ฉัวะ!
ด้วยเสียงดังฉัวะ เซียนแก่นทองคำก็ถูกฟัน ทำให้เขากระอักเลือดและล้มลงไป
ในความว่างเปล่า หยวนฉิงเทียนปรากฏตัวขึ้นและพูดด้วยความอับอายเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ความแข็งแกร่งของข้ามีจำกัด การโจมตีครั้งเดียวสามารถทำให้เซียนแก่นทองคำบาดเจ็บได้คนนึงก็ถือว่ามากที่สุดแล้ว”
“แค่นั้นก็พอแล้ว การที่เจ้าทำได้ถึงขนาดนั้นก็ถือว่าค่อนข้างดีแล้ว”
เฉินเฉินใจกว้างมากกับการที่ชื่นชมเขา
ความจริงที่ว่าการลอบโจมตีจากหยวนฉิงเทียนสามารถทำให้เซียนที่อยู่ขั้นกลางของแก่นทองคำคนนึงได้รับบาดเจ็บได้นั้นถือว่าค่อนข้างน่าประทับใจแล้ว ถึงยังไง มันก็มีความแตกต่างอย่างมหาศาลระหว่างเซียนที่อยู่ระดับแก่นทองคำและเซียนที่ยังไม่ถึงขั้นนั้น
“หยวนฉิงเทียน!”
เซียนแก่นทองคำอีกสองคนถอยออกไปในทันที ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง
เขาคือคนที่ลอบสังหารราชาผู้ฉาวโฉ่ ศัตรูอันยิ่งใหญ่ของสำนักอู๋ซิน และพวกเขาก็ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะซ่อนตัวอยู่แถวนี้มาโดยตลอด!
“เอาล่ะ เดี๋ยวพวกที่เหลือศิษย์พี่คนนี้จัดการเอง” เฉินเฉินหาว ในขณะที่หยวนฉิงเทียนพยักหน้าและหายตัวไปอีกครั้ง
เซียนแก่นทองคำอีกสองคนที่เหลือไม่สามารถตรวจจับร่องรอยของหยวนฉิงเทียนได้เลย ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้พวกเขาตกใจและหวาดระแวง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ พวกเขาจะไปสู้กับเฉินเฉินได้ยังไงกัน?
เจ็ดนาทีต่อมา เซียนแก่นทองคำทั้งสามคนก็ถูกจัดการจนถึงจุดที่เหลืออยู่แค่แก่นทองคำของพวกเขา
…
ในขณะที่มองแก่นทองคำที่อยู่ในมือ เฉินเฉินก็ประเมินความแข็งแกร่งของเขาอย่างลับๆ
ในฝั่งขัดเกลาร่างกายนั้น เขาพึ่งไปถึงแค่ระดับสามของวิชาร่างทองคำเก้าโคจร ซึ่งเทียบเท่ากับขั้นต้นของแก่นทองคำ
อย่างไรก็ตาม วิชาร่างทองคำเก้าโคจรนั้นค่อนข้างยอดเยี่ยมกว่า และเฉินเฉินก็มีร่างกายพิเศษด้วย ดังนั้น ด้วยขั้นต้นของแก่นทองคำในสาขาขัดเกลาร่างกาย เขาจึงสามารถต่อสู้กับเซียนที่อยู่ขั้นกลางของแก่นทองคำได้
ในแง่ของฝั่งฝึกพลังปราณ ระดับพลังของเขาในตอนนี้อยู่ที่ช่วงปลายของขั้นสร้างรากฐานและเขาก็กำลังจะไปถึงขั้นสูงสุด เนื่องจากร่างกายจิตวิญญาณโดยกำเนิดและระดับการสร้างรากฐานของเขา มันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากอะไรสำหรับเขาในการจัดการกับเซียนที่อยู่ขั้นกลางของแก่นทองคำ
ถ้าเขาทุ่มสุดตัว เขาน่าจะสามารถจัดการกับเซียนที่อยู่ขั้นกลางของแก่นทองคำได้ด้วยการผสานพลังของฝั่งขัดเกลาร่างกายและฝั่งฝึกพลังปราณ
อย่างไรก็ตาม เว้นเสียแต่ว่ามันเป็นหนทางสุดท้ายจริงๆ เขาก็จะไม่มีวันใช้ทั้งสองฝั่งวิชานี้ในเวลาเดียวกัน ไม่อย่างนั้น มันจะเป็นการเปิดเผยตัวตนของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น นี่มันยังอยู่ในข้อสันนิษฐานที่ว่าพวกเขาไม่มีสมบัติอะไรเลย
“พี่ใหญ่ สิ่งที่ท่านพูดมาก่อนหน้านี้มันจริงแท้ที่สุดเลยครับ การดิ้นรนไม่มีวันจนตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่! ข้าได้ตาสว่างแล้วครับ!” หยวนฉิงเทียนพึมพำเบาๆจากด้านข้าง
เฉินเฉินพูดไม่ออก ในขณะที่คิดในใจ ‘ข้าพูดเรื่องนั้นกับเจ้านี่เหรอ? ข้าบอกจางจีต่างหากล่ะ!”’
“ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่าคนที่นั่งรถเข็นนั่นดูน่ารังเกียจสำหรับข้ามาก ท่านรู้จักเขารึเปล่าครับ ศิษย์พี่?”
“ไม่รู้ เขาน่าจะเป็นแค่คนไม่สำคัญคนนึง”
หลังจากที่พูดเช่นนั้น เฉินเฉินก็เอากระเป๋าหนังสัตว์วิญญาณออกมาจากแหวนเก็บของอย่างเงียบๆ
ก่อนที่เขาจะออกมาจากสาขาที่หนึ่งของสำนักอสูร โจวเหรินหลงได้มอบแหวนเก็บของให้เขาวงหนึ่ง ดังนั้นในตอนที่เขาไปถึงสาขาสองของสำนักอสูร เขาจึงใช้แหวนเก็บของอย่างเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม กระเป๋าหนังสัตว์วิญญาณมันน่าสงสัยเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเอามันออกมาในตอนนั้น
เขาเปิดกระเป๋าหนังสัตว์วิญญาณอย่างระมัดระวังและแอบดูข้างใน ในตอนนั้นเองเขาก็ได้เห็นแววตาสีเขียวมันวาวคู่หนึ่งกำลังจ้องเขากลับ
“อะไรเนี่ย!”
เฉินเฉินตกตะลึงจากนั้นก็กลับไปมองดูดีๆ อย่างทีเขาคาดเอาไว้ มีรูอยู่ในเปลือกของเต่าดำแล้ว ทำให้เขามองเห็นหัวของเต่าผ่านรูนั่น
มันกำลังจ้องเฉินเฉินด้วยสายตาที่ดูน่าสงสาร
พูดให้ถูกกว่านี้ก็คือมันกำลังจ้องแก่นทองคำที่อยู่ในมือของเขา
“เจ้าอยากกินไอ้นี่เหรอ?”
เฉินเฉินหย่อนแก่นทองคำเข้าไปในกระเป๋าหนังสัตว์วิญญาณและหัวของเต่าก็ยื่นออกมากินมันเข้าไป
แกร๊ก!
ด้วยเสียงแตก เปลือกเต่าดำก็แยกออกและเต่าตัวขนาดเท่าฝ่ามือก็ปรากฏขึ้น มันกระโดดเข้ามาในมือของเฉินเฉิน
ร่างกายของเต่าเป็นสีเขียวมรกต ทำให้มันดูคล้ายกับเต่าธรรมดามาก มันจะขยับดวงตาที่มันวาวของมันเป็นพักๆและดูค่อนข้างขี้อาย
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินรู้ว่าเจ้าเต่าตัวนี้ไม่ธรรมดาเพราะถึงแม้มันจะมีขนาดเท่าฝ่ามือ แต่มันก็หนักเป็นร้อยกิโลกรัมแล้ว!
“ช่างมันเถอะ! ข้าจะเรียกเจ้าว่าเจ้าถั่วเขียวก็แล้วกัน” เฉินเฉินพูดด้วยรอยยิ้มในขณะที่มองเจ้าเต่า
“ปา!”
เจ้าเต่าอ้าปากและส่งเสียงร้องที่อธิบายไม่ได้เป็นการตอบสนอง
หยวนฉิงเทียนที่อยู่ข้างๆไม่ได้ประหลาดใจกับเสียงแปลกๆนี้เลย ในระหว่างนี้เอา เฉินเฉินก็เอาของอย่างเช่นกังหันลมออกมาจากแหวนเก็บของของเขาเพื่อให้เจ้าเต่าเล่น ดังนั้น เจ้าเต่านี่จึงไม่ได้ผิดแปลกอะไร
เฉินเฉินเก็บเจ้าถั่วเขียวกลับไปในถุงหนังสัตว์วิญญาณอย่างเงียบๆ
มีข่าวลือบอกไว้ว่าเต่าดำนั้นตั้งแต่เกิดมาก็มีความแข็งแกร่งระดับแก่นทองคำแล้ว แต่เฉินเฉินชักเริ่มสงสัยแล้วว่ามันเป็นความจริงรึเปล่า
อย่างไรก็ตาม เจ้าถั่วเขียวมันพึ่งฟักออกมา และเฉินเฉินก็ไม่ได้คิดจะใช้มันต่อสู้
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือสัตว์ เด็กก็ควรจะมีช่วงเวลาที่ไม่ต้องกังวลอะไร
ปัง!
