงเหนือขึ้นไปร้อยกว่าจั้ง คาดไม่ถึงว่าจะมีดวงแสงอัสนีขนาดเท่าศีรษะลูกหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้

ดวงแสงอัสนีเปล่งแสงสีเงินออกมา ประจุไฟฟ้าบางๆ เปล่งประกายสว่างวาบไม่หยุด แต่กลับไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา สถานการณ์ที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง

แต่ยังไม่ทันให้ทั้งสี่คนและอสูรโบราณมีปฏิกิริยาตอบสนองหลังจากตกตะลึง ดวงแสงอัสนีก็ส่งเสียงดังสนั่นขยายขนาดใหญ่ขึ้นหลายเท่า

จากนั้นเสียงร้องก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประจุไฟฟ้าบีบตัวออกจากดวงแสงอัสนีหลังจากสายฟ้าเปล่งประกาย คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเขตอาคมทรงกลมเส้นผ่านศูนย์กลางสองสามจั้งในพริบตา

ในเขตอาคมมีประจุไฟฟ้าสีเงินก่อตัวกัน สายฟ้าเปล่งประกาย อักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นพร้อมกัน

เสียงฟ้าผ่าดังสะเทือนเลื่อนลั่น

ประจุไฟฟ้าขนาดเท่าเสาน้ำเปล่งแสงสว่างวาบ สายฟ้าหม่นแสงลง เงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างซวนเซตรงใจกลางเขตอาคมอัสนี

เงาร่างคนผู้นี้เพิ่งจะยืนได้อย่างมั่นคงก็ตะโกนก่นด่าขึ้นอย่างเสียกิริยาทันที!

“เหลยอวิ๋นจื่อ ตาเฒ่านี่! ครั้งหน้าอย่ามาให้ข้าได้พบเจ้าอีก มิเช่นนั้นไม่มีทางปล่อยเรื่องนี้ไปเช่นนี้แน่”