ในตอนนี้เองก็มีเสียงดังมาจากถุงหนังสัตว์วิญญาณ และหลังจากนั้นในทันทีเจ้าถั่วเขียวก็คลานออกมาจากปากถุงหนังสัตว์วิญญาณด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นภาพนี้ เฉินเฉินก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
มีการยับยั้งอยู่ในถุงหนังสัตว์วิญญาณนี้ โดยปกติ สัตว์ที่อยู่ในถุงจะไม่สามารถหนีได้เว้นเสียแต่ว่าปากถุงจะถูกเปิดออก
แต่มีข้อยกเว้นอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือเมื่อความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรที่อยู่ข้างในนั้นเหนือกว่ามากเกินไป ถุงหนังสัตว์วิญญาณก็จะขาดในทันที
อย่างไรก็ตาม ไม่มีร่องรอยความเสียหายเกิดขึ้นกับถุงหนังสัตว์วิญญาณเลย ซึ่งนี่ทำให้เฉินเฉินสับสน เขาเก็บเจ้าถั่วเขียวกลับเข้าไปในถุงแล้วใช่ไหม?
ไม่นานนัก แสงอักขระเต๋าก็เปล่งออกมาจากถุงหนังสัตว์วิญญาณ และการยับยั้งก็ถูกทำลาย จากนั้นเจ้าถั่วเขียวก็โผล่หัวออกมา
“ดูเหมือนว่า…นี่จะเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดใช่ไหม?”
เฉินเฉินตกตะลึงอย่างลับๆ และเขาก็ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะเข้าใจได้
ข่าวลือบอกเอาไว้ว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งจะมีความสามารถประจำตัวของตัวเอง ดูเหมือนว่าความสามารถศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าถั่วเขียวจะเป็นการทำลายการยับยั้งสินะ!
เมื่อได้รู้เช่นนี้ ความคิดที่หาญกล้าก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา เขามองไปทางหยวนฉิงเทียนที่กำลังตรวจสอบของที่ได้มาจากการต่อสู้อยู่โดยไม่รู้ตัว
‘เจ้าแห่งการลอบเร้น สัตว์ประหลาดทำลายการยับยั้ง และข้า เจ้าแห่งการตรวจจับ… นี่คือสามยอดแห่งโจร!’
‘ให้ตายเถอะ! นี่ข้ากำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย? ในฐานะนายน้อยของสาขาที่หนึ่งแห่งสำนักอสูรกับผู้สืบทอดสำนักเทียนหยุน ข้าจะไปเป็นขโมยได้ยังไง? ข้าต้องไม่ทำเรื่องที่ไร้เกียรติแบบนั้น!’
ในขณะที่ส่ายหัวซ้ำไปซ้ำมา เฉินเฉินก็ขจัดความคิดที่ยุ่งเหยิงในหัวของเขาและสั่งสอนเจ้าถั่วเขียวอย่างเข้มงวด
ในที่สุดเจ้าถั่วเขียวก็กลับเข้าไปในถุงหนังสัตว์วิญญาณและไม่โผล่หัวมาอีก แต่มันกลับไปนอนอย่างเชื่อฟังแทน
“ศิษย์พี่ เซียนแก่นทองคำสามคนนี้มีหินวิญญาณอยู่ 10,000 ก้อนและมีสมบัติติดตัวอยู่ด้วยระดับนึงครับ พวกมันทั้งหมดเป็นของท่าน!”
ในขณะที่มองสีหน้าใสซื่อของหยวนฉิงเทียน รอยยิ้มของเฉินเฉินก็ค่อยๆชั่วร้ายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ในอดีต เขาไม่ได้คิดอะไรกับมันมากนัก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาต้องหลอกหยวนฉิงเทียน ผู้เชี่ยวชาญด้านการลอบเร้น ให้มากกว่านี้อีกในอนาคต
ในขณะที่ความคิดทุกรูปแบบกำลังผุดขึ้นมาในหัวของเขาอยู่นั้น โจวเฟิงกับโจวฉางก็บินตรงมาหาพวกเขาจากที่ไกลๆ
“นายน้อยสาขา ข้าโล่งใจจริงๆที่ท่านไม่เป็นอะไร!”
“เซียนก่อกำเนิดวิญญาณทั้งสองคนของสำนักอู๋ซินหนีไปแล้วครับ พวกเราไม่สามารถหยุดเจ้าพวกนั้นได้ แต่พวกมันก็ไม่สามารถเอาเรือกลับไปได้เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น สำนักเทียนหยุนยังจับตัวศิษย์สำนักอู๋ซินเอาไว้เป็นจำนวนมาก และด้วยเหตุนี้เอง สำนักเทียนหยุนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเป็นศัตรูกับสำนักอู๋ซินครับ!”
โจวฉางกับโจวเฟิงมองเฉินเฉินด้วยความชื่นชมอย่างลึกซึ้ง
ในความคิดของพวกเขา ความสำเร็จทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณสติปัญญาของนายน้อยสาขา ถ้าพวกเขามาไม่ทันเวลา สำนักเทียนหยุนก็อาจจะแพ้ไปแล้ว และยอมจำนนต่อสำนักอู๋ซิน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้สำนักอู๋ซินได้รับความเสียหายอย่างหนักหน่วง ในอนาคตคงไม่มีโอกาสที่สำนักเทียนหยุนจะยอมจำนนอีก ต่อให้พวกเขาต้องการก็ตาม
“มันก็แค่เรื่องเล็กน้อย สิ่งที่สำนักอู๋ซินต้องการเป็นการเร่งด่วนที่สุดในตอนนี้ก็คือพึ่งพาความแข็งแกร่งของพวกเขาในการควบรวม 36 สำนัก พวกเราไม่สามารถปล่อยให้พวกนั้นทำตามที่ต้องการได้”
ในทันทีที่เฉินเฉินพูดออกมาเช่นนั้น โจวเฟิงที่อยู่ข้างๆก็หยิบเหรียญสื่อสารออกมาอย่างกะทันหัน หลังจากที่มองดู สีหน้าของเขาก็หม่นหมอง
“นายน้อยสำนัก สำนักอู๋ซินได้ส่งคนจำนวนมากมาช่วยเหลือสำนักชิงหลิง และตอนนี้สาขาที่หกของสำนักอสูรก็กำลังเสียเปรียบ พวกเขาจึงส่งคำขอมายังสาขาที่หนึ่ง”
“สาขาที่หนึ่งมีเซียนระดับก่อกำเนิดวิญญาณแค่สองคน และสองคนที่ว่านี้ก็คือโจวฉางกับข้า ข้าต้องไปให้ความช่วยเหลือสาขาที่หกครับ!”
“สำนักชิงหลิง…” เฉินเฉินพึมพำในขณะที่ตกอยู่ในห้วงความคิด
ในบรรดา 36 สำนัก สำนักชิงหลิงอยู่อันดับที่หกและเซียนที่นั่นไม่ได้เก่งการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาเก่งด้านการล้างพิษ ดังนั้นจึงเป็นกำลังหลักในการต่อกรกับสาขาที่หกของสำนักอสูร
ด้วยความสามารถเช่นนี้เองจึงเป็นที่น่าหวาดหวั่นอย่างมากในสนามรบ ดังนั้นสำนักอู๋ซินจึงพึ่งพาสำนักชิงหลิงเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่พวกเขาได้รับการดูแลอย่างดีมาโดยตลอด
สำนักชิงหลินนั้นอยู่ฝั่งสำนักอู๋ซินมาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ที่สำนักอู๋ซินจะส่งคนจำนวนมากไปช่วยสำนักชิงหลิง
“นายน้อยสาขา สถานการณ์ค่อนข้างเร่งด่วน ข้าจะขอตัวไปเลย! โจวฉาง เจ้าต้องคุ้มครองนายน้อยสำนักและให้ความร่วมมือกับเขานะ!”
ในตอนที่โจวเฟิงเห็นว่าเฉินเฉินไม่ได้พูดอะไร เขาก็บอกลาและบินขึ้นไปบนฟ้า
ในตอนนี้เอง เฉินเฉินก็ได้สติกลับมาและตะโกน “เดี๋ยวก่อน! ข้าจะไปด้วย!”